ศาสนาคาทอลิกมีคำสอนด้านสังคมด้วยหรือ : พระสังฆราชบุญเลื่อน หมั้นทรัพย์ |
Wednesday, 12 January 2011 | ||||
ศาสนาคาทอลิกมีคำสอนด้านสังคมด้วยหรือ พระสังฆราชบุญเลื่อน หมั้นทรัพย์
คงมีหลายคนรวมทั้งคริสตชนด้วยที่ถามว่า ศาสนาคาทอลิกมีคำสอนเรื่องสังคมด้วยหรือ ทำไมเอาศาสนามาเกี่ยวข้องกับเรื่องสังคมและการเมือง คำถามเช่นนี้ยืนยันถึงคำพังเพยที่ว่า "คำสอนคาทอลิกเรื่องสังคมเป็นความลับสุดยอด ที่น้อยคนนักจักได้ล่วงรู้" ที่จริงพระเยซูคริสตเจ้า พระองค์เองก็ได้ทรงสั่งสอนเรื่องสังคม ได้ทรงปฏิบัติพระองค์ให้เป็นประโยชน์แก่สังคมของพระองค์อย่างมาก ในสมัยที่ทรงเจริญชีวิตอยู่ในประเทศอิสราเอลบ้านเมืองของพระองค์ ทรงเมตตาต่อผู้ตกทุกข์ได้ยาก ทรงรักษาคนเจ็บป่วยให้หาย รักษาคนพิการให้กลายเป็นคนปรกติ ทรงอภัยให้แก่คนที่ใส่ร้ายและทำผิดต่อพระองค์ ทรงสั่งสอนให้คนรักกัน เสียสละและให้อภัยกัน ทรงเจริญชีวิตอย่างสมถะ ทรงเสียภาษี และสั่งสอนลูกศิษย์ให้ถือตามกฎหมายบ้านเมือง ฯลฯ
แต่ก็ทรงตำหนิติเตียนผู้มีอำนาจในบ้านเมืองและในสถาบันที่ข่มเหงและเอาเปรียบผู้น้อย ที่สุดได้ทรงสละชีวิตของพระองค์เองเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด ฝ่ายบรรดาอัครสาวกและลูกศิษย์ของพระองค์ ในเวลาต่อมาก็ได้ปฏิบัติตามแบบอย่าง และคำสั่งสอนของพระอาจารย์อย่างไม่ลดละ วัดวาอารามในคริสตศาสนาได้เป็นศูนย์กลางของการศึกษาอบรมด้านศิลปะ การเกษตร และการอาชีพไปโดยปริยาย ในเวลาเดียวกันประชาชนที่อยู่ในสังคมเช่นนี้ยังได้รับการอบรมและขัดเกลาจิตใจให้สดใสผ่องแผ้วด้วยคำสั่งสอนของพระอาจารย์ และพิธีกรรมทางศาสนาอีกด้วย เรื่องนี้ผู้ที่ศึกษาประวัติศาสตร์คงทราบดี ครั้นถึงสมัยปฏิวัติอุตสาหกรรม สภาพเศรษฐกิจและสังคมก็เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม มนุษย์ผู้มั่งคั่งก็สำแดงความเห็นแก่ตัวมากขึ้น เบียดเบียนข่มเหงเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ถือเอาเพื่อนมนุษย์เป็นปัจจัยในการผลิต แม้ทรัพยากรธรรมชาติ มนุษย์ผู้เห็นแก่ตัวเหล่านั้นก็ไม่วายที่จะเบียดเบียนกอบโกยนำเอามาใช้ มาทำลายโดยไม่นึกถึงผู้อื่นและลูกหลานในอนาคต ทำให้สังคมเจริญขึ้นในทางวัตถุก็จริง แต่ผู้คนกลายเป็นมนุษย์น้อยลง เห็นแก่ตัวมากขึ้น ศีลธรรมก็เสื่อมลง ฝ่ายศาสนจักรมิได้นิ่งดูดายต่อสภาพการณ์เช่นนี้ของสังคม สำนึกถึงพันธกิจของตนที่ได้รับการสืบทอดมาจากพระอาจารย์เจ้า ในอันที่จะร่วมชะตากรรมกับมนุษยชาติเพื่อช่วยมนุษย์ทุกคนให้เป็นอิสระหลุดพ้นจากบาป และพันธนาการต่างๆ ได้รับชีวิตแห่งความเป็นไท เป็นบุตรของพระเจ้าเสียใหม่ ทั้งผู้นำและสัตบุรุษหลายท่านได้มีส่วนร่วมในวิวัฒนาการทางสังคม ช่วยกันคนละไม้คนละมือให้สังคมโลกพัฒนาไปในทิศทางที่ถูกต้อง และในปลายคริสตศตวรรษที่แล้ว ขณะที่การปฏิวัติอุตสาหกรรมกำลังสำแดงฤทธิ์อิทธิพลอย่างมากมายในยุโรปนั่นเอง พระสันตะปาปาเลโอที่ 13 ก็ได้ประกาศคำสอนที่เรียกกันว่า สมณสาสน์ Rerum Novarum อันเป็นเรื่องเศรษฐกิจและสังคมเกี่ยวกับการพัฒนาอุตสาหกรรม สิทธิส่วนบุคคล การรวมกลุ่มกัน และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งนับได้ว่าเป็นคำสอนที่ทันสมัยในขณะนั้น สี่สิบปีต่อมา หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง พระสันตะปาปา ปีโอ ที่ 11 ได้มีสมณสาสน์ กวาดราเยซีโม อันโน เพื่อย้ำถึงหลักคำสอน Rerum Novarum และขยายความให้เหมาะสมกับกาลสมัยอีกครั้งหนึ่ง หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในทศวรรษที่ 60-80 (1960-1980) สังคมโลกมีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วใหญ่หลวงในทุกด้าน ไม่ว่าด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และศาสนา โลกเราคล้ายกับว่าเล็กลงไปทุกวัน อันสืบเนื่องมาจากการติดต่อสัมพันธ์ที่สะดวกรวดเร็ว พระศาสนจักรคอยเฝ้าดูและศึกษา "เครื่องหมายแห่งกาลเวลา" โดยมีพระสันตะปาปา ยอห์น ที่ 23 และปอลที่ 6 ทรงเป็นผู้นำ ได้ประกาศคำสอนด้านสังคมที่สำคัญ สนองตอบคำเรียกร้องของพระเป็นเจ้าได้ทันท่วงที พระสมณสาสน์ "มาแตร์ เอ็ต มายีสตรา" และ"ปาเซ็ม อิน แตร์ริส" ของยอห์นที่ 23 และ พระสมณสาสน์ "การพัฒนาประชาชาติ" และ"ว่าด้วยชีวิตมนุษย์" กับ "ออกโตเยซีมา อัดเวนีแอนส์" ของปอลที่ 6 และพระธรรมนูญว่าด้วยพระศาสนจักรในโลกสมัยนี้ แห่งสังคายนาวาติกันครั้งที่สอง เอกสารเหล่านี้ล้วนบรรจุคำสั่งสอนเรื่องสังคมอย่างกว้างขวางลึกซึ้งและทันสมัย อันแสดงว่าพระศาสนจักรพร้อมที่จะร่วมชะตากรรมกับสังคมโลก และปวารณาตนเองเพื่อรับใช้สังคมโลกให้รอดพ้นจากบาปและพันธนาการของมัน "ความชื่นชมและความหวัง ความโศกเศร้าและความกังวลของมนุษย์สมัยนี้ เป็นต้นของคนยากจนและผู้มีความทุกข์เข็ญทั่วไป ย่อมถือว่าเป็นความชื่นชมและความหวัง เป็นความโศกเศร้าและความกังวลของผู้เป็นศิษย์ของพระคริสตเจ้าด้วย ประชาคมคริสตชนเกี่ยวพันกับมนุษยชาติและประวัติของมนุษย์อย่างใกล้ชิดและอย่างแท้จริง" (พระศาสนจักรในโลกสมัยนี้ ข้อ 1) ในทศวรรษ 1980-1990 สมัยรพระสันตะปาปา ยอห์น ปอลที่ 2 สังคมโลกมีวิวัฒนาการเข้มข้นขึ้น เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตมนุษย์มากขึ้น ประเทศต่างๆ ในโลกที่สามกำลังดิ้นรนที่จะเป็นตัวของตนเอง แต่ในเวลาเดียวกันก็เห็นความสำคัญของการรวมกลุ่มเพื่อความอยู่รอด เห็นว่า ต้องมุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อส่งออกจึงจะเป็นประเทศที่เจริญทันสมัย กลายเป็นว่าใครมีมากขึ้นก็หมายความว่าเจริญทันสมัยขึ้นนั่นเอง จนทำให้มนุษย์กลายเป็นผู้กลืนกินมนุษย์ด้วยกันเอง ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงอันน่าเป็นห่วง ภายใต้อิทธิพลของค่านิยม ฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อ ฟั่นเฟือน ภายใต้กลไกอันวิปริตที่ผลิต "คนจ้องกินคน" ด้วยกันเช่นนี้ พระสันตะปาปา ยอห์น ปอลที่ 2 ทรงประกาศพระสมณสาสน์ "ลาบอเร็ม เอ็กแซร์เซ็นส์" ว่าด้วยการทำงาน และ "ความห่วงใยเรื่องสังคม" และเมื่อเร็วๆ นี้ หลังจากกำแพงเบอร์ลิน สัญลักษณ์แห่งค่ายคอมมิวนิสต์ได้พังทลายลงอย่างไม่คาดฝัน พระองค์ก็ทรงประกาศสมณสาสน์อีกฉบับหนึ่ง ชื่อว่า "แซนเตวีมูส อันนูส" อันว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง การศาสนาในท้ายทศวรรษที่แล้ว ที่กล่าวมาทั้งหมดโดยย่อนี้ ก็เพื่อช่วยตอบคำถามที่คนอาจตั้งขึ้นมาถามได้ว่า - พระศาสนจักรคาทอลิกมีคำสอนด้านสังคมด้วยหรือ - มีมาตั้งแต่เมื่อใด - ทำไมพระศาสนจักรต้องยุ่งเกี่ยวกับสังคมและการเมือง และ พระศาสนจักรสั่งสอนเรื่องสังคม และการเมืองว่าอย่างไร
รายละเอียดแต่ละข้อ เป็นต้นข้อสุดท้ายนั้น ท่านผู้สนใจจะติดตามศึกษาได้จากแผนงานและโครงการต่างๆ ที่สภาคาทอลิกแห่งประเทศไทยเพื่อการพัฒนา และคณะกรรมการยุติธรรมและสันติกำลังจัดทำกัน เนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปีของพระสมณสาสน์ Rerum Novarum และปีแห่งคำสอนด้านสังคม (สิงหาคม 1991 - สิงหาคม 1992)
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|