กลับไปอ่าน ตอนที่ 1 ก่อน
+++++++++++++++++++++++++++++++
ความรัก (ตอนที่ 2)
โดย บาทหลวงชัยยะ กิจสวัสดิ์
รักมนุษย์
รักมนุษย์หมายถึง
"รักตัวเอง" และ "รักเพื่อนมนุษย์"
แม้นักบุญเกรโกรีจะคัดค้านความรักต่อตัวเองด้วยเหตุผลว่าความรักจำเป็นต้องประกอบด้วยสองฝ่าย
และนักบุญเอากุสตินให้เหตุผลว่าไม่มีบัญญัติข้อใดสั่งให้รักตัวเองก็ตาม
แต่เหตุผลของทั้งสองเป็นเพียงการเล่นคำและเป็นการกล่าวถึงความรักตามธรรมชาติเท่านั้น
ในฐานะที่เป็นคุณธรรมที่เกี่ยวกับพระเจ้า
ความรักต่อตัวเองไม่เพียงเป็นสิ่งจำเป็นและเป็นไปได้เท่านั้น
แต่ยังเป็นคำสั่งที่แฝงอยู่ในพระวาจาที่ว่า "ท่านต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง" (มธ 22:39) อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม
คำสั่งให้รักตนเองก็มาพร้อมกับความคลุมเครือว่าจะมีประโยชน์อะไร
- ต่อความรอดของวิญญาณ "มนุษย์จะได้ประโยชน์ใดในการที่ได้โลกทั้งโลกเป็นกำไร แต่ต้องเสียชีวิต" (มธ 16:26)
- ต่อการได้รับพระคุณต่าง
ๆ "ท่านทั้งหลายจงอย่าสะสมทรัพย์สมบัติบนแผ่นดินนี้เลย
ที่นี่ทรัพย์สมบัติทั้งหลายถูกสนิมและขมวนกัดกิน
และถูกขโมยเจาะช่องเข้ามาขโมยไปได้ แต่จงสะสมทรัพย์สมบัติในสวรรค์เถิด
ที่นั่นไม่มีสนิมหรือขมวนกัดกิน และขโมยก็เจาะช่องเข้ามาขโมยไปไม่ได้ เพราะทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ใด
ใจของท่านก็จะอยู่ที่นั่นด้วย" (มธ 6:19-21)
- ต่อร่างกายของเรา "อย่ามอบร่างกายส่วนหนึ่งส่วนใดให้แก่บาปเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการทำความชั่ว" (รม 6:13) "ท่านไม่รู้หรือว่า
ร่างกายของท่านเป็นพระวิหารของพระจิตเจ้าผู้สถิตอยู่ในท่าน" (1 คร 6:19) "ท่านทั้งหลายจงปราบโลกีย์วิสัยในตัวท่าน
คือการผิดประเวณี ความลามก กิเลสตัณหา ความปรารถนาในทางชั่วร้าย
และความโลภซึ่งเป็นเหมือนการกราบไหว้รูปเคารพอย่างหนึ่ง"
(คส 3:5)
นอกจากนั้น
ยังเป็นการยากที่จะหาแนวทางปฏิบัติสำหรับการรักตัวเองนอกเหนือจากบัญญัติข้ออื่น ๆ
ซึ่งครอบคลุมความประพฤติของเราหมดแล้ว
สิ่งที่ชัดเจนและสำคัญกว่าการรักตัวเองคือ
"รักเพื่อนมนุษย์"
สิ่งที่ทำให้ความรักต่อเพื่อนมนุษย์ตามแบบคริสตชนแตกต่างและเหนือกว่าความรักตามความคิดของชาวยิวและคนต่างศาสนา
ไม่ได้อยู่ที่คำสั่ง ข้อห้าม หรือผลอันเกิดจากความรัก แต่อยู่ที่ "แรงจูงใจ"
- ความรักต่อเพื่อนมนุษย์คือบัญญัติใหม่และเป็นเกณฑ์ตัดสินว่าเราเป็นคริสตชนหรือไม่
"เราให้บทบัญญัติใหม่แก่ท่านทั้งหลาย ให้ท่านรักกัน เรารักท่านทั้งหลายอย่างไร
ท่านก็จงรักกันอย่างนั้นเถิด ถ้าท่านมีความรักต่อกัน
ทุกคนจะรู้ว่าท่านเป็นศิษย์ของเรา" (ยน 13:34-35)
- เป็นมาตรฐานในการพิพากษาตัดสิน "เชิญมาเถิด ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา
เชิญมารับอาณาจักรเป็นมรดกที่เตรียมไว้ให้ท่านแล้วตั้งแต่สร้างโลก เพราะว่า
เมื่อเราหิวท่านให้เรากิน เรากระหายท่านให้เราดื่ม
เราเป็นแขกแปลกหน้าท่านก็ต้อนรับ เราไม่มีเสื้อผ้าท่านก็ให้เสื้อผ้าแก่เรา
เราเจ็บป่วยท่านก็มาเยี่ยม เราอยู่ในคุกท่านก็มาหา" (มธ 25:34-36)
- เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเรารักพระเจ้าหรือไม่
"เราจำแนกบุตรของพระเจ้าจากบุตรของปีศาจได้โดยวิธีนี้
คือทุกคนที่ไม่ประพฤติชอบ และไม่รักพี่น้องของตนก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า" (1 ยน 3:10)
- เป็นการปฏิบัติตามบัญญัติโดยสมบูรณ์ "เพราะธรรมบัญญัติทั้งหมดสรุปได้เป็นข้อเดียวว่า
จงรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง" (กท 5:14)
"รักเพื่อนมนุษย์เพราะเห็นแก่พระเจ้า"
หมายความว่าเรายกระดับความเป็นปึกแผ่นตามธรรมชาติและความรู้สึกเป็นเพื่อนระหว่างมนุษย์ด้วยกันเองขึ้นสู่ระดับที่สูงกว่า
นั่นคือมองว่ามนุษย์ทุกคนล้วนเป็นบุตรของพระเจ้าและเป็นทายาทสวรรค์ ด้วยความคิดเช่นนี้ความรักต่อเพื่อนมนุษย์จึงใกล้เคียงกับความรักที่พระเยซูเจ้าทรงมีต่อเรา
("เรารักท่านทั้งหลายอย่างไร ท่านก็จงรักกันอย่างนั้นเถิด" - ยน 13:34) และทำให้สิ่งที่เราทำต่อเพื่อนมนุษย์เป็นการทำต่อพระเยซูเจ้าเอง
("เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า
ท่านทำสิ่งใดต่อพี่น้องผู้ต่ำต้อยที่สุดของเราคนหนึ่ง ท่านก็ทำสิ่งนั้นต่อเรา" - มธ 25:40)
ด้วยแรงจูงใจอันสูงส่งที่ทำให้เรามองเห็นพระเจ้าในเพื่อนมนุษย์นี้เอง
ความรักต่อเพื่อนมนุษย์จึงต้องไม่จำกัดอยู่เฉพาะสมาชิกในครอบครัว
ผู้ที่นับถือศาสนาเดียวกัน เพื่อนร่วมชาติเดียวกัน หรือคนแปลกหน้าในเขตแดนเดียวกัน
(ลนต 19:34) แต่ต้องขยายออกไปโดย "ไม่มีความแตกต่างกันระหว่างชาวยิวกับผู้ที่ไม่ใช่ชาวยิว" (รม 10:12) และไม่เว้นแม้แต่คนวงนอกอย่างเช่นชาวสะมาเรีย
(ลก 10:22) หรือศัตรูของเราเอง (มธ 5:23)
เพื่อให้กิจการแห่งความรักเป็นไปด้วยความสุขุมรอบคอบและบังเกิดผล
จำเป็นต้องจัดลำดับความรักให้ชัดเจนโดยคำนึงถึงองค์ประกอบ 3 ประการคือ
- บุคคลที่ต้องการความรักจากเรา
- ผลประโยชน์ที่เราปรารถนาจัดหาให้เขา
- ความจำเป็น
หากแยกพิจารณาองค์ประกอบทั้งสามทีละข้อโดยเริ่มต้นที่ "บุคคล"
ลำดับความสำคัญจะออกมาประมาณนี้ - ตัวเอง ภรรยา ลูก พ่อแม่ พี่น้องชายหญิง
เพื่อน คนในบ้าน เพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมชาติ และคนอื่น ๆ
เกี่ยวกับ
"ผลประโยชน์" มี 3 ลำดับ
-
ผลประโยชน์ด้านจิตใจที่เกี่ยวกับความรอดของวิญญาณ
ต้องได้รับความห่วงใยและให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก
- ผลประโยชน์ภายในตามธรรมชาติเกี่ยวกับวิญญาณและร่างกาย
เช่น ชีวิต สุขภาพ ความรู้ อิสรภาพ ฯลฯ เป็นอันดับสอง
- ผลประโยชน์ภายนอก เช่น ชื่อเสียง
ความร่ำรวย ฯลฯ
เกี่ยวกับ "ความจำเป็น"
ควรถือลำดับดังนี้
- ความจำเป็นสูงสุด เมื่อคนหนึ่งตกอยู่ในอันตรายใกล้ตายหรืออาจถูกตัดขาดจากพระศาสนจักร
หรืออาจสูญเสียสิ่งอื่นที่มีความสำคัญระดับเดียวกัน โดยที่เขาไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย
- ความจำเป็นหนัก เมื่อคนหนึ่งอยู่ในอันตรายเช่นเดียวกับข้อแรกแต่สามารถแก้ไขได้ด้วยความพยายามขั้นวีรกรรมของเขาเอง
- ความจำเป็นทั่วไป ที่ผลกระทบไม่ถึงกับทำให้ถูกตัดขาดจากพระศาสนจักร
หรือขอทานที่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้โดยไม่ยากลำบากนัก
หากนำองค์ประกอบทั้งสามมาพิจารณาร่วมกันย่อมเกิดความซับซ้อน
แต่พอถือเป็นหลักการได้ดังนี้
- ความรักอันเป็นความพึงพอใจให้คำนึงถึงผู้รับว่าสมควรเพียงใด
ส่วนความรักอันเป็นบุญกุศลให้คำนึงถึงความใกล้ชิดและความจำเป็นของเพื่อนบ้าน
- ความรอดของตัวเราต้องมาก่อนอื่นใดหมด
ห้ามทำบาปเพราะเห็นแก่ความรักต่อผู้อื่นหรือต่อสิ่งใดก็ตาม และห้ามปล่อยให้วิญญาณตกอยู่ในอันตรายโดยปราศจากความระมัดระวังและหลักประกันว่าพระเจ้าทรงคุ้มครอง
- เรามีพันธะต้องช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่มีความจำเป็นด้านวิญญาณสูงสุด
แม้จะต้องพลีชีพของตน ไม่ว่าเราจะแน่ใจในความจำเป็นของเพื่อนมนุษย์หรือผลอันเกิดจากความช่วยเหลือของเราหรือไม่ก็ตาม
- สืบเนื่องจากข้อ 3
มีน้อยกรณีมากที่ยกเว้นเราจากการเสี่ยงชีวิตหรืออวัยวะของเราเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์
กระนั้นก็ตามเรายังมีหน้าที่ต้องแบกรับความไม่สะดวกนานัปการอันเกิดจากความต้องการของเพื่อนมนุษย์หรือคนใกล้ชิดผู้นั้น
ติดตามอ่าน ตอนที่ 3 ได้ในวันพุธหน้า (24 ก.ย.)
Powered by AkoComment 2.0! |