บทความล่าสุด |
---|
อนึ่ง บทความ หรือข้อเขียนทั้งหมดที่นำลงเว็บไซต์ jpthai.org เป็นทัศนะเฉพาะของผู้เขียน
ทางเว็บไซต์ jpthai อนุญาตให้คัดลอกบทความ/ข้อมูล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้
Donation / สนับสนุนการดำเนินงาน
|
ข้าพเจ้าเชื่อ (ตอนที่ 2) โดย บาทหลวงชัยยะ กิจสวัสดิ์ |
Wednesday, 18 February 2009 | ||||
กลับไปอ่าน ตอนที่ 1 "ข้าพเจ้าเชื่อถึงพระเป็นเจ้า พระบิดาทรงสรรพานุภาพสร้างฟ้าดิน..."
2. เชื่อถึงพระเอกบุตรเยซูคริสต์สวามีของเรา
มีสองประเด็นเด่นเกี่ยวกับความเชื่อข้อนี้คือ "กำเนิด" และ "ธรรมชาติ" ของพระเยซูเจ้า สภาสังคายนานีเชอาพูดถึงกำเนิดของพระเยซูเจ้าไว้ว่า พระองค์ "ทรงบังเกิดจากพระบิดา" ในขณะที่ พระจิตเจ้า "ทรงเนื่องมาจากพระบิดาและพระบุตร" นักบุญโธมัส อะไควนัส อธิบายความแตกต่างระหว่าง "บังเกิด" และ "เนื่อง" ไว้ดังนี้ - พระเจ้าทรงมีสติปัญญาสำหรับคิด และน้ำใจสำหรับรัก - สิ่งที่พระเจ้าทรงคิดตั้งแต่นิรันดรคือ "ตัวพระองค์เอง" - เมื่อทรงคิด "ย่อมก่อให้เกิด" ตัวแทนของสิ่งที่ทรงคิด (ตัวอย่างเช่น เวลาเราคิดถึงมนุษย์ต่างดาว เรากำลังก่อให้เกิดตัวแทนหรือ "มโนภาพ" ของมนุษย์ต่างดาวขึ้นในความคิดของเรา) - เนื่องจากพระเจ้าทรงไม่มีขอบเขต ความคิดของพระองค์ย่อมไม่มีขอบเขต (คิดครั้งเดียวก็ครบครันและครอบคลุมทุกสิ่ง) และ "ตัวแทน" ของสิ่งที่ "เกิด" จากความคิดของพระองค์ก็ย่อมไม่มีขอบเขตไปด้วย พระคัมภีร์เรียก "ตัวแทน" ที่เกิดจากความคิดนี้ว่า "ภาพที่แลเห็นได้ของพระเจ้าที่แลเห็นไม่ได้", "พระวจนาตถ์", "พระปรีชาญาณ" ฯลฯ - และเพราะความคิดของพระเจ้าทรงก่อให้เกิดพระวจนาตถ์ ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับพระวจนาตถ์จึงได้แก่ "พ่อ-ลูก" หรือ "พระบิดา และ พระบุตร" จากภาษาเชิงเปรียบเทียบเหล่านี้ จึงนำมาสู่การยืนยันว่า " ข้าพเจ้าเชื่อว่า พระเยซูคริสตเจ้าทรงเป็นพระบุตรองค์เดียวของพระเป็นเจ้า ทรงบังเกิดจากพระบิดาก่อนกัปก่อนกัลป์ เป็นพระเป็นเจ้าจากพระเป็นเจ้า เป็นองค์ความสว่างจากองค์ความสว่าง เป็นพระเป็นเจ้าแท้จากพระเป็นเจ้าแท้ มิได้ถูกสร้าง แต่ทรงบังเกิดร่วมพระธรรมชาติเดียวกับพระบิดา...." ดังได้กล่าวแล้วว่า พระเจ้าทรงมีสติปัญญาสำหรับคิด และน้ำใจสำหรับรัก - ตั้งแต่นิรันดร พระบิดาทรงรักพระบุตรอย่างไม่มีขอบเขต - แต่ความรักของพระบิดาไม่ได้ก่อให้เกิดมโนภาพของพระบุตรผู้เป็นที่รัก เพียงแต่โน้มน้าวให้ทั้งพระบิดาและพระบุตรมีความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกัน - ความรักซึ่งไม่มีขอบเขตของพระบิดาจึงไม่ได้เกิดจากพระบิดา แต่ "เนื่อง" มาจากพระบิดาและพระบุตร (ที่ทรงรักกัน) - ความรักอันเนื่องมาจากพระบิดาและพระบุตรนี้ เป็นผลงานของ "น้ำใจ" หรือ "จิตใจ" ของพระเจ้า จึงได้รับพระนามว่า "พระจิต" เราจึงยืนยันว่า "ข้าพเจ้าเชื่อว่า พระจิตทรงเป็นพระเป็นเจ้าผู้บันดาลชีวิต ทรงเนื่องมาจากพระบิดาและพระบุตร ทรงรับสักการะและพระสิริรุ่งโรจน์ร่วมกับพระบิดาและพระบุตร พระองค์ดำรัสทางประกาศก" ประเด็นที่สองคือเรื่อง "พระธรรมชาติ" ของพระเยซูเจ้า ในอดีตมีคำสอนผิด ๆ เกิดขึ้นมากมาย เช่น พระเยซูเจ้าทรงมีสองธรรมชาติก็จริง แต่ธรรมชาติพระเจ้าสถิตอยู่ในธรรมชาติมนุษย์เหมือนพระเจ้าทรงประทับอยู่ในจิตใจของคริสตชน (เท่ากับว่าสองธรรมชาติไม่เป็นหนึ่งเดียวกันจริง หรือสรุปง่าย ๆ คือ พระเยซูเจ้าทรงมีสองบุคคล) บางพวกสอนว่าพระเยซูเจ้าทรงมีบุคคลเดียวและธรรมชาติเดียวคือ ธรรมชาติพระเจ้า อีกพวกหนึ่งสอนว่าพระเยซูเจ้าทรงมีบุคคลเดียว สองธรรมชาติ แต่ธรรมชาติมนุษย์โอนอ่อนผ่อนตามธรรมชาติพระเจ้าทั้งหมด คำสอนของพระศาสนจักรคือ - พระเยซูเจ้าทรงมี 2 ธรรมชาติ - แต่ละธรรมชาติมีคุณสมบัติของธรรมชาตินั้น ๆ อย่างสมบูรณ์ ไม่ขึ้นต่อกัน - ธรรมชาติทั้งสองรวมเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแท้จริง พระศาสนจักรเรียกธรรมล้ำลึกนี้ว่า Hypostatic Union สิ่งที่ต้องเน้นย้ำคือ - พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแท้ - และพระองค์ทรงเป็นมนุษย์แท้ด้วย - Jesus is God-Man. เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเศร้าพระทัย ทั้งพระเจ้าและมนุษย์ทรงเศร้าพระทัย เมื่อพระองค์ทรงถูกทรมานและประหาร ทั้งพระเจ้าและมนุษย์ทรงถูกทรมานและประหาร การทรมานและการสิ้นพระชนม์ของพระองค์จึงมีคุณค่ามหาศาลด้วยประการฉะนี้ ! 3. ปฏิสนธิเดชะพระจิต บังเกิดจากพระนางมารีอาพรหมจารี ประเด็นของความเชื่อข้อนี้คือ - ร่างกายของพระเยซูเจ้ามิได้ถูกส่งมาจากสวรรค์ หรือมิได้ถูกสร้างเหมือนอาดัม แต่พระนางมารีอาเป็นผู้มีส่วนจัดหาให้ - การมีส่วนร่วมของพระนางมารีอาย่อมเป็นไปเหมือนมารดาทุกคนที่ให้กำเนิดบุตร หาไม่แล้วเราจะเรียกพระเยซูเจ้าว่าทรงบังเกิดจากพระนางไม่ได้ - เพียงแต่ว่า "เชื้อ" ที่พัฒนาและเจริญเติบโตเป็นพระกุมาร มิได้เป็นผลงานของมนุษย์ แต่เป็นผลงานจากฤทธิ์อำนาจของพระจิตเจ้า - ด้วยฤทธิ์อำนาจเหนือธรรมชาติของพระจิตเจ้านี้เอง พระนางมารีอาจึงยังคงความเป็นพรหมจารีไว้ได้ นอกจากนั้นยังทำให้การบังเกิดของพระเยซูเจ้าสะท้อนถึงการบังเกิดจากพระบิดาก่อนกัปก่อนกัลป์ ทำให้องค์ความสว่างจากองค์ความสว่างที่ออกจากครรภ์ของพระนางมารีอากลายเป็น "แสงสว่าง" ส่องโลก และที่สุดทำให้ฤทธิ์อำนาจของพระผู้สูงสุดได้เข้ามาสู่ธรรมชาติ 4. รับทรมานสมัยปอนซีโอปีลาโต ถูกตรึงกางเขน ตาย และฝังไว้ พระวรสารระบุว่าพระเยซูเจ้าทรงรับทรมานและถูกตรึงตายบนไม้กางเขนในสมัยของคายาฟาส และปอนซีโอ ปีลาโต - มหาสมณะคายาฟาส ดำรงตำแหน่งระหว่างปี A.U.C. 772-290 หรือ ค.ศ. 18-36 (A.U.C. ย่อมาจาก Ab Urbe Condita หมายถึง "จากปีที่สร้างกรุงโรม") - ปอนซีโอ ปีลาโต เป็นผู้สำเร็จราชการระหว่างปี A.U.C. 780-790 นอกจากพระวรสารแล้ว พระศาสนจักรยุคแรกและบรรดาปิตาจารย์ถือว่าพระองค์สิ้นพระชนม์ปีที่ 15 หรือ 16 แห่งรัชสมัยของจักรพรรดิตีเบเรียส โดยมีกงสุลเป็นฝาแฝด และก่อนกรุงเยรูซาเล็มถูกทำลาย 42 ปี - ระหว่างรัชสมัยของจักรพรรดิตีเบเรียส มีกงสุลฝาแฝดชื่อ Fufius และ Rubellius ในปี A.U.C. 782 - และ 42 ปีก่อนกรุงเยรูซาเล็มถูกทำลาย ตรงกับปี A.U.C. 782 จึงเชื่อกันว่าพระองค์ทรง "รับทรมาน ถูกตรึงกางเขน ตาย และฝังไว้" ในปี A.U.C. 782 หรือ ค.ศ. 29 ติดตามอ่าน ตอนที่ 3 ...เสด็จลงใต้บาดาล วันที่สามกลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย... ได้ในวันพุธหน้า (25 ก.พ. 52)
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|