บทความล่าสุด |
---|
อนึ่ง บทความ หรือข้อเขียนทั้งหมดที่นำลงเว็บไซต์ jpthai.org เป็นทัศนะเฉพาะของผู้เขียน
ทางเว็บไซต์ jpthai อนุญาตให้คัดลอกบทความ/ข้อมูล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้
Donation / สนับสนุนการดำเนินงาน
|
คุณธรรมความรัก (ตอนที่ 1) โดย บาทหลวงชัยยะ กิจสวัสดิ์ |
Wednesday, 10 September 2008 | ||||
ความรัก (ตอนที่ 1)โดย บาทหลวงชัยยะ กิจสวัสดิ์ เทววิทยาเรื่องความรัก "ความรัก" คือนิสัยที่พระเจ้าทรงโปรดให้ซึมซาบในตัวเราเพื่อโน้มนำน้ำใจของเราให้รักพระเจ้าเหนือสิ่งอื่นใดเพราะเห็นแก่พระองค์เอง และรักมนุษย์เพราะเห็นแก่พระเจ้า เดิมเราเรียกนิสัยที่พระเจ้าทรงโปรดให้ซึมซาบในตัวเราว่า "ฤทธิ์กุศลเหนือธรรมชาติ" แต่เนื่องจากคำศัพท์นี้เข้าใจกันเฉพาะในหมู่คริสตชน ปัจจุบันจึงเรียกว่า "คุณธรรมที่เกี่ยวกับพระเจ้า" (Theological Virtue) ในบรรดาคุณธรรมที่เกี่ยวกับพระเจ้าซึ่งประกอบด้วยความเชื่อ ความหวัง และความรักนั้น นักบุญเปาโลถือว่าความรักยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใดทั้งหมด (1 คร 13:13) จากคำนิยามข้างต้น เราสามารถอธิบายคุณสมบัติของความรักได้ดังนี้
รักพระเจ้า หน้าที่สำคัญสูงสุดของมนุษย์คือ "ท่านจะต้องรักพระยาห์เวห์ พระเจ้าของท่าน สุดจิตใจ สุดวิญญาณ และสุดกำลังของท่าน" (ฉธบ 6:5) พระเยซูเจ้าทรงย้ำเช่นกันว่า "ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญาของท่าน" (มธ 22:37; ลก 10:27) พระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 11 ทรงประกาศว่าบัญญัติประการนี้ ไม่ใช่ปฏิบัติตามได้โดยอาศัยกิจการแห่งความรักเพียงครั้งเดียวในชีวิต หรือทุกห้าปี หรือทุกครั้งที่โอกาสอำนวย แต่ต้องกระทำจนกว่าจะบรรลุความชอบธรรม
การผิดต่อความรักพระเจ้ามักเกิดจากการละเมิดหรือเป็นความผิดโดยอ้อมเมื่อทำบาปหนัก
กระนั้นก็ตามมีบาปที่ผิดต่อความรักพระเจ้าโดยตรง
นั่นคือการมีจิตใจเฉื่อยชาอันนำมาซึ่งความเกลียดชังพระเจ้าและพระพรต่าง ๆ ของพระองค์
ไม่ว่าความเกลียดชังนั้นจะเกิดจากพระบัญญัติที่จำกัดเสรีภาพและมีบทลงโทษ
หรือเกิดจากการไม่ชอบพระเจ้าเองก็ตาม
คุณสมบัติที่ว่า
"สุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญา และสุดกำลังของท่าน" ไม่ได้หมายถึง "ความเข้มข้นสูงสุด" เพราะความเข้มข้นของกิจการไม่เคยถูกรวมอยู่ในคำสั่งใด ๆ และในเวลาเดียวกันก็ไม่ได้หมายความว่าต้องมีความรู้สึกรักพระเจ้ามากกว่าสิ่งสร้าง
เพราะสิ่งสร้างแม้จะไม่มีความสมบูรณ์แต่ก็มองเห็นและชวนให้เรารักมากกว่าพระเจ้าซึ่งมองไม่เห็น ดังนั้นความหมายที่ถูกต้องคือทั้งสติปัญญาและน้ำใจของเราต้องรับรู้คุณค่าและยกพระเจ้าไว้เหนืออื่นใด
ไม่เว้นแม้แต่บิดามารดาหรือบุตรชายหญิงดังที่ทรงตรัสว่า "ผู้ที่รักบิดามารดามากกว่ารักเรา
ก็ไม่คู่ควรกับเรา ผู้ที่รักบุตรชายหญิงมากกว่ารักเรา ก็ไม่คู่ควรกับเรา" (มธ 10:37)
ความรักเช่นนี้ไม่เพียงเหนือกว่าความเป็นวัตถุนิยมของพวกสะดูสีและจารีตนิยมของพวกฟาริสีเท่านั้น
แต่ยังเป็นหลักประกันแห่งความศักดิ์สิทธิ์ของชีวิตเราอีกด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น
ความรักต่อพระเจ้ายังเป็นทั้ง "หลักการ" และ "เป้าหมาย"
ของความครบครันด้านศีลธรรม
เมื่อนักบุญเปาโลกล่าวว่า
"ความรักไม่มีสิ้นสุด" (1 คร 13:8) ย่อมหมายความว่าความรักเริ่มต้นแล้วและเป็นจุดเริ่มต้นของการมีชีวิตเหมือนพระเจ้าซึ่งจะบรรลุความสมบูรณ์ในสวรรค์ ความรักจึงเป็นหลักของความครบครันเหมือนพระเจ้าและเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์ทุกคนดังที่นักบุญยอห์นกล่าวว่า
"ผู้ใดไม่มีความรัก ย่อมดำรงอยู่ในความตาย" (1 ยน 3:14) ในฐานะที่เป็นเป้าหมายของความครบครัน เป็น "บัญญัติเอกและเป็นบัญญัติแรก" (มธ 22:38) เป็น "จุดประสงค์ของธรรมบัญญัติ" (1 ทธ 1:5) และเป็น "สายสัมพันธ์แห่งความสมบูรณ์"
(คส 3:14) ความรักต่อพระเจ้าจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญของความชอบธรรมและการได้รับพระคุณต่างๆ
อำนาจของความรักในการทำให้เป็นผู้ชอบธรรมปรากฏชัดใน
ลก 7:47 "เราบอกท่านว่าบาปมากมายของนางได้รับการอภัยแล้วเพราะนางมีความรักมาก" และ 1 ปต 4:8 "จงมีความรักกันอย่างมั่นคง
เพราะความรักลบล้างบาปได้มากมาย" อำนาจนี้มิได้ลดน้อยถอยลงเพราะศีลล้างบาปหรือศีลอภัยบาป
แต่กลับจะทำให้เราปรารถนารับศีลอภัยบาปทุกครั้งที่สามารถ
ส่วนอำนาจของความรักที่ทำให้เราได้รับพระคุณต่าง
ๆ ได้รับการเน้นย้ำโดยนักบุญเปาโล "เรารู้ว่า
พระเจ้าทรงบันดาลให้ทุกสิ่งกลับเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่รักพระองค์
ผู้ที่ทรงเรียกมาตามพระประสงค์ของพระองค์" (รม 8:28)
นักบุญเอากุสตินจึงเรียกความรักว่า "ชีวิตของคุณธรรม" (vita virtutum) และนักบุญโทมัสเรียกว่า "รูปแบบของคุณธรรม" (forma virtutum) ซึ่งหมายความว่าคุณธรรมอื่น ๆ แม้จะมีคุณค่าในตัวของมันเอง แต่จะมีความสดใสล้ำเลิศกว่าเมื่อรวมกับความรัก
เพราะความรักขึ้นตรงถึงพระเจ้าและนำคุณธรรมอื่นไปสู่พระองค์
เพื่อจะได้รับพระคุณต่าง
ๆ ความรักต่อพระเจ้าต้องเจริญเติบโตไม่มีสิ้นสุด นักบุญโทมัสกล่าวถึงความก้าวหน้าในความรักต่อพระเจ้าไว้
3 ขั้นตอนด้วยกันคือ
นอกจากสามขั้นนี้แล้ว นักบุญเทเรซา นักบุญฟรังซิส เดอ ซาล และนักบุญอีกหลายท่านได้เพิ่มระดับขั้นของความรักต่อพระเจ้าอีกมากมาย อย่างไรก็ตาม ความรักต่อพระเจ้าไม่ได้หมายความว่า "ไม่ทำบาป" หรือ "ทำบาปไม่เป็น" เมื่อนักบุญยอห์นพูดว่า "ทุกคนที่ดำรงอยู่ในพระองค์ย่อมไม่ทำบาป" (1 ยน 3:6) ท่านต้องการหมายความเพียงว่าความรักขั้นสูงย่อมคงอยู่ถาวร แต่ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าเราจะไม่สูญเสียความรักนี้ไป จริงอยู่บาปเบาไม่ทำให้ความรักต่อพระเจ้าลดน้อยลง แต่บาปหนักเพียงครั้งเดียวก็เพียงพอที่จะทำลายความรักและมิตรภาพระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าให้ขาดสะบั้นลงได้
ติดตามอ่านตอนที่ 2 ได้ในวันพุธหน้า (17 ก.ย.)
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|