หน้าหลัก arrow ข่าวย้อนหลัง arrow ข้าพเจ้าเชื่อ (ตอนที่ 3) โดย บาทหลวงชัยยะ กิจสวัสดิ์
หน้าหลัก
รู้จักยส
อยู่กับปวงประชา
ข่าวย้อนหลัง
เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน
ผู้ไถ่ : รายงานสถานการณ์
การศึกษาเพื่อสิทธิ&สันติภาพ
สื่อสิ่งพิมพ์ ยส.
มุมมองสิทธิฯ ในหนัง
กิจกรรม ยส.
คลังภาพ ยส.
เว็บบอร์ด ยส.
เว็บเพื่อนบ้าน
Facebook ยส.

ยส. (ยุติธรรมและสันติ)

จำนวนผู้เข้าชม
ขณะนี้มี 412 บุคคลทั่วไป ออนไลน์

คลิก เขียนสมุดเยี่ยมคลิก เขียนสมุดเยี่ยม
ขอบคุณทุกท่าน
ที่แวะเข้ามาค่ะ

แนะนำสื่อ ฉบับล่าสุด


วารสารผู้ไถ่ ฉบับที่ 124: เรียนรู้โลกยุคใหม่ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ชีวิต จิตวิญญาณ!?
 วารสารผู้ไถ่
ฉบับที่ 124


วันสันติสากล 1 มกราคม 2024
 สารวันสันติสากล
1 มกราคม 2024
ปัญญาประดิษฐ์
และสันติภาพ


น้ำแห่งชีวิต (Aqua fons vitae)
 น้ำแห่งชีวิต
(Aqua fons vitae)
สมณกระทรวงเพื่อ
ส่งเสริมการพัฒนา
มนุษย์แบบองค์รวม


สมณลิขิตเตือนใจ...แอมะซอนที่รัก (QUERIDA AMAZONIA)
 แอมะซอนที่รัก
(QUERIDA AMAZONIA)
สมณลิขิตเตือนใจ...
ของสมเด็จ-
พระสันตะปาปาฟรังซิส


จงสรรเสริญพระเจ้า... การก้าวออกไปอย่างต่อเนื่องของเอเชีย
หนังสือแปล
จงสรรเสริญพระเจ้า...
การก้าวออกไป
อย่างต่อเนื่องของเอเชีย


ประมวลหลักคำสอนด้านสังคมของพระศาสนจักร ภาคที่ 2 และ3
หนังสือแปล
Compendium...
ประมวลหลักคำสอน
ด้านสังคมของ
พระศาสนจักร
ภาคที่ 2 และ3
 


ประมวลหลักคำสอนด้านสังคมของพระศาสนจักร ภาคที่ 1
หนังสือแปล
Compendium...
ประมวลหลักคำสอน
ด้านสังคมของ
พระศาสนจักร ภาคที่ 1



หนังสือ Jesus CEO :  พระเยซูเจ้า นักบริหารชั้นนำ
หนังสือแปล
Jesus CEO :
พระเยซูเจ้า
นักบริหารชั้นนำ



หนังสือ เส้นทางสู่สิทธิมนุษยชนศึกษา
หนังสือ เส้นทางสู่
สิทธิมนุษยชนศึกษา


พระสมณสาสน์ความรักในความจริง : Caritas in Veritate
หนังสือแปล
Caritas in Veritate :

พระสมณสาสน์
ความรักในความจริง



โปสเตอร์ อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติ พ.ศ.2532
โปสเตอร์
อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก
แห่งสหประชาชาติ
พ.ศ.2532


เว็บเพื่อนบ้าน

แวดวงต่างประเทศ

Pax Christi International - PCI

ACPP - Hotline Asia


ดูเว็บอื่นๆ ในหมวด

เว็บน่าสนใจ

เว็บด้านสิทธิฯ

ข่าวสาร/บันเทิง

หน่วยงานองค์กรคาทอลิก

บทความล่าสุด

   อนึ่ง บทความ หรือข้อเขียนทั้งหมดที่นำลงเว็บไซต์ jpthai.org เป็นทัศนะเฉพาะของผู้เขียน
และไม่ผูกพันกับคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อความยุติธรรมและสันติ

ทางเว็บไซต์ jpthai อนุญาตให้คัดลอกบทความ/ข้อมูล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้
แต่กรุณาระบุชื่อผู้เขียน และแหล่งที่มาด้วย ขอบคุณค่ะ

 

Donation / สนับสนุนการดำเนินงาน

  • โอนเข้าบัญชี ในนาม
    คณะกรรมการคาทอลิกฯ แผนกยุติธรรมและสันติ 
    ธนาคารกสิกรไทย สาขาห้วยขวาง บัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 084-2-07639-2
    (กรุณา
    ส่งสำเนาการโอนเงินทางอีเมล์ ccjpthai@gmail.com)
    (หรือ ส่งสำเนามาที่ LINE:
    https://lin.ee/LdMulwv)

  • ทางธนาณัติ สั่งจ่ายในนาม “ปริญดา วาปีกัง” ตู้ ปณ. สุทธิสาร (10321)
    114 (2492) ถ.ประชาสงเคราะห์ ซอย 24 ดินแดง กรุงเทพฯ 10400

ข้าพเจ้าเชื่อ (ตอนที่ 3) โดย บาทหลวงชัยยะ กิจสวัสดิ์ พิมพ์
Wednesday, 25 February 2009

           กลับไปอ่าน  ตอนที่ 1 "ข้าพเจ้าเชื่อถึงพระเป็นเจ้า พระบิดาทรงสรรพานุภาพสร้างฟ้าดิน 

                               ตอนที่ 2  เชื่อ ถึงพระเอกบุตรเยซูคริสต์สวามีของเรา ปฏิสนธิเดชะพระจิต บังเกิดจากพระนางมารีอาพรหมจารี รับทรมานสมัยปอนซีโอปีลาโต ถูกตรึงกางเขน ตาย และฝังไว้..."


------------------------------------------

 

Image5. เสด็จลงใต้บาดาล วันที่สามกลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย

          ชาวยิวเชื่อว่า "ใต้บาดาล" คือสถานที่สำหรับคนตายทุกคน ดังที่ยาโคบพูดหลังจากทราบว่าโยเซฟถูกสัตว์ร้ายกัดกินตายว่า "ฉันจะไว้ทุกข์จนกว่าจะตายไปอยู่กับลูกของฉัน" (ปฐก 37:35)

          ประเด็นที่คาดว่าน่าจะเป็นปัญหามากที่สุดคือ "พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย" จริงหรือ ?

          หลักฐานสำคัญได้มาจากพระวรสารทั้งสี่และบทจดหมายของนักบุญเปาโล ซึ่งช่วยให้เราลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่เช้าวันปัสกาได้ดังนี้

          -         สตรีใจศรัทธานำเครื่องหอมมาที่พระคูหาโดยเริ่มออกเดินทางตั้งแต่ยังไม่สว่าง และมาถึงพระคูหาเมื่อพระอาทิตย์ทอแสงแล้ว  พวกนางวิตกกังวลกับก้อนหินที่ปิดปากถ้ำฝังพระศพโดยไม่ทราบเรื่องเกี่ยวกับทหารยามที่เฝ้าปากถ้ำอยู่ (มธ 28:1-3; มก 16:1-3; ลก 24:1; ยน 20:1)

          -         ทูตสวรรค์ทำให้บรรดาทหารยามตกใจกลัวและหลบหนีไป  ทรงกลิ้งหินปิดปากถ้ำออกแล้วประทับนั่งเหนือ (above) ก้อนหิน ไม่ใช่บน (upon) ก้อนหิน (มธ 28:2-4)

          -         มารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบ และนางสะโลเม มาถึงพระคูหาและพบว่าก้อนหินถูกกลิ้งออกจากปากทางเข้าถ้ำ  มารีย์ชาวมักดาลารีบกลับไปแจ้งข่าวแก่บรรดาอัครสาวก (มก 16:4; ลก 24:2; ยน 20:1-2)

          -         สตรีสองนางที่เหลือเข้าไปในพระคูหาและพบทูตสวรรค์สวมเสื้อยาวสีขาวนั่งอยู่ ทรงชี้ให้ดูพระคูหาว่างเปล่าพร้อมกับประกาศว่าพระเยซูเจ้าทรงกลับเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว อีกทั้งทรงสั่งนางทั้งสองให้บอกเปโตรและบรรดาศิษย์ว่าพวกเขาจะพบพระองค์ได้ในแคว้นกาลิลี (มธ 28:5-7; มก 16:5-7)

          -         สตรีใจศรัทธากลุ่มที่สองประกอบด้วยโยอันนาและพวกได้มาที่พระคูหา เป็นไปได้ว่าพวกนางได้พบกับสตรีกลุ่มแรก  พวกนางได้เข้าไปในพระคูหาว่างเปล่าและได้พบทูตสวรรค์สององค์ซึ่งเตือนให้ระลึกว่า พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนชีพตามที่เคยสัญญาไว้แล้ว (ลก 24:10)

          -         หลังจากนั้นไม่นาน เปโตรและยอห์นซึ่งทราบข่าวจากมารีย์ชาวมักดาลาได้มาถึงพระคูหา และพบผ้าพันพระศพวางในตำแหน่งที่ทำให้เลิกคิดเรื่องศพถูกขโมยออกไปได้เลย  เพราะผ้าพันพระศพวางเรียบบนที่วางพระศพ ราวกับว่าพระศพได้อันตรธานหายไปโดยไม่มีการสัมผัสผ้าพันพระศพแต่ประการใด  เมื่อยอห์นเห็นเช่นนี้ ท่านเชื่อ (ยน 20:3-10)

          -         มารีย์ชาวมักดาลากลับมาที่พระคูหาอีกครั้ง นางได้พบทูตสวรรค์ทั้งสอง และหลังจากนั้นได้พบกับองค์พระเยซูเจ้าเอง (ยน 20:11-16; มก 16:9)

          -         สตรีใจศรัทธาทั้งสองกลุ่ม ซึ่งอาจพบกันระหว่างเดินทางกลับเข้าตัวเมือง ได้พบกับพระคริสตเจ้าผู้กลับคืนชีพ  พระองค์ทรงสั่งพวกนางให้บอกบรรดาพี่น้องว่าจะพบพระองค์ได้ในแคว้นกาลิลี (มธ 28:8-10; มก 16:8)

          -         สตรีใจศรัทธาเล่าสิ่งที่พบเห็นให้บรรดาอัครสาวกฟัง แต่ไม่มีผู้ใดเชื่อ (มก 16:10-11; ลก 24:9-11)

          -         พระเยซูเจ้าทรงปรากฏพระองค์แก่ศิษย์ที่เดินทางไปหมู่บ้านเอมมาอูส  เมื่อรู้ว่าพระองค์คือพระคริสตเจ้าผู้กลับคืนชีพ พวกเขารีบเดินทางกลับกรุงเยรูซาเล็ม  บรรดาอัครสาวกยังลังเลระหว่างสงสัยและเชื่อ (มก 16:12-13; ลก 24:13-35)

          -         พระคริสตเจ้าทรงประจักษ์แก่เปโตร  เปโตรและยอห์นเชื่อมั่นว่าพระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพ (ลก 24:34; ยน 20:8)

          -         หลังจากศิษย์ทั้งสองกลับจากเอมมาอูสแล้ว พระเยซูเจ้าทรงประจักษ์แก่บรรดาอัครสาวกยกเว้นโธมัส (มก 16:14; ลก 24:36-43; ยน 20:19-25)

          นอกจากนี้ นักบุญเปาโลได้ยืนยันว่าพระเยซูเจ้า "ทรงแสดงพระองค์แก่เคฟาส แล้วจึงทรงแสดงพระองค์แก่อัครสาวกสิบสองคน  หลังจากนั้นทรงแสดงองค์แก่พี่น้องมากกว่าห้าร้อยคนในคราวเดียว คนส่วนมากในจำนวนนี้ยังมีชีวิตอยู่ แม้ว่าบางคนล่วงหลับไปแล้ว  ต่อมาพระองค์ทรงแสดงพระองค์แก่ยากอบ แล้วจึงทรงแสดงพระองค์แก่อัครสาวกทุกคน  ในที่สุด ทรงแสดงพระองค์กับข้าพเจ้า" (1 คร 15:5-8)

          จากลำดับเหตุการณ์ที่ยกมา เราพบว่าข้อเท็จจริงเรื่องการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูคริสตเจ้าได้รับการยืนยันโดยประจักษ์พยานมากกว่า 500 คน

          ยากที่ประจักษ์พยานเหล่านั้นจะแต่งเรื่องขึ้นมาหลอกลวงประชาชน เหตุผลคือ

          -         การหลอกลวงทำได้ยากเพราะบรรดามหาสมณะ พวกฟาริสีและธรรมาจารย์ ต่างเฝ้าจับตาดูอย่างใกล้ชิด

          -         พวกเขาไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการหลอกลวง  ตรงกันข้าม การเป็นพยานมีแต่จะทำให้พวกเขาตกอยู่ในอันตรายถึงแก่ชีวิต

          -         ความร้อนรนในการแพร่ธรรมของพวกเขาบ่งบอกว่า นี่ไม่ใช่เรื่องหลอกลวง แต่เป็นเรื่องจริง

          -         บรรดาผู้มีอำนาจของชาวยิวที่สั่งประหารพระองค์ได้แต่นิ่งเงียบ พวกเขาไม่ได้ลงโทษทหารยามที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่  อีกทั้งไม่สามารถโต้แย้งคำสอนของบรรดาอัครสาวกนอกจากขู่ "แต่เราต้องขู่เขา อย่าให้กล่าวถึงนามนั้นแก่ผู้ใด เพื่อเรื่องนี้จะได้ไม่เล่าลือแพร่หลายไปในหมู่ประชาชนมากยิ่งขึ้น" (กจ 4:17)

          -         ที่สุด ทั้งชาวยิวและคนต่างศาสนาจำนวนมากพากันเชื่อคำยืนยันของประจักษ์พยานเหล่านี้ ทั้ง ๆ ที่ความเชื่อเช่นนี้มีแต่จะทำให้พวกเขาสูญเสียผลประโยชน์ทางโลก

          หากพระศาสนจักรถือกำเนิดและยังดำรงอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้โดยที่พระเยซูเจ้าไม่ได้กลับคืนชีพจริง ต้องนับว่าเป็นอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่กว่าการกลับคืนชีพของพระองค์เสียอีก !

          กระนั้นก็ตาม ยังมีคนไม่เชื่อและสอนแตกต่างออกไป

          พวกแรกสอนว่า พระเยซูเจ้าไม่ได้สิ้นพระชนม์ เพียงแต่สลบไป การกลับคืนชีพจึงเป็นเพียงการฟื้นจากสลบเท่านั้น

          แต่ข้อเท็จจริงเรื่องการสวมมงกุฎหนาม การแบกกางเขน การถูกตรึงบนไม้กางเขนนานสามชั่วโมงก่อนจะถูกทหารแทงด้วยหอก การยืนยันของนายร้อย การยืนยันของบรรดาศัตรูของพระองค์ ตลอดจนการถูกฝังในพระคูหาที่ขาดอากาศเป็นเวลานานโดยมีเครื่องหอมหนัก 40-50 กิโลกรัมทับอยู่ ทั้งหมดนี้คงทำให้พระองค์เป็นมากกว่าสลบ

          นอกจากนี้ หากพระองค์สลบไปจริง บรรยากาศเช้าวันปัสกาคงเต็มไปด้วยการเยียวยารักษาพระองค์ ไม่ใช่บรรยากาศแห่งชัยชนะที่ทำให้บรรดาศิษย์พากันตื่นเต้นยินดีอย่างนี้

          พวกที่สองสอนว่า บรรดาอัครสาวกขโมยพระศพไป แล้วประกาศว่าพระองค์กลับเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว

          หากบรรดาอัครสาวกขโมยพระศพไปจริง พวกเขาจะประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักรซึ่งเกี่ยวข้องกับความจริงและความชอบธรรมได้อย่างไร  ที่สำคัญพวกเขาได้ยืนยันสิ่งที่ประกาศด้วยชีวิตของพวกเขาเอง ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้หากพระเยซูเจ้ามิได้กลับเป็นขึ้นมา !

          พวกที่สามสอนว่า การประจักษ์ของพระเยซูเจ้าเป็นเพียงภาพลวงตา เหตุว่าบรรดาศิษย์ต่างพากันเชื่อ รัก และคาดหวังว่าพระองค์จะกลับเป็นขึ้นมา  เมื่อมีคนปล่อยข่าวเพียงนิดเดียว พวกเขาเลยสร้างจินตนาการว่าเห็น (ภาพลวงตาของ) พระองค์ปรากฏมาหาพวกเขา

          แต่ประวัติศาสตร์บ่งชี้ว่าทฤษฎี "ภาพลวงตา" ไม่สมเหตุสมผลด้วยประการทั้งปวง

          -         หลังจากพระเยซูเจ้าถูกจับกุม บรรดาศิษย์ต่างหลบหนีไปคนละทิศคนละทาง สภาพจิตใจของพวกเขาไม่ได้เชื่อและหวังจนสามารถจินตนาการเห็นภาพลวงตาได้  ตรงกันข้าม ต้องรอจนพบเห็นพระเยซูเจ้าผู้กลับคืนชีพแล้ว พวกเขาจึงเชื่อและมีความหวังในพระองค์

          -         หากเป็นภาพลวงตาจริง พวกเขาน่าจะจินตนาการเห็นภาพของพระองค์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรุ่งโรจน์ ยิ่งใหญ่และใกล้ชิดแนบแน่นกับพวกเขา  แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือการปรากฏกายของพระองค์เป็นการก้าวสู่สิ่งใหม่ชนิดที่ พวกเขาไม่เคยคาดหวังมาก่อน

          -         คริสตชนเริ่มแรกดำเนินชีวิตด้วยความสุขุมรอบคอบ แทนที่จะตื่นเต้นหรือกระตือรือร้นสุดขีดเยี่ยงผู้ที่ประสบพบเห็นภาพนิมิตทั่วไป

          -         ภาพลวงตามักปรากฏอยู่ไม่นาน แต่การปรากฏมาของพระเยซูเจ้ากินเวลานาน      -         เป็นไปไม่ได้ที่ภาพลวงตาจะเกิดขึ้นแก่คนหลายคนในคราวเดียวกัน

          -         หากเป็นภาพลวงตาก็น่าจะเกิดในแคว้นกาลิลีที่ซึ่งทุกฝ่ายมีความผูกพัน แต่ข้อเท็จจริงคือการประจักษ์ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในแคว้นยูเดีย

          -         ถ้าเป็นภาพลวงตา ทำไมภาพเหล่านั้นหายไปทันทีที่พระองค์เสด็จสู่สวรรค์ ?

          กลุ่มสุดท้ายคือพวกมีความคิดสมัยใหม่ (Modernist) พวกนี้สอนว่า เนื่องจากข้อมูลในพระวรสารแต่ละเล่มไม่สอดคล้องกัน บวกกับการไม่มีข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์รองรับ ทำให้การกลับเป็นขึ้นมาเป็นเพียงการที่ "พระคริสตเจ้าทรงเจริญชีวิตชั่วนิรันดรกับพระเจ้า" (เท่ากับว่าร่างกายของพระองค์ไม่ได้กลับเป็นขึ้นมาจริง)

          ประเด็นที่ต้องพิจารณาเกี่ยวกับความคิดสมัยใหม่นี้ คือ

          -         วิทยาศาสตร์มีข้อจำกัดในการพิสูจน์ความจริงเรื่องการกลับเป็นขึ้นมา เพราะร่างกายที่กลับเป็นขึ้นมาไม่อาจรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัส  ในกรณีของพระเยซูเจ้า เราไม่อาจอธิบายเรื่องพระคูหาว่างเปล่าและปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ ได้นอกจากยอมรับว่า เป็นอัศจรรย์เหนือธรรมชาติที่ทำให้พระองค์กลับเป็นขึ้นมาจากความตาย

          -         ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ไม่ได้บ่งบอกว่าความเชื่อเรื่องการกลับคืนชีพของพระคริสตเจ้าค่อย ๆ พัฒนามาจากความคิดเรื่อง "การเจริญชีวิตชั่วนิรันดรกับพระเจ้า"  ตรงกันข้าม การประจักษ์มาของพระองค์ทำให้ความเชื่อและความหวังของบรรดาศิษย์เต็มเปี่ยม จนกระทั่งพวกเขาเริ่มประกาศทันทีว่าพระเยซูคริสตเจ้าทรงกลับเป็นขึ้นมาจากความตาย ไม่ใช่แค่พระองค์ทรงมีชีวิตนิรันดรร่วมกับพระเจ้า

          -         พวกนิยมความคิดสมัยใหม่ไม่คำนึงถึงข้อมูลทางประวัติศาสตร์  พวกเขาสงสัยเรื่องการประจักษ์โดยไม่อธิบายว่าทำไมจึงสงสัย  พวกเขาปฏิเสธเรื่องพระคูหาว่างเปล่าทั้ง ๆ ที่พระวรสารยืนยันตรงกัน  พวกเขาตั้งคำถามลอย ๆ ว่าพระศพถูกฝังไว้ในคูหาของโยเซฟจริงหรือ ?

 

          ประเด็นสุดท้ายที่ควรเน้นคือ การกลับคืนพระชนมชีพของพระคริสตเจ้าเป็นพื้นฐานความเชื่อของคริสตชน และมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เหตุผลคือ

          -         ทำให้เราเห็นว่าพระเจ้าทรงเปี่ยมด้วยความยุติธรรม เพราะพระองค์ทรงเทิดทูนพระคริสตเจ้าขึ้นสูงส่งหลังจากที่ทรงถ่อมองค์ลงยอมรับความตาย แม้ความตายบนไม้กางเขน (ฟป 2:8-9)

          -         การกลับคืนชีพทำให้ประวัติศาสตร์แห่งความรอดครบสมบูรณ์  อาศัยการสิ้นพระชนม์ พระเยซูเจ้าทรงทำให้เราเป็นอิสระจากบาป   อาศัยการกลับคืนชีพ พระองค์ทรงฟื้นฟูความชอบธรรมที่เราสูญเสียไปเพราะบาป (รม 4:25)




Image

Image ติดตามอ่าน ตอนที่ 4 ...เสด็จขึ้นสวรรค์ ประทับเบื้องขวาพระเป็นเจ้าพระบิดาทรงสรรพานุภาพ แล้วจะเสด็จมาพิพากษาผู้เป็นและผู้ตาย ข้าพเจ้าเชื่อถึงพระจิต...
ในวันพุธหน้า (4 มี.ค. 52)


ความคิดเห็น

เขียนความคิดเห็น
ชื่อ:
หัวเรื่อง:
BBCode:Web AddressEmail AddressBold TextItalic TextUnderlined TextQuoteCodeOpen ListList ItemClose List
ความคิดเห็น:



รหัส:* Code

Powered by AkoComment 2.0!

< ก่อนหน้า   ถัดไป >