บทความล่าสุด |
---|
อนึ่ง บทความ หรือข้อเขียนทั้งหมดที่นำลงเว็บไซต์ jpthai.org เป็นทัศนะเฉพาะของผู้เขียน
ทางเว็บไซต์ jpthai อนุญาตให้คัดลอกบทความ/ข้อมูล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้
Donation / สนับสนุนการดำเนินงาน
|
เสวนา ก้าวผ่านความรุนแรงด้วยศาสนธรรม (ตอนที่ 1) โดย อ.ประมวล เพ็งจันทร์ |
Friday, 10 October 2008 | ||||
-ตอนที่ 1-
เสวนา ก้าวผ่านความรุนแรงด้วยศาสนธรรม
วันที่ 27 สิงหาคม 2551
เนื่องจากสถานการณ์สังคมไทยในปัจจุบันที่อยู่ท่ามกลางความขัดแย้งและความเกลียดชัง
จนถึงขั้นทำร้ายร่างกายกันจนได้รับบาดเจ็บ และมีผู้เสียชีวิตไปแล้วนั้น เพียงเพราะมีความคิดเห็นทางการเมืองที่ไม่ตรงกัน
ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลในการกล่าวหากัน จนเกิดความแตกแยกขึ้นในสังคมไทย
จากที่เคยอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข สงบร่มเย็น ผู้คนมีจิตใจเมตตากรุณาต่อกัน แต่ปัจจุบันประชาชนอยู่ท่ามกลางความเกลียดชังและใช้อคติทำร้ายกัน
โดยไม่จำเป็นต้องมีเรื่องโกรธแค้นเป็นการส่วนตัว เพียงแต่เห็นว่าอยู่คนละฝ่าย
ก็ถือว่ามิใช่มิตรกัน ซึ่งเป็นการปลูกฝังความรู้สึกเกลียดชังให้เกิดขึ้นในจิตใจ
ที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น จากเหตุผลดังกล่าว คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อความยุติธรรมและสันติ (ยส.) จึงได้จัดเสวนาหัวข้อ "ก้าวผ่านความรุนแรงด้วยศาสนธรรม" เมื่อวันที่ 27 สิงหาคมที่ผ่านมา ณ ห้องประชุม ชั้น 10 อาคารสภาพระสังฆราชฯ เพื่อให้ทุกคนหันมาหยุดคิดและพิจารณาสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นด้วยใจที่สงบ เคารพในความคิดเห็นที่แตกต่าง โดยใช้หลักศาสนธรรมในการยึดเหนี่ยวจิตใจ เพื่อเป็นการยุติความขัดแย้งและสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในสังคมไทย ซึ่งมีผู้สนใจเข้าร่วมรับฟังทั้งสิ้น 52 คน จากคณะนักบวชชาย-หญิง เจ้าหน้าที่หน่วยงานในพระศาสนจักรคาทอลิก และโรงเรียนคาทอลิก
วิทยากรโดย
อ.ประมวล เพ็งจันทร์ อดีตอาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญาและศาสนา
คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้ใช้เวลา 66 วัน กับการเดินทางกว่า 1,000
กิโลเมตร เพื่อเดินทางจากเชียงใหม่สู่เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี อันเป็นบ้านเกิด และเป็นผู้เขียนหนังสือ
"เดินสู่อิสรภาพ" -------------------------------------------------------------------------------------
ความรุนแรงที่ยังคงฝั่งอยู่ในใจ เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2514 อายุประมาณ 16-17 ปี ขณะทำงานเป็นกรรมกรรับจ้างอยู่ที่ อ.บ้านนา จ.สุราษฎร์ธานี ปีนั้นครูโกมล คีมทอง ถูกฆ่าตาย ที่ อ.บ้านส้อง จ.สุราษฎร์ธานี และมีการปราบปรามผู้ก่อการร้ายโดยกองกำลังของฝ่ายราชการ ซึ่งผมเป็นกรรมกรอยู่ในเขตพื้นที่สีแดง ภาพที่ยังอยู่ในความทรงจำจนถึงทุกวันนี้ คือ เมื่อมีการปราบปราม เพื่อนผมจำนวนหนึ่งได้จบชีวิตลง เลือดที่ผมเห็น ชีวิตที่จบลง เป็นความเจ็บปวดที่ไม่รู้จะใช้คำใดๆ บอกเล่าได้มากไปกว่าเป็นความกลัว แม้ขณะนั้นอายุเพียง 17 ปี แต่ได้ผ่านการใช้ชีวิตและรับผิดชอบชีวิตมา ทำให้รู้สึกว่าการใช้ชีวิตที่มีอยู่คงไม่สามารถดำเนินไปได้ด้วยการทำงานแบบนี้อีกต่อไป จึงเดินทางกลับบ้านที่เกาะสมุย สิ่งที่บอกกับทางบ้านเมื่อกลับไปถึง คือ อยากจะบวช ตามคติของชาวพุทธ เมื่อเกิดความกลัวและมีความรู้สึกที่เป็นความรุนแรงภายในจิตใจ ก็มีความศรัทธาว่าการบวชจะช่วยชำระและผ่อนความรู้สึกกลัวให้คลายลง แม้ทางบ้านจะไม่เห็นด้วยกับวิธีคิดและความปรารถนาของผม แต่ด้วยคติความเชื่อที่ว่า ถ้ามีผู้ต้องการจะบวช ไม่ควรจะหักห้าม มีแต่แม่ที่เจรจาเชิงต่อรองว่า ถ้าบวชตอนนี้บวชได้เพียงเป็นสามเณรเท่านั้น ยังบวชเป็นพระภิกษุไม่ได้ ให้รออีกสักหน่อย เมื่อถึงเวลาที่จะบวชเป็นพระได้แล้วจึงค่อยบวช ผมมีความรู้สึกอยากจะบวช จึงต่อรองกับแม่ว่าจะบวชเป็นสามเณร แล้วจะอยู่รอให้เป็นพระภิกษุ จึงค่อยลาสิกขา ด้วยการเจรจาแบบนี้ สุดท้ายก็ได้บวชเป็นสามเณร และด้วยคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับแม่ คือ จะบวชรอจนอายุครบบวชพระภิกษุแล้วค่อยลาสิกขา แต่ด้วยเงื่อนไขนี้เอง ทำให้มีโอกาสเรียนรู้ว่า การมีชีวิตเป็นนักบวชมีความหมายต่อชีวิต การได้รู้ความหมายของชีวิตผ่านคำสอนทางศาสนา ทำให้รู้สึกว่าการบวชนั้น คงไม่ใช่เป็นเพียงการรอเวลาที่จะบวชพระตามประเพณีแล้วจึงกลับคืนสู่การประกอบอาชีพที่เหมือนเดิมอีก ที่สำคัญการบวชครั้งนั้น ได้มีการพบปะกับท่านผู้รู้ที่เป็นครูบาอาจารย์ และเป็นนักปราชญ์ของพุทธศาสนา คือ ท่านพุทธทาสภิกขุ ที่วัดสวนโมกข์ จากเหตุการณ์ตอนนั้นทำให้ความคิดที่จะสึกได้เปลี่ยนไป คิดจะศึกษาหาความรู้ และได้รับคำแนะนำให้มาศึกษาที่มหาวิทยาลัยสงฆ์ วัดบวรนิเวศวิหาร
ในปี พ.ศ.2518
ได้เข้ามาสู่กรุงเทพฯ และเรียนหนังสือที่วัดบวรนิเวศวิหาร ในปี พ.ศ.2519 ได้เกิดเหตุการณ์ที่ยังจำได้ไม่ลืม
คือ มีมวลชนไปล้อมวัดบวรฯ ซึ่งจอมพลถนอม กิตติขจรได้บวชเป็นสามเณรมาพำนักอยู่
ในฐานะที่เรียนหนังสือที่นั่น จึงรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น ได้ไปรับฟังข้อมูลข่าวสารต่างๆ
ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 เหตุการณ์สะเทือนใจที่ไม่ต่างจากที่เคยได้พบเห็นที่
จ.สุราษฎร์ธานีก็ได้เกิดขึ้นซ้ำอีก แต่ครั้งนี้เกิดในเมืองหลวง
ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และที่ท้องสนามหลวง
ผมรู้สึกว่าความรุนแรงได้ตามมาอีกครั้งหนึ่ง จึงเกิดความคิดว่าจะเอาอย่างไรกับชีวิต ซึ่งได้รับคำแนะนำที่ดี ที่มีผลทางการปฏิบัติในเวลาต่อมา ผมซึ่งยังเป็นพระและได้มีผู้สนับสนุนให้ไปศึกษาต่อทางพุทธศาสนาที่ประเทศอินเดีย ตอนนั้นผมไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับประเทศอินเดียเลย มีแต่ภาพที่นึกคิดเอาเองว่า อินเดียเป็นดินแดนแห่งต้นกำเนิดของพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้นอินเดียจึงเต็มไปด้วยบรรยากาศของการเรียนรู้ทางพุทธศาสนาที่ดี จึงเดินทางไปประเทศอินเดีย แต่เมื่อได้ไปเห็นจริงๆ กลับไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ในตอนต้น โดยเฉพาะเมื่อต้องไปเรียนหนังสือ ซึ่งตอนนั้นไม่ได้เรียนจบปริญญาใดๆ จากเมืองไทย ความรู้ของผมถูกเทียบเท่ากับชั้นมัธยมตอนปลาย เพราะฉะนั้นผมต้องไปเริ่มต้นเรียนหนังสือระดับชั้นปริญญาตรี และชีวิตการเรียนหนังสือของผมที่นั่น เป็นชีวิตที่ต้องพบกับความรุนแรงมาก การไปอยู่โดยประกาศตนว่าไม่ได้เป็นฮินดู (ในแบบฟอร์มมีให้เลือกแค่เป็นฮินดูหรือไม่เป็นฮินดู) ซึ่งเมื่อเลือกว่าไม่ใช่ฮินดู ก็ต้องไปอยู่หอพักที่เป็นมุสลิม ต่อมาได้พบความยุ่งยากในการมีชีวิตอยู่ในหอพักมุสลิม เพื่อนร่วมหอพักมีความรู้สึกรังเกียจผม ที่สุดก็ต้องแก้ไขปัญหา โดยไม่คิดว่าจะใช้วิธีการนี้ คือ การได้รับความช่วยเหลือจากครอบครัวชาวคริสต์ ที่ขออนุญาตเรียกท่านว่าแม่ ตอนนั้นท่านอายุ 84 ปี และด้วยเหตุอันใดไม่ทราบ ตอนที่ท่านเชิญชวนให้ผมไปพักอาศัยอยู่ในบ้านของท่าน เพื่อไม่ให้พบกับความยุ่งยากในการมีชีวิตอยู่ในหอพัก ต่อมาจึงได้รู้ว่าแม้ท่านจะนับถือศาสนาคริสต์ แต่ท่านก็มีคติความเชื่อของชาวอินเดีย ท่านซึ่งมีลูกสาว 4 คน สามีทำงานเป็นเจ้าหน้าที่การรถไฟอินเดีย (เวลานั้นอินเดียกับปากีสถานยังไม่ได้แบ่งแยกประเทศ) ขณะที่แม่ตั้งท้องลูกคนที่ 4 ได้สามเดือน สามีได้ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ท่านเสียใจต่อการสูญเสีย แต่ยังมีความหวังว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทานลูกชายมาให้ เพราะฉะนั้นคนที่อยู่ในท้องจะต้องเป็นผู้ชาย แต่สุดท้ายก็เป็นลูกสาว ด้วยความเชื่อมั่นศรัทธาว่าพระผู้เป็นเจ้าจะต้องประทานลูกชายมาให้ท่านอย่างแน่นอน และท่านก็รอว่าลูกของท่านที่ไม่ได้เกิดจากท่านจะต้องกลับมาหาท่าน ซึ่งท่านได้เล่าให้ฟังในเวลาต่อมา ว่าวันที่ท่านพบกับผม คือ ผมมีเพื่อนคนหนึ่งที่รู้ว่าผมมีปัญหาในการอยู่และถูกกลั่นแกล้ง และคิดจะหาที่พักใหม่ให้ผม พาผมไปที่บ้านหลังใหญ่นี้ ที่มีเพียงหญิงชราอยู่บ้านและหลานๆ ผ่านไปมา จึงเข้าไปถามว่าบ้านส่วนที่ไม่มีคนอยู่จะให้ผมอยู่ได้หรือไม่ ท่านเล่าให้ผมฟังว่า ท่านกำลังอ่านพระคัมภีร์ และมีคนพาผมมาหาท่าน ท่านจึงรู้สึกว่าผม คือลูกของท่านที่กลับมาอยู่กับท่าน ท่านจึงให้ผมอยู่ และได้บอกกับท่านว่าผมมีค่าใช้จ่ายเพียงแค่นี้จะรับได้หรือไม่ ท่านบอกว่าเท่าไรก็ได้ ซึ่งต่อมาท่านก็ไม่ได้เก็บค่าเช่าบ้านผม รวมทั้งเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการศึกษาของผมในเวลาต่อมาด้วย ผมเล่าถึงท่าน เพราะอยากให้ทุกท่านทราบว่า ในท่ามกลางความรุนแรง ผมได้พบสิ่งที่ตรงกันข้าม และเป็นบทเรียนครั้งหนึ่งที่ได้จดจำมาจนถึงปัจจุบันนี้
เมื่อผมเรียนจบปริญญาตรี
และได้จากลาท่าน คำพูดตอนที่ผมขอลาท่านไปเรียนหนังสือต่อที่อื่น คือ ขอให้ผมได้กลับมา
แม้ไม่ได้กลับมาตอนที่ท่านมีชีวิต ก็ขอให้กลับมาเพื่อจะเอาทรายกลบท่านในหลุมฝั่งศพ
แต่ผมกลับไม่ได้ทำ... ผมกลับไปอินเดียอีกครั้งเมื่อปี พ.ศ.2550 ได้ไปคารวะหลุมฝั่งศพของท่าน ผมขอให้หลานของท่านพาผมไปที่โบสถ์ ซึ่งเป็นโบสถ์ที่ศักดิ์สิทธิ์มากในอินเดีย ภาษาท้องถิ่นเรียกว่าสารธนะเชิร์ช อยู่ที่เมืองเมืองสารธนะ ที่นี่แม่เคยพาผมไป เพื่อขอพรให้ผมเรียนหนังสือประสบความสำเร็จและขอให้พระแม่ (รูปพระนางมารีย์ในศาสนาคาทอลิก) คุ้มครองผมให้ประสบกับสิ่งดีงามในชีวิต ตอนนั้นผมไปเพราะเกรงใจแม่ เพราะแม่อยากจะพาไป ไปเพราะแม่รักผม แต่การไปในครั้งนี้ ผมไปนั่งคุกเข่า และร้องไห้ออกมา สิ่งหนึ่งที่ระลึกได้คือ ช่วงที่เป็นวัยหนุ่ม ผมเต็มไปด้วยความคิดเชิงเหตุผล ไม่สามารถทะลุเข้าถึงความหมายของหญิงชราคนหนึ่งที่รักผม และปรารถนาให้ผมพบสิ่งที่ดีงามได้ จนกระทั่งอายุ 50 กว่าปี จึงได้กลับไปอีกครั้งหนึ่ง ไปนั่งที่หน้าพระแม่ ด้วยความรู้สึกว่าผมใช้เวลานานมาก กว่าจะรู้ถึงความหมายที่ลึกซึ้ง สูงส่ง ที่ผมมีบุญได้ประสบ ผมเล่าเรื่องนี้ เพื่อจะบอกว่าในท่ามกลางความรุนแรงที่อยู่ภายในใจผม ผมได้พบว่ามีสภาวะที่ตรงกันข้าม ทั้งที่ได้เรียนรู้ผ่านพุทธศาสนา เรียนรู้ผ่านผู้มีพระคุณของผมที่นับถือพระผู้เป็นเจ้า ทั้งการเรียนรู้ชีวิตในเวลาต่อมาอีกหลายครั้ง ทำให้มีความรู้สึกว่าความรุนแรงที่ยิ่งใหญ่มันอยู่ในใจของเรา และได้ผลิดอกออกผลมาเป็นคำพูด เป็นการกระทำและเป็นความคิดที่เบียดเบียนตัวเราเองและผู้อื่นในสังคม
การกลับไปอินเดียครั้งล่าสุดนี้ ผมไม่มีศาสนาใดศาสนาหนึ่งเป็นเครื่องบ่งบอก แต่ผมมีศาสนธรรมของทุกศาสนาที่ชาวอินเดียเคารพนับถือเป็นหลัก เพราะฉะนั้นผมได้กราบคารวะศาสนสถานของศาสนาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นที่เทพมณเฑียรของชาวฮินดู โบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ที่สารธนะ หรือที่โบสถ์อื่นๆ ในรัฐเกราล่า ไปนั่งสวดมนต์และภาวนา ได้ค้นพบความหมายที่มากมาย ไปที่สุวรรณวิหารของศาสนาซิกข์ วัดสำคัญของศาสนาเชน รวมทั้งมัสยิดของชาวมุสลิม ผมพบว่าสิ่งที่ผมมีบุญได้สัมผัส คือ ทุกศาสนามีความศักดิ์สิทธิ์สูงส่ง ทำให้จิตใจที่หยาบ มีความนุ่มนวลอ่อนโยนลง และที่สำคัญมาก คือได้พบความหมายที่ยิ่งใหญ่ของการมีชีวิตอยู่ นั่นคือ การได้สัมผัสรับรู้ความยิ่งใหญ่สูงส่งศักดิ์สิทธิ์ผ่านช่องทางใดช่องทางหนึ่ง ซึ่งแต่ละคนจะมีโอกาสสัมผัส โดยศรัทธาที่ตัวเองมีอยู่ผ่านจารีตประเพณีหรือครอบครัว เพราะฉะนั้น ผมคิดว่าเวลาที่เราพบกันในวันนี้ คงไม่ได้เป็นไปโดยความบังเอิญ องค์พระผู้เป็นเจ้าท่านประทานโอกาสนี้มาให้ เราจึงได้มาพบกัน
ติดตามอ่าน ตอนที่ 2 ได้ในวันพุธหน้าค่ะ
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|