บทความล่าสุด |
---|
อนึ่ง บทความ หรือข้อเขียนทั้งหมดที่นำลงเว็บไซต์ jpthai.org เป็นทัศนะเฉพาะของผู้เขียน
ทางเว็บไซต์ jpthai อนุญาตให้คัดลอกบทความ/ข้อมูล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้
Donation / สนับสนุนการดำเนินงาน
|
ข้าพเจ้าเชื่อ (ตอนที่ 3) โดย บาทหลวงชัยยะ กิจสวัสดิ์ |
Wednesday, 25 February 2009 | ||||
กลับไปอ่าน ตอนที่ 1 "ข้าพเจ้าเชื่อถึงพระเป็นเจ้า พระบิดาทรงสรรพานุภาพสร้างฟ้าดิน
------------------------------------------ 5. เสด็จลงใต้บาดาล วันที่สามกลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย ชาวยิวเชื่อว่า "ใต้บาดาล" คือสถานที่สำหรับคนตายทุกคน ดังที่ยาโคบพูดหลังจากทราบว่าโยเซฟถูกสัตว์ร้ายกัดกินตายว่า "ฉันจะไว้ทุกข์จนกว่าจะตายไปอยู่กับลูกของฉัน" (ปฐก 37:35) ประเด็นที่คาดว่าน่าจะเป็นปัญหามากที่สุดคือ "พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย" จริงหรือ ? หลักฐานสำคัญได้มาจากพระวรสารทั้งสี่และบทจดหมายของนักบุญเปาโล ซึ่งช่วยให้เราลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่เช้าวันปัสกาได้ดังนี้ - สตรีใจศรัทธานำเครื่องหอมมาที่พระคูหาโดยเริ่มออกเดินทางตั้งแต่ยังไม่สว่าง และมาถึงพระคูหาเมื่อพระอาทิตย์ทอแสงแล้ว พวกนางวิตกกังวลกับก้อนหินที่ปิดปากถ้ำฝังพระศพโดยไม่ทราบเรื่องเกี่ยวกับทหารยามที่เฝ้าปากถ้ำอยู่ (มธ 28:1-3; มก 16:1-3; ลก 24:1; ยน 20:1) - ทูตสวรรค์ทำให้บรรดาทหารยามตกใจกลัวและหลบหนีไป ทรงกลิ้งหินปิดปากถ้ำออกแล้วประทับนั่งเหนือ (above) ก้อนหิน ไม่ใช่บน (upon) ก้อนหิน (มธ 28:2-4) - มารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบ และนางสะโลเม มาถึงพระคูหาและพบว่าก้อนหินถูกกลิ้งออกจากปากทางเข้าถ้ำ มารีย์ชาวมักดาลารีบกลับไปแจ้งข่าวแก่บรรดาอัครสาวก (มก 16:4; ลก 24:2; ยน 20:1-2) - สตรีสองนางที่เหลือเข้าไปในพระคูหาและพบทูตสวรรค์สวมเสื้อยาวสีขาวนั่งอยู่ ทรงชี้ให้ดูพระคูหาว่างเปล่าพร้อมกับประกาศว่าพระเยซูเจ้าทรงกลับเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว อีกทั้งทรงสั่งนางทั้งสองให้บอกเปโตรและบรรดาศิษย์ว่าพวกเขาจะพบพระองค์ได้ในแคว้นกาลิลี (มธ 28:5-7; มก 16:5-7) - สตรีใจศรัทธากลุ่มที่สองประกอบด้วยโยอันนาและพวกได้มาที่พระคูหา เป็นไปได้ว่าพวกนางได้พบกับสตรีกลุ่มแรก พวกนางได้เข้าไปในพระคูหาว่างเปล่าและได้พบทูตสวรรค์สององค์ซึ่งเตือนให้ระลึกว่า พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนชีพตามที่เคยสัญญาไว้แล้ว (ลก 24:10) - หลังจากนั้นไม่นาน เปโตรและยอห์นซึ่งทราบข่าวจากมารีย์ชาวมักดาลาได้มาถึงพระคูหา และพบผ้าพันพระศพวางในตำแหน่งที่ทำให้เลิกคิดเรื่องศพถูกขโมยออกไปได้เลย เพราะผ้าพันพระศพวางเรียบบนที่วางพระศพ ราวกับว่าพระศพได้อันตรธานหายไปโดยไม่มีการสัมผัสผ้าพันพระศพแต่ประการใด เมื่อยอห์นเห็นเช่นนี้ ท่านเชื่อ (ยน 20:3-10) - มารีย์ชาวมักดาลากลับมาที่พระคูหาอีกครั้ง นางได้พบทูตสวรรค์ทั้งสอง และหลังจากนั้นได้พบกับองค์พระเยซูเจ้าเอง (ยน 20:11-16; มก 16:9) - สตรีใจศรัทธาทั้งสองกลุ่ม ซึ่งอาจพบกันระหว่างเดินทางกลับเข้าตัวเมือง ได้พบกับพระคริสตเจ้าผู้กลับคืนชีพ พระองค์ทรงสั่งพวกนางให้บอกบรรดาพี่น้องว่าจะพบพระองค์ได้ในแคว้นกาลิลี (มธ 28:8-10; มก 16:8) - สตรีใจศรัทธาเล่าสิ่งที่พบเห็นให้บรรดาอัครสาวกฟัง แต่ไม่มีผู้ใดเชื่อ (มก 16:10-11; ลก 24:9-11) - พระเยซูเจ้าทรงปรากฏพระองค์แก่ศิษย์ที่เดินทางไปหมู่บ้านเอมมาอูส เมื่อรู้ว่าพระองค์คือพระคริสตเจ้าผู้กลับคืนชีพ พวกเขารีบเดินทางกลับกรุงเยรูซาเล็ม บรรดาอัครสาวกยังลังเลระหว่างสงสัยและเชื่อ (มก 16:12-13; ลก 24:13-35) - พระคริสตเจ้าทรงประจักษ์แก่เปโตร เปโตรและยอห์นเชื่อมั่นว่าพระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพ (ลก 24:34; ยน 20:8) - หลังจากศิษย์ทั้งสองกลับจากเอมมาอูสแล้ว พระเยซูเจ้าทรงประจักษ์แก่บรรดาอัครสาวกยกเว้นโธมัส (มก 16:14; ลก 24:36-43; ยน 20:19-25) นอกจากนี้ นักบุญเปาโลได้ยืนยันว่าพระเยซูเจ้า "ทรงแสดงพระองค์แก่เคฟาส แล้วจึงทรงแสดงพระองค์แก่อัครสาวกสิบสองคน หลังจากนั้นทรงแสดงองค์แก่พี่น้องมากกว่าห้าร้อยคนในคราวเดียว คนส่วนมากในจำนวนนี้ยังมีชีวิตอยู่ แม้ว่าบางคนล่วงหลับไปแล้ว ต่อมาพระองค์ทรงแสดงพระองค์แก่ยากอบ แล้วจึงทรงแสดงพระองค์แก่อัครสาวกทุกคน ในที่สุด ทรงแสดงพระองค์กับข้าพเจ้า" (1 คร 15:5-8) จากลำดับเหตุการณ์ที่ยกมา เราพบว่าข้อเท็จจริงเรื่องการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูคริสตเจ้าได้รับการยืนยันโดยประจักษ์พยานมากกว่า 500 คน ยากที่ประจักษ์พยานเหล่านั้นจะแต่งเรื่องขึ้นมาหลอกลวงประชาชน เหตุผลคือ - การหลอกลวงทำได้ยากเพราะบรรดามหาสมณะ พวกฟาริสีและธรรมาจารย์ ต่างเฝ้าจับตาดูอย่างใกล้ชิด - พวกเขาไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการหลอกลวง ตรงกันข้าม การเป็นพยานมีแต่จะทำให้พวกเขาตกอยู่ในอันตรายถึงแก่ชีวิต - ความร้อนรนในการแพร่ธรรมของพวกเขาบ่งบอกว่า นี่ไม่ใช่เรื่องหลอกลวง แต่เป็นเรื่องจริง - บรรดาผู้มีอำนาจของชาวยิวที่สั่งประหารพระองค์ได้แต่นิ่งเงียบ พวกเขาไม่ได้ลงโทษทหารยามที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ อีกทั้งไม่สามารถโต้แย้งคำสอนของบรรดาอัครสาวกนอกจากขู่ "แต่เราต้องขู่เขา อย่าให้กล่าวถึงนามนั้นแก่ผู้ใด เพื่อเรื่องนี้จะได้ไม่เล่าลือแพร่หลายไปในหมู่ประชาชนมากยิ่งขึ้น" (กจ 4:17) - ที่สุด ทั้งชาวยิวและคนต่างศาสนาจำนวนมากพากันเชื่อคำยืนยันของประจักษ์พยานเหล่านี้ ทั้ง ๆ ที่ความเชื่อเช่นนี้มีแต่จะทำให้พวกเขาสูญเสียผลประโยชน์ทางโลก หากพระศาสนจักรถือกำเนิดและยังดำรงอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้โดยที่พระเยซูเจ้าไม่ได้กลับคืนชีพจริง ต้องนับว่าเป็นอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่กว่าการกลับคืนชีพของพระองค์เสียอีก ! กระนั้นก็ตาม ยังมีคนไม่เชื่อและสอนแตกต่างออกไป พวกแรกสอนว่า พระเยซูเจ้าไม่ได้สิ้นพระชนม์ เพียงแต่สลบไป การกลับคืนชีพจึงเป็นเพียงการฟื้นจากสลบเท่านั้น แต่ข้อเท็จจริงเรื่องการสวมมงกุฎหนาม การแบกกางเขน การถูกตรึงบนไม้กางเขนนานสามชั่วโมงก่อนจะถูกทหารแทงด้วยหอก การยืนยันของนายร้อย การยืนยันของบรรดาศัตรูของพระองค์ ตลอดจนการถูกฝังในพระคูหาที่ขาดอากาศเป็นเวลานานโดยมีเครื่องหอมหนัก 40-50 กิโลกรัมทับอยู่ ทั้งหมดนี้คงทำให้พระองค์เป็นมากกว่าสลบ นอกจากนี้ หากพระองค์สลบไปจริง บรรยากาศเช้าวันปัสกาคงเต็มไปด้วยการเยียวยารักษาพระองค์ ไม่ใช่บรรยากาศแห่งชัยชนะที่ทำให้บรรดาศิษย์พากันตื่นเต้นยินดีอย่างนี้ พวกที่สองสอนว่า บรรดาอัครสาวกขโมยพระศพไป แล้วประกาศว่าพระองค์กลับเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว หากบรรดาอัครสาวกขโมยพระศพไปจริง พวกเขาจะประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักรซึ่งเกี่ยวข้องกับความจริงและความชอบธรรมได้อย่างไร ที่สำคัญพวกเขาได้ยืนยันสิ่งที่ประกาศด้วยชีวิตของพวกเขาเอง ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้หากพระเยซูเจ้ามิได้กลับเป็นขึ้นมา ! พวกที่สามสอนว่า การประจักษ์ของพระเยซูเจ้าเป็นเพียงภาพลวงตา เหตุว่าบรรดาศิษย์ต่างพากันเชื่อ รัก และคาดหวังว่าพระองค์จะกลับเป็นขึ้นมา เมื่อมีคนปล่อยข่าวเพียงนิดเดียว พวกเขาเลยสร้างจินตนาการว่าเห็น (ภาพลวงตาของ) พระองค์ปรากฏมาหาพวกเขา แต่ประวัติศาสตร์บ่งชี้ว่าทฤษฎี "ภาพลวงตา" ไม่สมเหตุสมผลด้วยประการทั้งปวง - หลังจากพระเยซูเจ้าถูกจับกุม บรรดาศิษย์ต่างหลบหนีไปคนละทิศคนละทาง สภาพจิตใจของพวกเขาไม่ได้เชื่อและหวังจนสามารถจินตนาการเห็นภาพลวงตาได้ ตรงกันข้าม ต้องรอจนพบเห็นพระเยซูเจ้าผู้กลับคืนชีพแล้ว พวกเขาจึงเชื่อและมีความหวังในพระองค์ - หากเป็นภาพลวงตาจริง พวกเขาน่าจะจินตนาการเห็นภาพของพระองค์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรุ่งโรจน์ ยิ่งใหญ่และใกล้ชิดแนบแน่นกับพวกเขา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือการปรากฏกายของพระองค์เป็นการก้าวสู่สิ่งใหม่ชนิดที่ พวกเขาไม่เคยคาดหวังมาก่อน - คริสตชนเริ่มแรกดำเนินชีวิตด้วยความสุขุมรอบคอบ แทนที่จะตื่นเต้นหรือกระตือรือร้นสุดขีดเยี่ยงผู้ที่ประสบพบเห็นภาพนิมิตทั่วไป - ภาพลวงตามักปรากฏอยู่ไม่นาน แต่การปรากฏมาของพระเยซูเจ้ากินเวลานาน - เป็นไปไม่ได้ที่ภาพลวงตาจะเกิดขึ้นแก่คนหลายคนในคราวเดียวกัน - หากเป็นภาพลวงตาก็น่าจะเกิดในแคว้นกาลิลีที่ซึ่งทุกฝ่ายมีความผูกพัน แต่ข้อเท็จจริงคือการประจักษ์ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในแคว้นยูเดีย - ถ้าเป็นภาพลวงตา ทำไมภาพเหล่านั้นหายไปทันทีที่พระองค์เสด็จสู่สวรรค์ ? กลุ่มสุดท้ายคือพวกมีความคิดสมัยใหม่ (Modernist) พวกนี้สอนว่า เนื่องจากข้อมูลในพระวรสารแต่ละเล่มไม่สอดคล้องกัน บวกกับการไม่มีข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์รองรับ ทำให้การกลับเป็นขึ้นมาเป็นเพียงการที่ "พระคริสตเจ้าทรงเจริญชีวิตชั่วนิรันดรกับพระเจ้า" (เท่ากับว่าร่างกายของพระองค์ไม่ได้กลับเป็นขึ้นมาจริง) ประเด็นที่ต้องพิจารณาเกี่ยวกับความคิดสมัยใหม่นี้ คือ - วิทยาศาสตร์มีข้อจำกัดในการพิสูจน์ความจริงเรื่องการกลับเป็นขึ้นมา เพราะร่างกายที่กลับเป็นขึ้นมาไม่อาจรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัส ในกรณีของพระเยซูเจ้า เราไม่อาจอธิบายเรื่องพระคูหาว่างเปล่าและปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ ได้นอกจากยอมรับว่า เป็นอัศจรรย์เหนือธรรมชาติที่ทำให้พระองค์กลับเป็นขึ้นมาจากความตาย - ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ไม่ได้บ่งบอกว่าความเชื่อเรื่องการกลับคืนชีพของพระคริสตเจ้าค่อย ๆ พัฒนามาจากความคิดเรื่อง "การเจริญชีวิตชั่วนิรันดรกับพระเจ้า" ตรงกันข้าม การประจักษ์มาของพระองค์ทำให้ความเชื่อและความหวังของบรรดาศิษย์เต็มเปี่ยม จนกระทั่งพวกเขาเริ่มประกาศทันทีว่าพระเยซูคริสตเจ้าทรงกลับเป็นขึ้นมาจากความตาย ไม่ใช่แค่พระองค์ทรงมีชีวิตนิรันดรร่วมกับพระเจ้า - พวกนิยมความคิดสมัยใหม่ไม่คำนึงถึงข้อมูลทางประวัติศาสตร์ พวกเขาสงสัยเรื่องการประจักษ์โดยไม่อธิบายว่าทำไมจึงสงสัย พวกเขาปฏิเสธเรื่องพระคูหาว่างเปล่าทั้ง ๆ ที่พระวรสารยืนยันตรงกัน พวกเขาตั้งคำถามลอย ๆ ว่าพระศพถูกฝังไว้ในคูหาของโยเซฟจริงหรือ ? ประเด็นสุดท้ายที่ควรเน้นคือ การกลับคืนพระชนมชีพของพระคริสตเจ้าเป็นพื้นฐานความเชื่อของคริสตชน และมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เหตุผลคือ - ทำให้เราเห็นว่าพระเจ้าทรงเปี่ยมด้วยความยุติธรรม เพราะพระองค์ทรงเทิดทูนพระคริสตเจ้าขึ้นสูงส่งหลังจากที่ทรงถ่อมองค์ลงยอมรับความตาย แม้ความตายบนไม้กางเขน (ฟป 2:8-9) - การกลับคืนชีพทำให้ประวัติศาสตร์แห่งความรอดครบสมบูรณ์ อาศัยการสิ้นพระชนม์ พระเยซูเจ้าทรงทำให้เราเป็นอิสระจากบาป อาศัยการกลับคืนชีพ พระองค์ทรงฟื้นฟูความชอบธรรมที่เราสูญเสียไปเพราะบาป (รม 4:25) ติดตามอ่าน ตอนที่ 4 ...เสด็จขึ้นสวรรค์ ประทับเบื้องขวาพระเป็นเจ้าพระบิดาทรงสรรพานุภาพ แล้วจะเสด็จมาพิพากษาผู้เป็นและผู้ตาย ข้าพเจ้าเชื่อถึงพระจิต... ในวันพุธหน้า (4 มี.ค. 52)
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|