เยาวชนบ้านขุนแปะกับงานสืบสานภูมิปัญญาและวัฒนธรรมชนเผ่าปกาเกอะญอ
เรื่อง / ภาพ โดย ธัญลักษณ์ นวลักษณกวี ฝ่ายเผยแพร่เพื่อการมีส่วนร่วม ยส. .........เล เล เล เล ……… เปอ โอ ฮี เลอ โม แด ลอ หมู่บ้านเราแม่เคยอาศัย เปอ โอ ฮี เลอ ปา แด ลอ ชุมชนเราพ่อเคยอาศัย ซา ซวี่ ซา เลอ โม ซู ลอ ส้ม มะโอ ที่แม่ปลูกไว้ มา แง ซา เลอ ปา ซู ลอ ส้มมะนาวที่พ่อปลูกไว้ เปอ ออ เกอ ตอ ออ เกอ ตอ เรากินไปรักษากันไป กู ออ ปกา เล ตือ เล ตอ เราจึงมีกินตลอดไป เสียงขับขานบทเพลงปกาเกอะญอของเยาวชนทั้งหญิงและชายจำนวนกว่า 80 คน ดังก้องโบสถ์คาทอลิก - ศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านขุนแปะ ชุมชนปกาเกอะญอในเขตอำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ เยาวชนหญิง – ชาย เหล่านี้ พวกเขามารวมตัวกันในงาน “สืบสานวัฒนธรรมประเพณีเด็กและเยาวชน ชนเผ่าปกาเกอะญอ” ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 23 – 24 เมษายน 2550 ณ บ้านขุนแปะ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ซึ่งจัดโดยศูนย์สังคมพัฒนาเชียงใหม่ ร่วมกับ คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อความยุติธรรมและสันติ (ยส.) สมาคมศูนย์รวมการศึกษาและวัฒนธรรมของชาวไทยภูเขาในประเทศไทย (IMPECT) และที่สำคัญยิ่งก็คือ ผู้นำชุมชนบ้านขุนแปะ ซึ่งประกอบด้วย อดีตพ่อหลวง (ผู้ใหญ่บ้าน) พ่อหลวงคนปัจจุบัน และอดีตผู้นำชุมชนอีกหลายท่านที่ยังมีบทบาทในการร่วมดูแล จัดการ และแก้ปัญหาภายในชุมชน ณ วันนี้ ผู้อาวุโสซึ่งผ่านหลายสิบร้อนหนาว ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในชุมชน เมื่อการพัฒนากระแสหลักโดยเฉพาะวิถีทำกินแบบดั้งเดิมของปกาเกอะญอที่ยังชีพด้วยการปลูกข้าวเป็นหลัก แต่ทว่านับตั้งแต่การเข้ามาส่งเสริมจากภาครัฐให้ปลูกพืชเศรษฐกิจเพื่อป้อนสู่ตลาดเสรี จากเคยผลิตเพื่อยังชีพกลายมาเป็นผลิตเพื่อขาย ความพออยู่พอกินและวิถีปกาเกอะญออันทรงคุณค่าในภูมิปัญญา รากเหง้าและวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามเริ่มถูกลืมเลือน เวลาอันแสนรื่นรมย์ในระหว่างวันซึ่งหนุ่มสาวจะขับบทลำนำหรือ “อื่อธา” เพื่อเกี้ยวพาราสีกันอย่างสุภาพไม่ด่วนได้ไปเสียทุกอย่างเช่นสมัยนี้ อีกทั้งนิทานปกาเกอะญอซึ่งมีเป็นร้อยเป็นพันเรื่องที่พ่อแม่ปู่ย่าตายายจะเล่าให้ลูกหลานฟังก่อนนอนก็สูญหายไปมากต่อมาก ลูกหลานเดี๋ยวนี้มีรายการทีวีผ่านสัญญาณดาวเทียม มีหนังไทยหนังเทศฉายผ่านเครื่องเล่นวีซีดี–ดีวีดี เข้ามาแทนที่เสียงอันคุ้นเคยของคนในครอบครัว หรือแม้แต่เสื้อผ้าที่บ่งบอกความเป็นปกาเกอะญอก็ถูกพับเก็บไว้จะถูกนำออกมาใช้ก็ในวันสำคัญของชนเผ่าเท่านั้น เราจึงได้เห็นแต่แฟชั่นจากเมืองหลวงเกลื่อนกล่นสีสันและลวดลายบนดอยสูงแห่งนี้ ด้วยเห็นถึงปัญหาผลกระทบจากการพัฒนากระแสหลักที่เข้ามามีอิทธิพลครอบงำต่อวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของคนทุกระดับในสังคมไม่เว้นชาวเขาชาวดอยที่อยู่บนพื้นที่ห่างไกลความเจริญ กระแสบริโภคนิยมและวัตถุนิยมไหลบ่าขึ้นไปถึงบนดอยสูง ซ้ำยังกระตุ้นให้เยาวชนหลงใหลไปกับค่านิยมใหม่ๆ ที่ปลุกเร้าให้พวกเขาเห็นดีเห็นงามไปกับความสุขฉาบฉวยที่ต้องใช้ “เงิน” แลกเพื่อให้ได้มา พ่อหลวงไพบูลย์ ตระการศุภกร อดีตพ่อหลวงคนหนึ่งของบ้านขุนแปะ ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงเป็นผู้นำชุมชนที่ยังมีบทบาทสำคัญ บอกกับเยาวชนลูกหลานเป็นภาษาปกาเกอะญอ ได้ใจความว่า “วันนี้ดีใจมากที่ได้เห็นภาพการแต่งกายของชนเผ่าปกาเกอะญอ เป็นการสืบสานวัฒนธรรมของเราอย่างหนึ่ง วันนี้ทีมงานจะมาช่วยค้นหาเกี่ยวกับการสืบสานวัฒนธรรมของเรา ขอให้เยาวชนตั้งใจศึกษาวัฒนธรรมของเราด้วย” ทีมงานซึ่งล้วนแต่เป็นลูกหลานบ้านขุนแปะที่ได้รับการศึกษาแล้วกลับมาพัฒนาบ้านเกิดของพวกเขา ทั้งเจ้าหน้าที่จากศูนย์สังคมพัฒนาเชียงใหม่ และเจ้าหน้าที่จากสมาคมศูนย์รวมการศึกษาและวัฒนธรรมของชาวไทยภูเขาในประเทศไทย (IMPECT) จะมีคนต่างถิ่นอยู่กลุ่มหนึ่งก็คือ คณะเจ้าหน้าที่จากคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อความยุติธรรมและสันติ (ยส.) ซึ่งเข้ามาในชุมชนบ้านขุนแปะนี้เพื่อทำการศึกษาผลกระทบจากการพัฒนากระแสหลักที่มีผลกระทบต่อการพัฒนาความเป็นมนุษย์ตามแนวทางของพระศาสนจักรคาทอลิก ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เป็นผู้จุดประกายให้เกิดงานสืบสานวัฒนธรรมประเพณีเด็กและเยาวชน ชนเผ่าปกาเกอะญอ ครั้งนี้ขึ้นนั่นเอง คุณลิเก วงศ์จอมพร เจ้าหน้าที่ศูนย์สังคมพัฒนาเชียงใหม่ ลูกหลานบ้านขุนแปะ ผู้ที่เป็นตัวหลักในการจัดงานครั้งนี้ ได้ชี้แจงวัตถุประสงค์และกระบวนการจัดอบรมให้เยาวชนทราบว่า “งานในครั้งนี้มุ่งหวังให้เยาวชนสามารถแยกแยะ วิเคราะห์สถานการณ์สังคมในปัจจุบันได้ ให้เยาวชนตระหนักถึงสิทธิ คุณค่า และศักดิ์ศรีของตนเอง ให้เยาวชนได้รื้อฟื้นศาสนา วัฒนธรรม ประเพณีของชนเผ่าและของชุมชนตนเอง และสามารถนำความรู้ ความเข้าใจมาปรับใช้กับชีวิตประจำวันได้” เยาวชนปกาเกอะญอกับกิจกรรมฐานสิทธิมนุษยชน
เริ่มด้วย “หลักการและแนวคิดสิทธิมนุษยชน” จาก คุณอัจฉรา สมแสงสรวง เลขาธิการ ยส. พี่อัจได้พยายามเชื่อมโยงให้น้องๆ เยาวชน ได้เข้าใจความหมายของคำว่า “สิทธิมนุษยชน” ที่สามารถสัมผัสได้ด้วยมุมมองของศาสนาที่ตนนับถือทั้งพุทธและคริสต์ หลักสิทธิมนุษยชนนั้นสอนให้เคารพชีวิตทุกชีวิต เช่นเดียวกับบัญญัติ 10 ประการ และศีล 5 สิทธิมนุษยชนมีแก่นของศาสนาอยู่ เพราะสอนว่าเราควรได้รับการเคารพในฐานะเพื่อนมนุษย์ และเราควรรักชีวิตของคนอื่นด้วย ดังนั้นสิทธิมนุษยชนอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา เราต้องดูแลผู้อื่นและไม่ไปละเมิดผู้อื่น ตัวอย่างเช่น คนพิการก็มีความคิด ความเจ็บปวดเหมือนเรา เราจึงไม่ควรไปพูดว่าเขา มีประโยคที่ว่า “เอาใจเขามาใส่ใจเรา” นี่แหละจึงจะเรียกว่า “ปฏิบัติสิทธิมนุษยชน” จากนั้นจึงต่อด้วยกิจกรรมฐานสิทธิมนุษยชนซึ่งจะสอดแทรกความรู้ความเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชนให้แก่เยาวชนได้เข้าใจผ่านฐานต่างๆ ฐานเงาะของฉันหายไปไหน ให้เยาวชนหยิบเงาะคนละ 1 ลูก สังเกตเงาะและจดจำให้ได้ เมื่อนำไปรวมกันอีกครั้งแล้วให้เลือกเงาะของตน จากนั้นให้แกะเปลือกเงาะแล้วจดจำเนื้อในของตนอีกครั้งก่อนส่งคืน ฐานนี้ให้ความรู้เรื่องสิทธิว่า เงาะเป็นเพียงองค์ประกอบภายนอก เช่น เรามีผมหยิก เธอมีผมตรง ฉันผิวขาว เธอผิวคล้ำ แต่องค์ประกอบภายนอกไม่สำคัญเท่าสิ่งที่อยู่ภายใน นั่นก็คือ จิตวิญญาณ
ฐานบันไดชีวิต...สิทธิของฉัน ประยุกต์จากเกมบันไดงู ให้เยาวชนแบ่งเป็น 2 ทีม โยนลูกเต๋าแล้วเดินไปตกช่องไหนให้ตอบคำถามเกี่ยวกับสิทธิในข้อนั้นๆ โดยสรุปแล้วมีเนื้อหาสาระที่เป็นเรื่องสิทธิมนุษยชนคือ มนุษย์ต้องได้รับการดูแลในเรื่องอะไรบ้าง อาทิ สิทธิเด็ก สิทธิที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครองจากการทำร้ายร่างกาย จิตใจ หรือทางเพศ หรือ สิทธิในครอบครัว เด็กจะต้องได้รับการพัฒนาอย่างเพียงพอทางด้านโภชนาการ สาธารณสุขมูลฐาน และการได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างเพียงพอ เป็นต้น
ฐานสีแห่งสามัคคี ให้เยาวชนจับกลุ่มสีเดียวกัน คนที่ได้สีแตกต่างจากคนอื่นจะรู้สึกว่าตนมีความแตกต่าง หรือมีความอ่อนด้อยกว่าคนอื่น เปรียบได้กับคนหลากหลายเชื้อชาติที่อยู่ในสังคมไทย รวมถึงกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น ชนเผ่าปกาเกอะญอ สำหรับเนื้อหาสาระที่สอดแทรกอยู่ในกิจกรรมนี้สอนว่ามนุษย์เกิดมาเท่าเทียมกัน แม้จะมีความแตกต่างหลากหลายแต่ก็ต้องอยู่ร่วมกันจึงต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีความสามัคคีกัน และไม่ไปละเมิดสิทธิของคนที่ด้อยกว่า
ฐานชุมชนแห่งสิทธิ ให้เยาวชนแต่ละกลุ่มช่วยกันวาดรูปชุมชนบ้านขุนแปะ แล้วออกมาเล่าถึงสิ่งที่มีในชุมชน สาระที่แฝงอยู่ในฐานนี้ก็เพื่อให้เยาวชนได้เห็นความสำคัญและความจำเป็นของสิ่งใกล้ตัวในชุมชนของตน ให้เห็นว่ามีสิทธิอยู่รอบตัวในชุมชนที่อาศัยอยู่ เช่น สิทธิในถิ่นที่อยู่อาศัย สิทธิชุมชน สิทธิในความเป็นปกาเกอะญอที่มีเอกลักษณ์และมีคุณค่า
รู้จักชุมชนของตนด้วยการทำแผนที่ชุมชน
เยาวชนทั้งชายหญิง ตัวเล็ก ตัวโต ระดมพลช่วยกันทำแผนที่ชุมชนโดยนำเอาวัสดุธรรมชาติที่มีอยู่ในชุมชนของพวกเขา อาทิ ทราย, ก้อนหิน, กิ่งไม้, ใบไม้, ดอกไม้ ฯลฯ เด็กตัวเล็กเปรียบเสมือนกองกำลังเสริมช่วยพี่เก็บดอกไม้ ใบไม้ มาเป็นวัสดุตกแต่งให้ ส่วนพี่ๆ ก็ช่วยกันระดมความคิดแล้วลงมือก่อร่างสร้างชุมชนจำลองของตน บ้างมีทั้งแปลงนาข้าว แม่น้ำ ภูเขา ป่าชุมชน โรงเรียน โบสถ์ วัด ฯลฯ
กระบวนการนี้มีสาระแทรกไว้หวังให้เยาวชนหันกลับมามองว่า ที่ผ่านมาพวกเขาไม่ได้สนใจมองหรือวิเคราะห์ชุมชนที่พวกเขาอาศัยอยู่เพราะการอยู่ในชุมชนจำเป็นที่จะต้องพึ่งพาอาศัยสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ ดังนั้นจึงเป็นโอกาสดีที่เยาวชนจะได้มีโอกาสคิดพิจารณาและมองเห็นปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชุมชนของพวกเขาเองมากขึ้นว่าภายในชุมชนของพวกเขาเป็นอย่างไร มีปัญหาอะไรบ้าง ซึ่งก็ได้คำตอบหลายข้อที่เป็นปัญหาร่วมของชุมชนอันเป็นความห่วงใยของฝ่ายผู้อาวุโสในชุมชนที่มีความวิตกกังวลอยู่ อาทิ ปัญหาการดื่มสุราของเยาวชนที่มากขึ้น การเล่นฟุตบอลที่มากเกินไป การขาดความสามัคคีและความร่วมมือระหว่างคนในชุมชน เป็นต้น นอกจากนี้กระบวนการนี้ยังเป็นการสร้างผู้นำเยาวชนให้สืบสานงานเพื่อชุมชนต่อจากรุ่นพ่อแม่ งานรดน้ำดำหัวผู้อาวุโสแห่งบ้านขุนแปะ
ผู้อาวุโสแห่งบ้านขุนแปะจำนวน 55 ท่าน เริ่มทยอยกันมานั่งประจำที่ในเต็นท์ซึ่งจัดเตรียมไว้ พ่อหลวงพงษ์ชัย ชุลีกรเมตตา อดีตพ่อหลวงและผู้นำชุมชนคนสำคัญอีกคนหนึ่งของบ้านขุนแปะ อุ้มแม่เฒ่าที่ขาไม่ดีจนเดินไม่ไหวมาร่วมพิธีนี้ท่ามกลางสายตาชื่มชมของหลายต่อหลายคน แล้วพิธีรดน้ำดำหัวก็เริ่มขึ้นเมื่อตัวแทนเยาวชนออกมากล่าวสุนทรพจน์อันมีใจความสำคัญเพื่อแสดงความขอบคุณผู้อาวุโสทั้งหลายที่ได้มีส่วนในการสร้างหลักปักฐานให้ลูกหลานได้มีที่ทำกินมาจนถึงรุ่นพวกเขา อีกทั้งขอขมาลาโทษในสิ่งที่พวกเขาได้ล่วงเกินไป พร้อมอวยพรให้ผู้อาวุโสในชุมชนมีสุขภาพแข็งแรง และอยู่กับลูกหลานไปนานๆ เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ภูมิปัญญาของชนเผ่าให้แก่ลูกหลานต่อไป จากนั้นจึงเริ่มการรดน้ำผู้อาวุโสด้วยน้ำขมิ้นส้มป่อย สิ่งสำคัญสำหรับการขอขมาของชนเผ่าปกาเกอะญอ พิธีเริ่มตามลำดับความอาวุโสมากไปหาน้อยจนครบถ้วนกระบวนความแล้ว ตัวแทนผู้อาวุโสก็ออกมาให้พรแก่เยาวชนและผู้ร่วมดำหัวว่า “ลูกหลานที่มารดน้ำดำหัวให้ในวันนี้ขอให้อยู่ดีมีสุข พ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ พ้นจากอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น ได้ประสบแต่สิ่งดีงามในอนาคตข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นตนเองหรือลูกหลาน ครอบครัว และคนรอบข้าง ทำมาหากินขึ้น มีกินมีใช้ สามารถดูแลคนได้ทั้งเมือง รวมทั้งเด็กกำพร้า แม่หม้าย และขอบคุณลูกหลานทุกคนที่มาดำหัวให้ในวันนี้”
แล้วพิธีการรื้อฟื้นวัฒนธรรมแห่งการเคารพผู้อาวุโสก็เสร็จสิ้นเมื่อเยาวชนทั้งหมดมอบของขวัญให้แก่ผู้อาวุโสทั้งหลายพร้อมรับพรอันมีค่าจากบุพการีและบรรพบุรุษของพวกเขา สืบสานภูมิปัญญาและวัฒนธรรมชนเผ่าปกาเกอะญอ
ฐาน Hsai pliz , Hsai htuz หรือ การสอนทำแร้วดักสัตว์ เป็นภูมิปัญญาของชาวปกาเกอะญอในการทำที่ดักสัตว์อย่างง่ายๆ ด้วยอุปกรณ์จากธรรมชาติ นั่นก็คือ ไม้ไผ่ ใช้สำหรับดักนก ดักหนู ฐานนี้เยาวชนสนใจมาลองของกันอย่างสนใจ
ฐาน T’Lei pliz, poz pliz หรือ สอนฟั่นเชือก โดยการนำเปลือกอ่อนของต้นปอมาแยกเป็นเส้นๆ แล้วนำมาพันกันจนได้เชือกที่ใช้มัดของ ฐานนี้พ่อหลวงไพบูลย์ ลงมือสอนเยาวชนด้วยตัวเองอย่างชำนิชำนาญ
ฐาน Leif bai หรือ สอนปั่นด้าย โดยนำฝ้ายมาปั่นให้เป็นด้ายสำหรับนำมาทอผ้า เด็กผู้หญิงปกาเกอะญอกับการทอผ้าย่อมเป็นของคู่กัน ครูผู้สอนก็สอนอย่างใส่ใจจริงๆ
ฐาน Hta taj หรือ สอนทอผ้า ฐานนี้น่าเอ็นดูดีจริง ใช้เปลือกกล้วย (หยวกกล้วย) มาทำเป็นเครื่องทอผ้า เป็นเหมือนของเล่นของเด็กตัวน้อยๆ แถมยังได้หัดเรียนรู้วิธีการทอผ้าอีกด้วย ครูผู้สอนบอกว่า เด็กจะเรียนทอผ้าจากหยวกกล้วยนี้ตั้งแต่วัยเริ่ม 3 ขวบกระทั่งอายุได้ 10 ขวบ จึงจะเริ่มทอผ้าจากของจริง การทอผ้านี้นับเป็นงานของผู้หญิงปกาเกอะญอโดยแท้ แต่ครั้งนี้เป็นโอกาสให้ผู้ชายได้มาเรียนรู้วิธีทอผ้าด้วย
ฐาน Htei sei kwaux หรือ สอนสานตะกร้า งานสานตะกร้าถือเป็นงานของผู้ชาย ผู้หญิงก็ได้มาลองหัดทำบ้างเหมือนกัน
ฐาน Qa bu, Guz bu, T’ceiz bu หรือ ตำข้าว - ฝัดข้าว เมื่อก่อนชาวบ้านขุนแปะยังตำข้าวกินเอง แต่เมื่อยุคสมัยที่ความสะดวกสบายคืบคลานเข้ามาถึงพวกเขา การจ่ายเงินให้แก่โรงสีในตัวเมืองเพื่อสีข้าวให้จึงกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว
ฐานบทลำนำ หรือ อื่อธา ฐานนี้ เยาวชนจะได้รู้จัก “อื่อธา” หรือบทลำนำ ผ่านการบอกเล่าของครูผู้สอน เยาวชนผู้สนใจคนหนึ่งบอกว่า เยาวชนรุ่นใหม่จำนวนมากไม่รู้จัก “ธา” และไม่เข้าใจความหมายใน “ธา” ส่วนตัวเขารู้ว่ามี “ธา” ที่รุ่นปู่ย่าตายายใช้ขับลำนำเป็นร้อยเป็นพันบท “ธา” ส่วนใหญ่เป็นบทกลอน แต่ละบรรทัดจะมี 7 คำ อื่อธามีทั้งบทที่ใช้ชม เปรียบเปรย บอกความคิดถึงห่วงหาระหว่างหญิงชาย เยาวชนคนนี้บอกว่า สมัยนี้หากเขาจะใช้ “อื่อธา” จีบหญิง เธอคงจะงง ไม่เข้าใจ และว่าเขาเชย!
กระบุง ตะกร้า เชือกปอ ครกกระเดื่องตำข้าว เครื่องปั่นด้าย ฯลฯ ข้าวของเครื่องใช้เหล่านี้ เยาวชนอาจจะเห็นจนคุ้นตาแต่กลับไม่เคยรู้วิธีการทำของสิ่งนั้นเลย ประกอบกับวิถีชีวิตในปัจจุบัน ชุมชนมีสิ่งอำนวยความสะดวก มีข้าวของเครื่องใช้ทำจากพลาสติกราคาถูกเข้ามาแทนเครื่องมือเครื่องใช้ท้องถิ่นที่เคยทำใช้ได้เองโดยไม่ต้องพึ่งพาภายนอก หากวันหนึ่งสิ่งเหล่านี้หมดไปหรือองค์ความรู้ภูมิปัญญาในการทำข้าวของเครื่องใช้เหล่านี้ขาดผู้สืบสานย่อมเป็นเรื่องน่าเสียดาย จึงเป็นโอกาสดีที่เยาวชนจะได้เรียนรู้วัฒนธรรมชนเผ่าของตนจากผู้รู้และผู้อาวุโสอย่างต่อเนื่องเพื่อสืบสานองค์ความรู้ท้องถิ่นของชาวปกาเกอะญอไม่ให้สูญหายหรือถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา
เหตุเช่นนี้ งานสืบสานวัฒนธรรมประเพณีแก่เด็กและเยาวชนปกาเกอะญอ จึงถูกจัดขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อฟื้นคืนคุณค่าภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ พร้อมปลูกฝังให้เยาวชนรุ่นใหม่ได้ซึมซับรับรู้และภูมิใจในความเป็นปกาเกอะญอ พร้อมตระหนักและร่วมใจกันหันมารื้อฟื้นวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามให้คงอยู่คู่ชุมชนปกาเกอะญอบ้านขุนแปะสืบต่อไป
อื่อธา เป็นบทกวี เป็นลำนำเพลง เป็นวรรณกรรมของชาวปกาเกอะญอ เนื้อหาของอื่อธาคือทุกสรรพสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชาวปกาเกอะญอ ไม่ว่าจะเป็นวิถีชีวิต ประเพณี วัฒนธรรม ธรรมชาติ เป็นต้น อื่อธามีมากมาย มากกว่าใบไม้ในป่าเสียอีก อื่อธาเป็นวรรณกรรมที่สืบทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ชาวปกาเกอะญอพบเห็นสิ่งใดผ่านตา ก็นำมากล่าวเป็นบทอื่อธาได้ทุกอย่าง
|
คิดถึงบ้าน เขียนโดย ดาด้า เปิด 2012-03-09 23:43:19 น่ารักทุกคนเลย คิดถึงบรรยากาศเกา สมัยนี้ไม่ค่อยมีแล้ว |
Powered by AkoComment 2.0! |