หน้าหลัก arrow ข่าวย้อนหลัง arrow เปิดใจ : พระไพศาล วิสาโล
หน้าหลัก
รู้จักยส
อยู่กับปวงประชา
ข่าวย้อนหลัง
เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน
ผู้ไถ่ : รายงานสถานการณ์
การศึกษาเพื่อสิทธิ&สันติภาพ
สื่อสิ่งพิมพ์ ยส.
มุมมองสิทธิฯ ในหนัง
กิจกรรม ยส.
คลังภาพ ยส.
เว็บบอร์ด ยส.
เว็บเพื่อนบ้าน
Facebook ยส.

ยส. (ยุติธรรมและสันติ)

จำนวนผู้เข้าชม
ขณะนี้มี 933 บุคคลทั่วไป ออนไลน์

คลิก เขียนสมุดเยี่ยมคลิก เขียนสมุดเยี่ยม
ขอบคุณทุกท่าน
ที่แวะเข้ามาค่ะ

แนะนำสื่อ ฉบับล่าสุด


วารสารผู้ไถ่ ฉบับที่ 123: ชีวิต การต่อสู้ เพื่อความดีของกันและกัน กำลังใจ ความรัก และความหวัง
 วารสารผู้ไถ่
ฉบับที่ 123


วันสันติสากล 1 มกราคม 2024
 สารวันสันติสากล
1 มกราคม 2024
ปัญญาประดิษฐ์
และสันติภาพ


น้ำแห่งชีวิต (Aqua fons vitae)
 น้ำแห่งชีวิต
(Aqua fons vitae)
สมณกระทรวงเพื่อ
ส่งเสริมการพัฒนา
มนุษย์แบบองค์รวม


สมณลิขิตเตือนใจ...แอมะซอนที่รัก (QUERIDA AMAZONIA)
 แอมะซอนที่รัก
(QUERIDA AMAZONIA)
สมณลิขิตเตือนใจ...
ของสมเด็จ-
พระสันตะปาปาฟรังซิส


จงสรรเสริญพระเจ้า... การก้าวออกไปอย่างต่อเนื่องของเอเชีย
หนังสือแปล
จงสรรเสริญพระเจ้า...
การก้าวออกไป
อย่างต่อเนื่องของเอเชีย


ประมวลหลักคำสอนด้านสังคมของพระศาสนจักร ภาคที่ 2 และ3
หนังสือแปล
Compendium...
ประมวลหลักคำสอน
ด้านสังคมของ
พระศาสนจักร
ภาคที่ 2 และ3
 


ประมวลหลักคำสอนด้านสังคมของพระศาสนจักร ภาคที่ 1
หนังสือแปล
Compendium...
ประมวลหลักคำสอน
ด้านสังคมของ
พระศาสนจักร ภาคที่ 1



หนังสือ Jesus CEO :  พระเยซูเจ้า นักบริหารชั้นนำ
หนังสือแปล
Jesus CEO :
พระเยซูเจ้า
นักบริหารชั้นนำ



หนังสือ เส้นทางสู่สิทธิมนุษยชนศึกษา
หนังสือ เส้นทางสู่
สิทธิมนุษยชนศึกษา


พระสมณสาสน์ความรักในความจริง : Caritas in Veritate
หนังสือแปล
Caritas in Veritate :

พระสมณสาสน์
ความรักในความจริง



โปสเตอร์ อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติ พ.ศ.2532
โปสเตอร์
อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก
แห่งสหประชาชาติ
พ.ศ.2532


เว็บเพื่อนบ้าน

แวดวงต่างประเทศ

Pax Christi International - PCI

ACPP - Hotline Asia


ดูเว็บอื่นๆ ในหมวด

เว็บน่าสนใจ

เว็บด้านสิทธิฯ

ข่าวสาร/บันเทิง

หน่วยงานองค์กรคาทอลิก

บทความล่าสุด

   อนึ่ง บทความ หรือข้อเขียนทั้งหมดที่นำลงเว็บไซต์ jpthai.org เป็นทัศนะเฉพาะของผู้เขียน
และไม่ผูกพันกับคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อความยุติธรรมและสันติ

ทางเว็บไซต์ jpthai อนุญาตให้คัดลอกบทความ/ข้อมูล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้
แต่กรุณาระบุชื่อผู้เขียน และแหล่งที่มาด้วย ขอบคุณค่ะ

 

Donation / สนับสนุนการดำเนินงาน

  • โอนเข้าบัญชี ในนาม
    คณะกรรมการคาทอลิกฯ แผนกยุติธรรมและสันติ 
    ธนาคารกสิกรไทย สาขาห้วยขวาง บัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 084-2-07639-2
    (กรุณา
    ส่งสำเนาการโอนเงินทางอีเมล์ ccjpthai@gmail.com)
    (หรือ ส่งสำเนามาที่ LINE:
    https://lin.ee/LdMulwv)

  • ทางธนาณัติ สั่งจ่ายในนาม “ปริญดา วาปีกัง” ตู้ ปณ. สุทธิสาร (10321)
    114 (2492) ถ.ประชาสงเคราะห์ ซอย 24 ดินแดง กรุงเทพฯ 10400

เปิดใจ : พระไพศาล วิสาโล พิมพ์
Wednesday, 31 March 2010

เปิดใจ

สารคดี ฉบับเดือน พฤศจิกายน ๒๕๕๒

เมื่อแสงเงินแสงทองทาทาบฟ้า พระออกบิณฑบาตได้พักใหญ่แล้ว อาจารย์จึงชวนศิษย์นับสิบเดินจงกรมรับอรุณ อาจารย์แนะให้ทุกคนเดินแต่ละก้าวอย่างมีสติ ปล่อยวางความคิดนึกต่างๆ ไม่ว่ามีอะไรมากระทบตา หู จมูก หรือกาย ก็สักแต่ว่ารู้ ไม่ปรุงแต่ง หากใจกระเพื่อม ยินดียินร้าย ก็ให้รู้ทัน ไม่หลุดลอยจากปัจจุบัน รับรู้แต่ละก้าวที่เดิน

สองข้างทางเป็นทุ่งหญ้าสลับไร่มันสำปะหลัง จิ้งหรีด จักจั่น ส่งเสียงระงมไม่ขาดสาย มีเสียงนกร้องเป็นระยะๆ ขณะที่ลมเย็นพัดมาเบาๆ บรรยากาศน่ารื่นรมย์ เมื่อเดินจงกรมเสร็จ อาจารย์ถามศิษย์ว่าระหว่างที่เดินจงกรม มีใครได้ยินเสียงจิ้งหรีดจักจั่นบ้าง มากกว่าครึ่งตอบว่าไม่ได้ยินเลย ทั้งๆ ที่เดินเกือบชั่วโมง เมื่อถามถึงสาเหตุ ทุกคนตอบว่า คิดตลอดทาง บางคนเป็นห่วงบ้าน บางคนนึกถึงงานที่คั่งค้างอยู่

แม้เราฟังด้วยหู แต่จะได้ยินก็ต้องอาศัยใจด้วย หากใจมัวหมกมุ่นครุ่นคิด ก็อาจไม่ได้ยินสรรพสำเนียงรอบตัว หนึ่งในนั้นอาจเป็นเสียงที่ไพเราะจรรโลงใจ เราเคยคิดหรือไม่ว่าในแต่ละวันเสียงไพเราะเพราะพริ้งที่ผ่านหูเราแล้วเลยออกไปโดยไม่สัมผัสใจเรามีมากมายเพียงใด

เช้าวันหนึ่งที่สถานีรถไฟใต้ดินกรุงวอชิงตันเมื่อ ๒ ปีที่แล้ว มีชายผู้หนึ่งสีไวโอลินบรรเลงเพลงคลาสสิคประมาณ ๔๕ นาที ภาพนี้เป็นภาพที่คุ้นตาของผู้คนที่นั่น เพราะมีวณิพกมาเล่นดนตรีเป็นประจำ ผ่านไป ๔ นาทีจึงมีผู้หญิงคนหนึ่งโยนเงินใส่หมวกของเขาที่วางอยู่บนพื้น แต่ก็ไม่ได้หยุดฟัง อีก ๖ นาทีต่อมามีเด็ก ๓ ขวบคนหนึ่งหยุดฟัง แต่ถูกแม่ดึงออกไป หลังจากนั้นมีเด็กอีกหลายคนสนใจฟัง แต่ก็ถูกผู้ปกครองลากตัวออกไปเพื่อขึ้นรถใต้ดินให้ทัน เมื่อเขาสีไวโอลินจบ มีคนเดินผ่านเขามากกว่า ๑,๐๐๐ คน แต่มีเพียง ๗ คนเท่านั้นที่หยุดฟังเพลง กระนั้นก็สนใจแค่ประเดี๋ยวประด๋าว มี ๒๗ คนที่ให้เงินเขาแต่ก็ยังเดินต่อไป เช้าวันนั้นเขาได้เงินทั้งหมด ๓๒ ดอลลาร์ ไม่มีใครสังเกตว่าเขาหยุดบรรเลงเพลงเมื่อใด ไม่มีเสียงปรบมือ เพราะไม่มีใครสนใจเขาเลย

ไม่มีใครสังเกตว่าวณิพกผู้นั้นคือ โจชัว เบลล์ (Joshua Bell) นักดนตรีชื่อก้องโลก เขาบรรเลงเพลงของบ๊าคซึ่งได้รับการยกย่องว่าไพเราะลุ่มลึกอย่างยิ่ง ไวโอลินที่เขาใช้มีราคาสูงเกือบ ๔ ล้านดอลลาร์ ก่อนหน้านั้นแค่ ๒ วันเขาเปิดการแสดงสดที่บอสตัน บัตรราคาเฉลี่ย ๑๐๐ เหรียญขายหมดเกลี้ยง

การทดลองดังกล่าวซึ่งจัดทำขึ้นโดยหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ ชี้ให้เห็นว่า อย่าว่าแต่เสียงธรรมชาติที่คุ้นหูเลย แม้แต่เสียงเพลงอันไพเราะจากนักดนตรีระดับโลก ผู้คนจำนวนมากก็ไม่ได้ยิน หรือได้ยินแค่เสียง แต่ใจไม่สามารถสัมผัสรับรู้ถึงความเพราะพริ้งได้ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น คำตอบก็คือ เป็นเพราะทุกคนต่างเร่งรีบ ในใจมัวครุ่นคิดอยู่กับการเดินทาง หรือไม่ก็กังวลกับเรื่องงาน จึงปิดรับสุนทรียรสที่ปรากฏต่อหน้า (น่าสังเกตว่าเด็กหลายคนกลับรู้สึกว่าเพลงของเขาไพเราะจนหยุดฟัง นั่นคงเป็นเพราะเด็กเหล่านั้นใจไม่ "วุ่น" เหมือนผู้ใหญ่)

มีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับเรามากมายในแต่ละวัน แต่บ่อยครั้งเรากลับปิดใจไม่รับรู้สิ่งเหล่านั้น เพราะวุ่นอยู่กับเรื่องราวในอดีตหรือกังวลกับอนาคต หลายคนมุ่งมั่นแต่จะไปให้ถึงจุดหมายข้างหน้า จนลืมมองว่ารอบตัวนั้นงดงามเพียงใด

ประมวล เพ็งจันทร์ ซึ่งเคยเดินเท้าจากเชียงใหม่ไปเกาะสมุยบ้านเกิดโดยไม่พกเงินแม้แต่บาทเดียว เล่าว่าคราวหนึ่งได้เดินขึ้นดอยอินทนนท์ วันนั้นรู้สึกเหนื่อยมาก ใกล้จะถึงยอดดอยก็หมดแรง หายใจแทบไม่ออก รู้สึกราวกับจะขาดใจตาย จึงนอนแผ่แน่นิ่ง กระทั่งมีคนเห็นและรับขึ้นรถไปถึงยอดดอย

เมื่อได้พักผ่อนเต็มที่ เรี่ยวแรงกลับมา เขาก็เดินลงมาอย่างช้า ๆ ตอนนี้เองที่เพิ่งสังเกตว่าทัศนียภาพตลอดเส้นทางงดงามมาก เขาหยุดเป็นพัก ๆ เพื่อชื่นชมธรรมชาติรอบตัวและทิวทัศน์อันกว้างไกล จิตใจเบิกบานเป็นอย่างยิ่ง จนอดรำพึงในใจไม่ได้ว่า "มหัศจรรย์"

แล้วเขาก็ฉุกคิดขึ้นมาว่าเหตุใดตอนขาขึ้นจึงไม่เห็นความงดงามเหล่านี้เลย นั่นเป็นเพราะจิตใจตอนนั้นคิดถึงแต่ยอดดอยอันเป็นจุดหมายปลายทางที่จะต้องไปให้ถึง

ความคิดนั้นเมื่อครอบงำจิตเมื่อใด ก็สามารถปิดกั้นใจไม่ให้รับรู้ความงามได้ ใครที่จมอยู่กับความคิด จึงไม่ได้ยินเสียงอันไพเราะ มองไม่เห็นธรรมชาติอันรื่นรมย์ จะว่าไปแล้ว ไม่แต่ความงามเท่านั้น ความจริงก็อาจถูกปิดกั้นเพราะความคิดด้วยเช่นกัน

วันหนึ่งขณะที่ "อ้วน"กับเพื่อนขึ้นสะพานคนเดินย่านวงเวียนใหญ่ เธอสังเกตเห็นธนบัตร ๑,๐๐๐ บาท ๓ ใบตกอยู่บนพื้น จึงชี้ให้เพื่อนดู แต่แทนที่เธอจะเดินไปหยิบ กลับพูดว่า "แบ๊งค์ปลอมแหงๆ ไม่งั้นก็ต้องมีคนหยิบไปแล้ว" เพื่อนจึงเป็นฝ่ายเดินไปหยิบเอง ปรากฏว่าเป็นธนบัตรจริง เธอจึงรู้สึกเสียดายที่ปล่อยให้โชคหลุดมือไป แต่เพื่อนยังใจดีแบ่งให้เธอ ๑,๐๐๐ บาท

ธนบัตรจริงตกอยู่ต่อหน้าต่อตา แต่อ้วนกลับมองเห็นเป็นแบ็งค์ปลอม เพราะติดยึดกับความคิดที่ว่าไม่มีใครปล่อยให้ของจริงหลุดมือไป ความคิดนี้แม้จะดูมีเหตุผล แต่ก็เป็นไปได้ว่าสาเหตุที่ไม่มีคนหยิบธนบัตรไปก็เพราะมองไม่เห็นเนื่องจากใจลอย หรือไม่ก็คิดแบบเดียวกับเธอ ความคิด เหตุผล กับความจริงนั้นไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ถ้าติดยึดกับความคิดหรือเหตุผลมากไป ก็อาจมองไม่เห็นความจริง หรือปฏิเสธหัวชนฝา

ความคิดใดก็ตาม หากเรายอมให้มันครองใจ มันก็ดูเหมือนจะมีชีวิตของมันเอง มันพยายามทุกอย่างเพื่อปกป้องตัวเอง แม้ความจริงปรากฏต่อหน้าต่อตา แต่ถ้าสวนทางกับความคิดนั้น มันสามารถสรรหาเหตุผลร้อยแปดหรือใช้อุบายนานัปการเพื่อไม่ให้เรายอมรับความจริงนั้น (เช่น ทำให้ความจริงนั้นไม่น่าเชื่อถือ) เพราะถ้าเรายอมรับความจริงดังกล่าว ความคิดนั้นๆ ก็อยู่ไม่ได้

เชื่อหรือไม่ว่าทุกวันนี้ยังมีคนจำนวนมากมายที่ไม่เชื่อว่าโลกกลม คนเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในป่าอเมซอนหรือเกาะนิวกีนี แต่อยู่ในประเทศที่เจริญอย่างยุโรปและอเมริกา ในประเทศอังกฤษมีคนตั้ง "สมาคมโลกแบน" เพื่อยืนยันความคิดนี้ โดยมีสมาชิกไม่น้อยกว่า ๓,๐๐๐ คน ผู้ก่อตั้งสมาคมนี้ปักใจเชื่อว่าโลกแบนเพราะมั่นใจว่าคัมภีร์ไบเบิลบอกเช่นนั้น ดังนั้นจึงไม่ยอมรับหลักฐานทุกอย่างที่ชี้ว่าโลกกลม แม้แต่ภาพถ่ายจากยานอวกาศที่ชี้ชัดว่าโลกกลม ก็ไม่ทำให้เขาเปลี่ยนใจได้ เขาให้เหตุผลว่า "ภาพแบบนี้สามารถหลอกตาคนดูที่ไม่มีความรู้ได้"

ความคิดไม่เพียงปิดกั้นความงามและความจริงเท่านั้น หากยังสามารถปิดกั้นความสุขได้ด้วย ความสุขมิใช่เป็นสิ่งที่อยู่ไกลตัว หากมีอยู่รอบตัว อีกทั้งมีอยู่กับตัวเราตลอดเวลา คนเป็นอันมากไม่มีความสุขก็เพราะใจไม่เปิดรับความสุขหรือมองไม่เห็นความสุขดังกล่าว การมีสุขภาพดีจัดว่าเป็นความสุขอย่างหนึ่ง แต่คนส่วนใหญ่ไม่ตระหนักถึงความสุขดังกล่าวเพราะใจไปจดจ่ออยู่กับสิ่งอื่นที่ไกลตัว เช่น ทรัพย์สินเงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ ตราบใดที่ยังไม่ได้สิ่งเหล่านั้นมาก็จะรู้สึกเป็นทุกข์ แต่เมื่อใดก็ตามที่ป่วยหนัก จะรู้เลยว่าสุขภาพนั้นเป็นความสุขที่มีค่ากว่าสิ่งเหล่านั้นเสียอีก ในทำนองเดียวกัน การมีคนรักหรือผู้มีพระคุณอยู่ใกล้ตัวก็จัดว่าเป็นความสุขอย่างหนึ่ง แต่ผู้คนมักมองไม่เห็นเพราะใจมัวครุ่นคิดกับการไขว่คว้าล่าฝันหรือจมปลัก อยู่กับวันวาน

แม้บางครั้งชีวิตจะลำบากยากเข็ญ แต่ทุกวันก็ยังมีความสุขให้เราสัมผัสได้รอบตัว อยู่ที่ว่าเราจะเปิดใจรับหรือไม่ ถ้าไม่จ่อมจมกับความทุกข์อยู่ตลอดเวลา ก็มีโอกาสเบิกบานและเป็นสุขได้ไม่ยาก ประมวล เพ็งจันทร์ได้เล่าถึงความประทับใจตอนหนึ่งระหว่างจาริกในอินเดีย ตอนนั้นเขาตั้งใจจะเดินเท้าจากสารนาถไปกรุงพาราณสีซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ ๑๔ กม. เดินได้สักพักก็มีสามล้อถีบขับตาม พยายามรบเร้าให้เขาขึ้นนั่ง เขาปฏิเสธอยู่นาน แต่ตอนหลังทนการรบเร้าของสามล้อไม่ได้ จึงยอมใช้บริการ ระหว่างทางสามล้อเล่าว่าเขาหาเงินไม่ได้มา ๓ วันแล้ว วันนี้ถ้ายังหาเงินไม่ได้อีก เขาไม่รู้จะกลับบ้านอย่างไร เพราะไม่มีเงินซื้ออาหารลูกทั้ง ๓ คน ฟังแล้วน่าสงสารมาก

วันนั้นอากาศร้อนมาก แดดแรง ระยะทางก็ไกล เขาถีบสามล้อจนเหงื่อโทรมกาย เห็นแล้วยิ่งน่าเห็นใจ แต่มีช่วงหนึ่งที่ลมเย็นพัดผ่านมา ทันใดนั้นเขาก็กางมือออกแล้วชูขึ้น พร้อมกับกล่าวคำขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าที่ประทานความเย็นมาให้ แม้จะเห็นเขาแต่ด้านหลัง แต่ประมวลรู้สึกได้ทันทีว่าเขามีความสุขมาก

น่าคิดว่าหากสามล้อผู้นี้ครุ่นคิดถึงเคราะห์กรรมและความยากลำบากของตน เขาคงไม่รับรู้ถึงลมเย็นที่มาปะทะ และคงปล่อยให้โอกาสแห่งความสุขผ่านเลยไป แม้ว่าความสุขดังกล่าวจะดูเหมือนเล็กน้อย แต่ก็สามารถชูใจให้เบิกบานและมีกำลังได้ ที่สำคัญก็คือความสุขแบบนี้หาง่ายและเกิดขึ้นได้ทุกเวลา สามล้อผู้นี้ไม่ยอมปล่อยใจจมปลักแห่งความทุกข์ จึงสามารถเก็บเกี่ยวความสุขที่วิ่งเข้ามาหาได้ตลอดเวลา ใช่หรือไม่ว่านี้คือกำไรชีวิตที่ผู้คนส่วนใหญ่ละเลยไป

การเปิดใจรับความเป็นจริงที่ปรากฏต่อหน้า มิใช่อะไรอื่น หากคือการเชื้อเชิญ ความสุข ตลอดจนความงาม และความจริงให้มานั่งในใจเรา จริงอยู่บางครั้งความเป็นจริงที่เกิดขึ้นมิใช่สิ่งที่น่ารื่นรมย์ เป็นความพลัดพรากสูญเสียอันไม่พึงประสงค์ แต่การปฏิเสธ ขัดขืน ต่อต้านมัน กลับจะทำให้เราทุกข์มากขึ้น คนที่ไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นมะเร็ง เขาไม่ได้ทุกข์กายเท่านั้นแต่ยังทุกข์ใจด้วย ตรงกันข้ามกับคนที่ยอมรับโรคดังกล่าว มีแต่กายเท่านั้นที่ป่วย แต่ใจไม่ป่วยด้วย ใจที่ไม่ป่วยนี้แหละที่สามารถชื่นชมความสุขที่มีอยู่รอบตัวได้

กนกวรรณ ศิลป์สุข เป็นโรคธาลัสซีเมียตั้งแต่เกิด ร่างกายจึงอ่อนแอมาก หมอเคยคาดการณ์ว่าเธอจะมีอายุไม่ถึง ๒๐ปี แต่ปัจจุบันเธอมีอายุเกือบ ๓๐ ปีแล้ว แม้ว่าจะมีโรคภัยนานาชนิดรุมเร้า แต่เธอก็มิใช่คนอมทุกข์ ความที่เธอยอมรับความจริงได้ ไม่ก่นด่าชะตากรรม ใจของเธอจึงเปิดกว้าง สามารถสัมผัสความสุขได้รอบตัว เธอเคยพูดว่า "เลือดเราอาจจะจาง จะแย่หน่อย แต่เราก็ยังมีตาเอาไว้มองสิ่งที่สวยๆ มีจมูกไว้ดมกลิ่นหอมๆ มีปากไว้กินอาหารอร่อย ๆ แล้วก็มีร่างกายที่ยังพอทำอะไรได้อีกหลายอย่าง แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่เราจะมีความสุข"

การเปิดใจรับความเป็นจริงที่อยู่ต่อหน้า คือการอยู่กับปัจจุบัน รับรู้ถึงความสดใหม่ในแต่ละขณะ ไม่จมอยู่ในโลกของความคิด อีกทั้งไม่อาลัยในอดีตหรือกังวลกับอนาคต การเปิดใจรับความเป็นจริงยังหมายถึงการรับรู้สิ่งต่าง ๆ โดยไม่ปล่อยให้อคติหรือความพอใจ-ไม่พอใจเข้ามาครอบงำ เมื่อรับรู้สิ่งใด ก็รับรู้อย่างมีสติ ไม่ปล่อยให้ความชอบความชังขึ้นมาเป็นใหญ่ อีกทั้งไม่มีความคิดล่วงหน้าหรือความคาดหวังมาขวางกั้นสิ่งที่ได้รับรู้

การเปิดใจให้ว่าง พร้อมรับความเป็นจริงทุกขณะ มิได้มีคุณค่าต่อชีวิตที่ผาสุกเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เกิดสัมพันธภาพที่ราบรื่นด้วย ใช่หรือไม่ว่าความสัมพันธ์ของผู้คนร้าวฉานก็เพราะต่างฝ่ายต่างไม่ฟังกัน หรือถึงจะฟังแต่ก็ไม่ได้ยิน เพราะในใจนั้นเต็มไปด้วยอคติหรือความคิดล่วงหน้า แต่เมื่อใดที่ต่างฝ่ายเปิดใจฟังกันมากขึ้น ก็จะพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ตัวเองคิด

ในการอบรมคราวหนึ่ง น.พ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์ได้ชวนคู่ขัดแย้งคือหมอฟันกับผู้ช่วยมาคุยกัน โดยมีกติกาว่าเมื่อคนหนึ่งพูด อีกฝ่ายเป็นผู้ฟังอย่างเดียว ห้ามพูดแทรก และเมื่อพูดจบแล้ว ให้ผู้ฟังพูดทวนความว่าได้ยินอีกฝ่ายพูดอะไรบ้าง หากทวนความไม่ถูกต้อง ก็จะต้องพูดใหม่ จนกว่าผู้พูดจะพอใจ

ผู้ช่วยเป็นฝ่ายพูดก่อน เมื่อพูดจบ หมอฟันก็ทบทวนสิ่งที่ผู้ช่วยพูดได้อย่างถูกต้อง แต่เมื่อถึงคราวที่หมอฟันเป็นฝ่ายพูดบ้าง ผู้ช่วยไม่สามารถทวนความได้ถูกต้อง หมอฟันต้องพูดซ้ำเป็นครั้งที่สอง แต่ผู้ช่วยก็ยังทวนความไม่ถูกอยู่ดี จนกระทั่งหมอฟันพูดครั้งที่สาม ผู้ช่วยจึงสามารถเล่าได้ถูกต้องว่าหมอฟันพูดอะไรบ้าง

อะไรทำให้ผู้ช่วยไม่สามารถทวนความได้อย่างถูกต้อง เขาอธิบายในภายหลังว่าตอนที่ฟังหมอฟันพูดนั้น ในใจเขาคิดแต่จะเถียงหมอฟันอยู่ตลอดเวลา จึงไม่ได้ยินว่าหมอฟันพูดอะไร ทั้งสองฝ่ายยอมรับว่าเมื่อได้ฟังซึ่งกันและกันอย่างแท้จริงแล้ว ก็เข้าใจและเห็นใจกันมากขึ้น หมอฟันถึงกับพูดว่าถ้าตนเองเป็นผู้ช่วยหมอฟันก็อาจจะทำและคิดแบบเดียวกับผู้ ช่วยที่เป็นคู่กรณีก็ได้

เรามองด้วยตา ฟังด้วยหู แต่อย่าลืมว่าเรารับรู้ด้วยใจ ถ้าใจไม่เปิด เราก็จะได้ยินและเห็นตามการปรุงแต่งของความคิดและอคติ ซึ่งสามารถกักขังเราให้ติดอยู่ในความทุกข์และความหลงได้ยาวนาน

โดย... พระไพศาล วิสาโล

ที่มา คอลัมน์ ชวนสังคมคิด : http://www.budnet.org/

 

ความคิดเห็น

เขียนความคิดเห็น
ชื่อ:
หัวเรื่อง:
BBCode:Web AddressEmail AddressBold TextItalic TextUnderlined TextQuoteCodeOpen ListList ItemClose List
ความคิดเห็น:



รหัส:* Code

Powered by AkoComment 2.0!

< ก่อนหน้า   ถัดไป >