หน้าหลัก arrow ข่าวย้อนหลัง arrow เสวนา ก้าวผ่านความรุนแรงด้วยศาสนธรรม (ตอนที่ 2) โดย อ.ประมวล เพ็งจันทร์
หน้าหลัก
รู้จักยส
อยู่กับปวงประชา
ข่าวย้อนหลัง
เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน
ผู้ไถ่ : รายงานสถานการณ์
การศึกษาเพื่อสิทธิ&สันติภาพ
สื่อสิ่งพิมพ์ ยส.
มุมมองสิทธิฯ ในหนัง
กิจกรรม ยส.
คลังภาพ ยส.
เว็บบอร์ด ยส.
เว็บเพื่อนบ้าน
Facebook ยส.

ยส. (ยุติธรรมและสันติ)

จำนวนผู้เข้าชม
ขณะนี้มี 1264 บุคคลทั่วไป ออนไลน์

คลิก เขียนสมุดเยี่ยมคลิก เขียนสมุดเยี่ยม
ขอบคุณทุกท่าน
ที่แวะเข้ามาค่ะ

แนะนำสื่อ ฉบับล่าสุด


วารสารผู้ไถ่ ฉบับที่ 123: ชีวิต การต่อสู้ เพื่อความดีของกันและกัน กำลังใจ ความรัก และความหวัง
 วารสารผู้ไถ่
ฉบับที่ 123


วันสันติสากล 1 มกราคม 2024
 สารวันสันติสากล
1 มกราคม 2024
ปัญญาประดิษฐ์
และสันติภาพ


น้ำแห่งชีวิต (Aqua fons vitae)
 น้ำแห่งชีวิต
(Aqua fons vitae)
สมณกระทรวงเพื่อ
ส่งเสริมการพัฒนา
มนุษย์แบบองค์รวม


สมณลิขิตเตือนใจ...แอมะซอนที่รัก (QUERIDA AMAZONIA)
 แอมะซอนที่รัก
(QUERIDA AMAZONIA)
สมณลิขิตเตือนใจ...
ของสมเด็จ-
พระสันตะปาปาฟรังซิส


จงสรรเสริญพระเจ้า... การก้าวออกไปอย่างต่อเนื่องของเอเชีย
หนังสือแปล
จงสรรเสริญพระเจ้า...
การก้าวออกไป
อย่างต่อเนื่องของเอเชีย


ประมวลหลักคำสอนด้านสังคมของพระศาสนจักร ภาคที่ 2 และ3
หนังสือแปล
Compendium...
ประมวลหลักคำสอน
ด้านสังคมของ
พระศาสนจักร
ภาคที่ 2 และ3
 


ประมวลหลักคำสอนด้านสังคมของพระศาสนจักร ภาคที่ 1
หนังสือแปล
Compendium...
ประมวลหลักคำสอน
ด้านสังคมของ
พระศาสนจักร ภาคที่ 1



หนังสือ Jesus CEO :  พระเยซูเจ้า นักบริหารชั้นนำ
หนังสือแปล
Jesus CEO :
พระเยซูเจ้า
นักบริหารชั้นนำ



หนังสือ เส้นทางสู่สิทธิมนุษยชนศึกษา
หนังสือ เส้นทางสู่
สิทธิมนุษยชนศึกษา


พระสมณสาสน์ความรักในความจริง : Caritas in Veritate
หนังสือแปล
Caritas in Veritate :

พระสมณสาสน์
ความรักในความจริง



โปสเตอร์ อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติ พ.ศ.2532
โปสเตอร์
อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก
แห่งสหประชาชาติ
พ.ศ.2532


เว็บเพื่อนบ้าน

แวดวงต่างประเทศ

Pax Christi International - PCI

ACPP - Hotline Asia


ดูเว็บอื่นๆ ในหมวด

เว็บน่าสนใจ

เว็บด้านสิทธิฯ

ข่าวสาร/บันเทิง

หน่วยงานองค์กรคาทอลิก

บทความล่าสุด

   อนึ่ง บทความ หรือข้อเขียนทั้งหมดที่นำลงเว็บไซต์ jpthai.org เป็นทัศนะเฉพาะของผู้เขียน
และไม่ผูกพันกับคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อความยุติธรรมและสันติ

ทางเว็บไซต์ jpthai อนุญาตให้คัดลอกบทความ/ข้อมูล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้
แต่กรุณาระบุชื่อผู้เขียน และแหล่งที่มาด้วย ขอบคุณค่ะ

 

Donation / สนับสนุนการดำเนินงาน

  • โอนเข้าบัญชี ในนาม
    คณะกรรมการคาทอลิกฯ แผนกยุติธรรมและสันติ 
    ธนาคารกสิกรไทย สาขาห้วยขวาง บัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 084-2-07639-2
    (กรุณา
    ส่งสำเนาการโอนเงินทางอีเมล์ ccjpthai@gmail.com)
    (หรือ ส่งสำเนามาที่ LINE:
    https://lin.ee/LdMulwv)

  • ทางธนาณัติ สั่งจ่ายในนาม “ปริญดา วาปีกัง” ตู้ ปณ. สุทธิสาร (10321)
    114 (2492) ถ.ประชาสงเคราะห์ ซอย 24 ดินแดง กรุงเทพฯ 10400

เสวนา ก้าวผ่านความรุนแรงด้วยศาสนธรรม (ตอนที่ 2) โดย อ.ประมวล เพ็งจันทร์ พิมพ์
Wednesday, 15 October 2008

 กลับไปอ่าน ตอนที่ 1 ก่อน

------------------------------------------------

-ตอนที่ 2-


พรอันประเสริฐที่ได้รับ

Imageผมไม่อยากจะบอกว่า ผมได้ก้าวผ่านความรุนแรงเรียบร้อยแล้ว ผมเข้าใจว่าเรายังอยู่ในท่ามกลางความรุนแรง ผมยังมีความเพียรพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะใช้ชีวิตที่มีอยู่ เพื่อก้าวให้ผ่านความรุนแรงนั้น ที่ผมออกจากระบบราชการ ไม่ได้หมายความว่าระบบราชการไม่ดี หรือว่างานที่ทำอยู่ไม่ดี แต่คิดว่าช่วงเวลาที่สอนหนังสือมานานร่วม 20 ปี ผมอ่านหนังสือเยอะ ครุ่นคิดตามคำพูดของนักปราชญ์ และผู้รู้มามาก ผมนับถือพุทธศาสนา อ่านพระไตรปิฎก ท่องจำพระพุทธวจนะได้เป็นจำนวนมาก ผมยังจำได้ว่าวันที่ผมบอกลานักศึกษา เขากอดผมและร้องไห้ด้วยความอาลัยที่ผมจะจากเขาไป ผมได้พูดกับเขาว่า "ขอพวกคุณได้โปรดให้พรผม ผมไม่สามารถจะทำสิ่งใดได้สำเร็จ ถ้าบรรดาพวกคุณซึ่งเป็นที่รัก และคุณก็รักผม ไม่ให้พรผม ผมอยากจะบอกความจริงว่าทำไมผมต้องทำเช่นนี้ ผมสอนพวกคุณจนกระทั่งพวกคุณเชื่อว่าผมมีความรู้ในทางพระพุทธศาสนา เมื่อพวกคุณสงสัยสิ่งใดๆ เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา พวกคุณก็ถามผม และผมก็ตอบคุณไป แต่พวกคุณรู้หรือไม่ ผมละอายแก่ใจเป็นที่สุด ทั้งที่ผมรู้ว่าความโกรธ ความเกลียดผู้อื่นเป็นความชั่ว ความรัก ความเมตตาอาทรต่อผู้อื่นเป็นความดี ทั้งที่ผมรู้เช่นนี้ ผมยังมีคนเกลียดอยู่เยอะ ผมยังไม่สามารถรักเพื่อนมนุษย์หลายคนได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมอยากจะบอกพวกคุณ คือ ขอให้ช่วยให้กำลังใจผม" ผมคิดว่าการนั่งคิดและอ่านหนังสือคงไม่สามารถทำให้สิ่งที่เรียกว่าความรู้ที่แท้จริงเกิดขึ้นได้ แน่นอนนั้นเป็นคำพูดอาจจะเป็นสำนวนโวหาร แต่ผมปรารถนาจริงๆ ว่า ผมจะขอใช้ชีวิตในช่วงที่เหลืออยู่ไม่มากนี้ เรียนรู้อะไรบางสิ่งบางอย่าง

วันหนึ่งเมื่อได้รับพรจากภรรยา ซึ่งภรรยาเป็นเงื่อนไขสุดท้าย ถ้าภรรยาไม่อนุญาตและไม่ให้พร ผมก็จะไม่ออกจากบ้าน ถ้าในโลกใบนี้ สิ่งที่ได้รับอันเป็นของขวัญจากพระผู้เป็นเจ้า ภรรยาคือของขวัญที่ประเสริฐที่สุดที่พระองค์ประทานให้กับผม ผมจะไม่มีทางลืมเลือนและพูดอะไรอื่นได้อีก นอกจากขอบพระคุณพระองค์เป็นที่สุด ที่ประทานเพื่อนมนุษย์คนหนึ่งที่ประเสริฐให้กับผม เมื่อผมได้รับพรจากเธอ และได้ออกจากบ้าน อย่างคนที่ไม่มีชื่อเสียง ไม่มีเงินติดตัว ไม่มีอะไรที่เป็นคุณสมบัติที่เป็นหลักค้ำประกันว่าผมจะมีชีวิตรอดอยู่ได้


น้อย... ความงดงามที่สัมผัสได้

ช่วงเวลาที่ผมออกจากบ้าน (เมื่อตอนที่เดินทางจากเชียงใหม่สู่เกาะสมุย) ทุกๆ ก้าว ที่ก้าวไป ผมได้ค้นพบความหมายที่ยิ่งใหญ่ คือ ผมรู้ว่าในจิตใจของเพื่อนมนุษย์ลึกๆ แล้ว แต่ละคนมีความรักอยู่ในหัวใจ ผมสะเทือนใจมาก เมื่อได้ไปพบกับเพื่อนมนุษย์คนหนึ่ง ที่ไม่มีชื่ออยู่ในสำมะโนประชากรของประเทศ ไม่รู้ว่าพ่อแม่อยู่ที่ไหน ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน เมื่อผมกลับไปสอบถามหาคนๆ นี้ ผมจึงได้รับรู้เพียงแค่ว่า บุคคลผู้นี้มีคนไปพบถูกทิ้งไว้ที่ถังขยะที่ตลาดท่าช้างเมื่อหลายปีก่อน จึงเกิดความสงสารเลยนำมาเลี้ยง คนที่นำมาเลี้ยงก็ไม่มีฐานะดีที่จะเลี้ยงไว้ได้นาน สุดท้ายนำมาให้พระที่วัดเลี้ยงดูต่อ บุคคลผู้นี้ไม่มีความเฉลียวฉลาด ไม่ได้มีสติปัญญาเลอเลิศ มีชีวิตอยู่อย่างง่าย พระให้ทำอะไรก็ทำ วันหนึ่งเมื่อผมเดินไปอย่างคนพเนจร กึ่งคนบ้ากึ่งคนขอทานที่ไม่มีสังกัด พระแนะนำให้ไปขออนุญาตจากท่านเจ้าอาวาส ผมรอจนกระทั่งมืดค่ำ เจ้าอาวาสก็ไม่ออกมาให้ผมได้ขออนุญาต พระเลยบอกให้ผมไปหาที่นอน ตรงไหนก็ได้ในวัดนี้ พรุ่งนี้เช้าจึงค่อยกราบขออนุญาตในภายหลัง ผมตั้งใจว่าจะนอนที่ใดที่หนึ่ง บุคคลผู้นี้ที่ชาวบ้านทั่วไป เรียกเขาว่า "ไอ้น้อย" เพราะตัวเล็ก และชื่อนี่ได้ถูกเรียกมาตั้งแต่แรกพบ ไอ้น้อยเมื่อเห็นผมไม่มีที่พัก จึงเข้ามาถามว่า มายังไง จะไปไหน เขาบอกว่านอนที่นี่ก็ได้ เขาได้ไปจุดธูป 3 ดอก และบอกว่าใกล้กับวิหารที่เขาอยู่ มีรูปปั้นยักษ์ ซึ่งคือพญามาร ตามคติความเชื่อในพุทธศาสนา มารที่คอยมาผจญพระพุทธเจ้า ปั้นไว้เพื่อให้ชาวพุทธได้เรียนรู้ธรรมะ แต่ไอ้น้อยเรียกว่าท่านยักษ์  และได้บอกให้ขออนุญาตท่านยักษ์และนอนกับท่านยักษ์ เพราะตรงนั้นเป็นเวทีฐานพื้นซีเมนต์และมีมุมบัง ผมรับธูป 3 ดอกจากเขา และนั่งคุกเข่าต่อหน้ารูปปั้นยักษ์  กล่าววาจาให้น้อยได้ยินว่า "ท่านยักษ์ครับ ผมเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย บัดนี้ มืดค่ำแล้ว ขอให้ท่านได้โปรดเมตตาอนุญาตให้ผมได้พักนอนกับท่านด้วย" เมื่อผมกล่าวเสร็จ ไอ้น้อยก็รับธูปไป และบอกว่าท่านยักษ์ใจดี ท่านอนุญาตแล้ว นอนได้ เมื่อผมได้ที่นอน น้อยก็ถามต่อว่ากินอะไรหรือยัง? หิวมั้ย? เมื่อบอกว่ายัง เขาจึงได้ไปขอข้าวสารจากพระและได้น้ำพริกมากระปุกหนึ่ง และได้ก่อไฟหุงข้าว เมื่อหุงเสร็จก็ให้ผมกิน โดยเอาน้ำข้าวใส่ลงในน้ำพริกให้เหลว และไปเด็ดผักจากใกล้ๆ วิหาร ผมนั่งกินข้าวด้วยความรู้สึกสำนึกที่บอกไม่ถูก ผมเคยอยู่ในสถาบันการศึกษา เคยนึกรังเกียจความไม่ฉลาดของมนุษย์ และยกย่องสรรเสริญผู้ที่มีสติปัญญา มีความคิดลึกซึ้ง แต่วันหนึ่งผมกลับพบว่าเพื่อนมนุษย์ผู้หนึ่งที่ไม่ได้เฉลียวฉลาดอะไรเลย แต่เขากลับมีจิตใจที่งดงาม คืนนั้นผมนอนกับยักษ์ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก พอรุ่งเช้าจากลาน้อยมาด้วยคำถามว่าเขาอยากได้อะไรบ้างหรือไม่ ถ้าผมยังมีชีวิตอยู่ ผมจะหามาให้ เขาอยากได้วิทยุ เพื่อไว้ฟังพระสวดมนต์ตอนเช้า เมื่อกลับมาก็ได้ไปหาซื้อวิทยุเทปเพื่อกลับไปฝากน้อย ปรากฏว่าน้อยไม่อยู่ที่นั่นแล้ว พระที่วัดบอกว่ามีคณะหนึ่งมาทำบุญที่วัด พอคณะนั้นกลับ น้อยก็หายไป คิดว่าคงตามคณะนั้นไปด้วย ที่เล่าเรื่องน้อยให้ฟัง เพื่อจะบอกอะไรบางอย่างในสังคมที่เรายกย่องความเฉลียวฉลาด บางครั้งความเฉลียวฉลาดมากไปก็เป็นความรุนแรงอย่างไม่น่าเชื่อ ผมเลยนึกถึงน้อย ผมเชื่อว่าเขาเป็นความงดงามที่ผมสัมผัสได้

ท่ามกลางความรุนแรงที่เรามองไปรอบตัว และที่เห็นในปัจจุบัน ผมเข้าใจว่ามาจากความรู้สึกเกลียดชัง ที่เกิดขึ้นในใจของแต่ละคน ความเกลียดชัง รังเกียจ มาจากความเคยชินที่เราเกิดความสูญเสียความเชื่อมั่นในเพื่อนมนุษย์ สูญเสียความเชื่อมั่นในความดีงามที่มีอยู่ในจิตใจมนุษย์แต่ละคน


ความระแวงสงสัยและความหวาดกลัว ต้นเหตุแห่งความรุนแรง

Imageช่วงที่เดินทางจาริกในรัฐเกราล่า ทางตอนใต้ของอินเดีย ซึ่งเป็นรัฐที่มีชาวคริสต์มากเป็นอันดับหนึ่ง ชาวฮินดูเป็นอันดับสอง มุสลิมเป็นอันดับสาม ผมได้พบความหมายในใจที่ยิ่งใหญ่ ตอนนั้นผมต้องการใช้บริการรถสามล้อ จึงเรียกเขาและถามว่าจะไปยังที่จอดรถประจำทางคิดค่าบริการเท่าไร เขาบอกว่า 50 รูปี  ผมรู้สึกว่าแพง เพราะที่นั่น 5-10 รูปี ก็แพงมากแล้ว แต่การไปอินเดียในครั้งนี้ ได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า ทุกสิ่งที่มีอยู่ ถ้าสิ่งใดมีค่าต่อผู้อื่นและถูกฉกฉวยไปจะไม่หวงห้าม แม้กระทั่งชีวิต ถ้าเขาคิดว่าเป็นสิ่งที่มีค่า และต้องการจะฉกฉวยก็พร้อมที่จะมอบให้ เพราะฉะนั้นอย่าพูดถึงเรื่องเงินทองเลย บอกเท่าไรก็จะไม่ต่อราคา คิดว่าเราจ่ายหนี้ที่อินเดียมีพระคุณกับผม ผมจ่ายหนี้บวกดอกเบี้ยเพิ่มบ้างก็ไม่เป็นไร แต่สิ่งหนึ่งที่สะเทือนใจเป็นที่สุดคือ เมื่อไปถึงที่จอดรถประจำทาง และฝนกำลังตก ผมหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา หยิบเงิน 20 รูปี พอเขาเห็นผมหยิบเงินใบที่สอง เขาก็แสดงท่าทีว่าไม่ใช่แล้ว เขาบอกผมว่าขอโทษด้วยเขาพูดผิด เขาพูดภาษาอังกฤษไม่ดี ความจริงเราสื่อสารกันด้วยภาษาถิ่น แต่ภาษาถิ่นที่เป็นภาษากลาง (ภาษาฮินดี) ใช้ได้ไม่ดีทั้งสองคน ในใจของผมตอนนั้นกำลังรู้สึกว่าดอกเบี้ยคงแพงกว่าที่คิด แต่ขณะที่ผมรู้สึกเช่นนั้น เมื่อเขาบอกว่าภาษาอังกฤษเขาไม่ดี และเขาไม่ได้บอกว่า 50 รูปี เขาต้องการจะบอกว่า 15 รูปี ความรู้สึกของผมตอนนั้น เหมือนถูกตบหน้า ผมช่างแย่มาก ภาษาที่จะด่าตนเองก็ไม่ค่อยมี เพราะเราด่าแต่คนอื่น ความรู้สึกตอนนั้นผมแย่มาก จิตใจหยาบคายที่มองเพื่อนมนุษย์ในแง่ร้าย สิ่งหนึ่งที่ผมทำได้ ด้านหน้าของคนขับมีรูปไม้กางเขน สัญลักษณ์ของพระผู้เป็นเจ้า ผมทำได้เพียงเอาเงิน 20 รูปีทั้งสองใบ จับใส่มือเขา แล้วแสดงความเคารพ บอกให้รู้ว่าผมบูชาพระผู้เป็นเจ้า ขอให้รับเงินเถิด ผมไม่รู้จะทำอย่างไร รีบปัดมือเขา ไม่ให้คืนเงิน แล้วเดินหนีออกมา ที่เล่าเรื่องนี้ เพื่อจะบอกว่าในท่ามกลางความรุนแรง ผมเข้าใจว่าสิ่งที่เป็นมูลเหตุแห่งความรุนแรง คือความรู้สึกเกลียดชัง ความรู้สึกกลัวที่มีอยู่ในใจ เกิดความรู้สึกไม่ไว้เนื้อเชื่อใจเพื่อนมนุษย์ แน่นอนในโลกมนุษย์ ในสังคมยังมีคนที่คิดประทุษร้าย และคิดจะเบียดเบียนผู้อื่นด้วยความกลัวที่มีอยู่ในใจ แต่ผมเข้าใจว่าอย่างไรก็ตาม ผมควรที่จะทำใจให้ปลอดจากความกลัว และความระแวงเพื่อนมนุษย์เหล่านั้น

บทเรียนที่รัฐเกราล่าครั้งนั้นและอีกหลายครั้งที่ประสบ ทำให้ผมมาถึงจุดที่อยากจะพูดเป็นเชิงสรุป เข้าใจว่าทุกท่านในที่นี่ เคารพในองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อด้วยความรู้สึกของผมว่า พระองค์เป็นสรรพสถิต พระองค์สถิตอยู่ในทุกที่ รวมทั้งในใจของเราด้วย เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมมีความเชื่อมั่นอย่างหนักแน่นในปัจจุบันคือ ทำอย่างไรที่เราจะเปิดตัวเราเองให้เป็นที่สถิตแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า ให้พระองค์ได้เผยแสดงพระองค์ผ่านการพูด การกระทำและความคิดของเรา ซึ่งคิดว่าเป็นการเรียนรู้อันประเสริฐ และทุกครั้งที่ผมมีชีวิตอยู่และรับรู้สิ่งต่างๆ สิ่งที่ตั้งจิตปรารถนาอยู่เสมอ คือ ขอให้ชีวิต ความคิด ความสัมพันธ์ และความรู้ ได้เป็นสื่อและได้รับรู้กันในบรรดาเพื่อนมนุษย์ ที่จะให้ตัวเราเป็นสื่อของศาสนธรรมของแต่ละศาสนา จะเป็นพลังความหมายอันยิ่งใหญ่ ข้ามพ้นความรุนแรงในสังคม เมื่อวานนี้ (26 สิงหาคม) ที่เรารับรู้ข้อมูลผ่านสื่อโทรทัศน์ สิ่งพิมพ์ วิทยุ เหมือนกับมีไอของความร้อนอยู่รอบตัวเรา สิ่งที่เราจะทำได้ในตอนนี้ คือ การมีความเย็นอยู่ในตัวเรา ถ้าสิ่งที่อยู่ข้างนอกเป็นความรุนแรง เราต้องมีความรักอยู่ในใจ เข้าใจว่าไม่ว่าศาสนาใด ในศาสนาพุทธที่ผมนับถือ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาฮินดู ศาสนาซิกข์ ศาสนาเชน หรือที่ผมได้ผ่านการสวดมนต์ภาวนา จะเรียกชื่ออะไรก็ไม่ทราบ แต่ขอเรียกรวมๆ ว่ามีความหมายของคำว่ารักอยู่ในคำสอนของทุกศาสนา และผมเชื่อว่าเราจะสามารถก้าวผ่านความรุนแรงไปได้ ถ้าเราสามารถทำให้ศาสนธรรมนั้นมีความหมายที่แท้จริงอยู่ในตัวเรา

 

Image

 ติดตามอ่าน ตอนที่ 3 ได้ในวันพุธหน้าค่ะ 

 

ความคิดเห็น

เขียนความคิดเห็น
ชื่อ:
หัวเรื่อง:
BBCode:Web AddressEmail AddressBold TextItalic TextUnderlined TextQuoteCodeOpen ListList ItemClose List
ความคิดเห็น:



รหัส:* Code

Powered by AkoComment 2.0!

< ก่อนหน้า   ถัดไป >