ส่งความปรารถนาดีมาจากออสเตรเลีย
บนเส้นทางสู่สันติภาพโดย จอห์น เดียร์ เอส.เจสวัสดีจากออสเตรเลีย! ผมเดินทางท่องไปในประเทศออสเตรเลียมาได้เดือนหนึ่งแล้ว จากซิดนีย์ทางฝั่งตะวันออกไปยังเพิร์ททางฝั่งตะวันตก แล้วกลับไปฝั่งตะวันออกอีกครั้ง ผมไปพูดที่บริสเบนและลงใต้ไปเมลเบิร์นที่อ่าวพอร์ตฟิลิป ไปอะดีเลตซึ่งอยู่บนอ่าวเซนต์วินเซนต์ ไปแคนเบอร่าเมืองหลวงไม่ติดทะเล ตลอดจนทาวน์สวิลด์เหนือขึ้นไปสู่เขตร้อน ตรงข้ามเกาะแมกเนติกและเกรต แบริเออร์ ริฟ และใต้สุดที่เมืองโฮบาร์ตซึ่งไม่ไกลแอนตาร์กติกาบนเกาะเทสเมเนียอันงดงาม การเดินทางครั้งนี้สนับสนุนโดยเพื่อนของผมที่ Pace e Bene กลุ่มริเริ่มโดยคณะฟรังซิสกันที่ให้การฝึกอบรมไปทั่วสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลียในเรื่องการไม่ใช้ความรุนแรงแนวคริสต์ (ดูรายละเอียดเพิ่มเติม หรือหาคำตอบว่าจะนำกลุ่มนี้เข้ามาในพื้นที่ของคุณได้อย่างไร ได้ที่ http://www.paceebene.org/) วันที่ 18 กุมภาพันธ์ สัปดาห์หนึ่งก่อนที่ผมจะเดินทางถึง พระสันตะปาปาเบเนดิกได้เผยแพร่สารซึ่งมีเนื้อหาต่างจากก่อนๆ แต่ก็ได้รับการต้อนรับ ท่านเชิญชวนให้คาทอลิกในทุกแห่งหนปฏิบัติตามคำสอนในบทเทศน์บนภูเขาของเยซู คือ "จงรักศัตรู" ในที่สุดคำสอนซึ่งนับได้ว่าสำคัญที่สุดได้รับการประกาศจากกรุงโรม "คงจะถูกต้องหากกล่าวว่าพระวรสารนั้นเปรียบได้กับแมคนา คาร์ตา ของการไม่ใช้ความรุนแรงแนวคริสต์" พระสันตะปาปากล่าว "ซึ่งมิได้ประกอบด้วยการสยบยอมต่อความชั่วร้าย -- ตามที่ได้มีการแปลความหมาย "หันแก้มอีกข้างหนึ่งให้" ผิดไป -- แต่เป็นการตอบโต้ความชั่วร้ายด้วยความดี และนำมาซึ่งการปลดโซ่ตรวนของความไม่ชอบธรรม" ท่านกล่าวว่า การไม่ใช้ความรุนแรงแนวคริสต์ คือ "ทรรศนคติของคนๆ หนึ่งที่เชื่อมั่นอย่างยิ่งในความรักและฤทธานุภาพของพระเจ้า กระทั่งเขาไม่เกรงกลัวที่จะเผชิญความชั่วร้ายแม้จะมีเพียงความรักและความจริงเป็นอาวุธ" ท่านสรุปว่า การรักศัตรู คือ "แก่นแท้ของการปฏิวัติแบบคริสต์" ผมได้สื่อเนื้อหาทำนองเดียวกันนี้ ได้พูดกับคนนับพันๆ เกี่ยวกับพระวรสารซึ่งไม่ใช้ความรุนแรง ได้รับกำลังใจเมื่อได้พบกับคนดีๆ เหล่านั้นที่ยึดเอาพระวรสารแห่งสันติภาพ พยายามเดินตามเส้นทางแห่งการไม่ใช้ความรุนแรงของเยซู ขณะเดียวกันผมก็ได้รู้แจ้งเห็นจริงถึงจักรวรรดิอเมริกาผ่านสายตาของบรรดาผู้นิยมสันติชาวออสเตรเลีย พวกเขาจับจ้องดูรัฐบาลของตน รัฐบาลซึ่งเป็นตัวประกันของสหรัฐอเมริกาในสงครามอิรักของบุช ฐานทัพอเมริกันชื่อไพน์ แก๊ป ปรากฎขึ้นในบริเวณอาณาเขตตอนเหนือใกล้กับอลิซ สปริงส์ ที่นั้น อุปกรณ์เรด้าของสหรัฐคอยชี้เป้าหมายให้แก่ระเบิดทุกลูกของสหรัฐที่จะปล่อยลงในอิรัก ไพน์ แก๊ป ยังเชื่อมโยงกับระบบโครงข่ายป้องกันขีปนาวุธ (Missile Defense System) โครงการสตาร์วอร์เพื่อการควบคุมอวกาศ การสมรู้ร่วมคิดไปไกลกว่านั้นอีก ในเดือนมิถุนายนนี้ ตลอดชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงเหนือจะมีการซ้อมรบที่ใหญ่ที่สุดที่เคยมีมา ระหว่างทหารออสเตรเลียและสหรัฐอเมริกา โดยมีทหารสหรัฐราว 15,000 คน และออสเตรเลียราว 12,000 คนเข้าร่วม โดยมีชื่อว่า "ปฏิบัติการทาลิสมานด์ 2007" ข่าวลือล่องลอยอยู่ในสายลม ว่าเรือติดหัวรบนิวเคลียร์จะทำการฝึกซ้อมพร้อมปล่อยยูเรเนี่ยมออกมาตลอดชายฝั่งเกรต แบริเออร์ ริฟ ซึ่งอยู่ในภาวะเสี่ยง พวกเขาจะถล่มชายหาดควีนส์แลนด์อันงดงามและเปราะบางทั้งทางบก ทางอากาศ และทางทะเล แผนตอบโต้ก็ลอยล่อยอยู่ในอากาศเช่นกัน คนจำนวนมากในออสเตรเลียเริ่มที่จะตระหนักถึงผลร้ายที่จะตามมาจากการร่วมเป็นพันธมิตรกับจักรวรรดิอเมริกัน พวกเขากำหนดให้การตื่นเฝ้าเพื่อต่อต้านเกมส์การรบเป็นแผนการลำดับแรกในบัญชีรายชื่อกิจกรรมที่จะต้องทำ (ดูรายละเอียดได้ที่ www.peaceconvergence.com) การแข็งขืนอย่างผู้มีอารยะก็จัดอยู่ในบัญชีรายชื่อกิจกรรมการต่อต้านเช่นเดียวกัน กลุ่มเช่น ไพน์ แก็ป ฟอร์ ได้เข้าร่วมในกิจกรรมที่ว่านี้แล้ว กลุ่มนี้เป็นสมาชิกของนักกิจกรรมไม่ใช้ความรุนแรงแนวคริสต์ คนทั้งสี่เดินไปยังฐานทัพของสหรัฐใกล้อลิส สปริงค์ เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2548 พวกเขาคลุมตัวด้วยชุดขาว พร้อมประกาศตนว่าเป็นสารวัตพลเรือนเพื่อตรวจสอบอาวุธ พวกเขาแขวนป้ายและโปรยใบปลิว ไม่นานนักก็ถูกจับและเสี่ยงต่อการติดคุก 7 ปี พวกเขาต้องขึ้นศาลในวันที่ 29 พฤษภาคม (ดูรายละเอียดที่ www.pinegap6.org) พวกเขาเป็นผู้กล้า เป็นอัศวินขี่ม้าขาวในบริบทการไม่ใช้ความรุนแรงของพระวรสาร พวกเขาแฉความเป็นจริงซึ่งซ่อนเร้นอยู่ คือ เครื่องตรวจจับเรดาร์ของสหรัฐที่ปฏิบัติการอยู่ในสวนหลังบ้านของออสเตรเลีย ความจริงที่คลุมเครือมานานภายใต้ข้ออ้างความลับของทางราชการ ทั้งสี่เรียกร้องให้เคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์ของสหรัฐออกไปให้หมด และให้ออสเตรเลียยุติการสนับสนุนสงครามชั่วร้ายในอิรัก และจากกระบวนการที่เกิดขึ้นนี้เอง พวกเขาได้ให้ความสว่าง - เช่นเดียวกับแสงแดดอันแรงกล้าของออสเตรเลีย - เพื่อมองเห็นการเป็นศิษย์ติดตามเยซูผู้ไม่ฝักใฝ่ความรุนแรงของยุคปัจจุบัน หากเราจะรักศัตรูของเรา สิ่งที่ต้องลงมือทำเป็นลำดับแรกคือ การทำให้รัฐบาลของเราหยุดแผนการฆ่าศัตรูของเรา การปฏิวัติโดยไม่ใช้ความรุนแรง -- คือสารที่ผมอยากสื่อในทุกแห่งหนที่ผมเดินทางไป ในทุกสัมนาเชิงปฏิบัติการ ทุกการเข้าเงียบ ทุกปาฐกถาสาธารณะ และทุกการสัมภาษณ์ ผมพูดซ้ำๆ อยู่เสมอว่า เราถูกเรียกให้อาสาอย่างแข็งขันในการปฏิวัติโดยไม่ใช้ความรุนแรงแนวคริสต์ -- ทั้งในออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา และที่อื่นๆ ผมบอกว่า เราคือประชาชนที่ร่วมฟังการเทศน์บนภูเขาของเยซู ผู้ซึ่งอ้าแขนรับการไม่ใช้ความรุนแรงเป็นแนวทางแห่งชีวิต เรานำการไม่ใช้ความรุนแรงมาใช้เป็นวิธีการเพื่อยุติสงคราม เพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่ไม่ชอบธรรม -- เพื่อตีดาบให้เป็นพลั่ว ตามคำของผู้ทำนายในพระวรสาร การปฏิวัติเช่นนั้น หากกระทำด้วยความรักและไม่ลดละ สักวันหนึ่งจะนำมาซึ่งโลกใหม่ที่ปราศจากสงคราม ความยากจน และอาวุธนิวเคลียร์ และในวันนั้นเองเราสามารถประกาศว่า "การปกครองโดยไม่ใช้ความรุนแรงของพระเจ้าได้มาถึงแล้ว" ดังนั้น ผมจึงร่วมกับไพน์ แก๊ป โฟร์ - และกับพระสันตะปาปาเบเนดิก - เพื่อเรียกร้องให้ประชาชนเลือกที่จะเข้ามีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการรณรงค์เพื่อความยุติธรรมและสันติภาพโดยไม่ใช้ความรุนแรง พวกเราคงไม่ต่างจากพวกผิวขาว ชนชั้นกลางชาวอเมริกันและออสเตรเลีย ซึ่งมีความไม่รู้หนาวรู้ร้อนและชินชากับความสะดวกสบายเพิ่มมากขึ้น มันง่ายมากที่จะนั่งเอนหลังและไม่ทำอะไร แล้วก็พร่ำบ่นถึงสถานการณ์ของโลก ในทางตรงข้าม พระวรสารท้าทายเราให้ลุกขึ้น เข้าไปมีส่วนร่วม และติดตามเยซู เช่นที่ท่านได้ลงมือทำในปฏิบัติการสาธารณะที่ไม่ใช้ความรุนแรงในวิหาร - โดยยกโทษให้แก่ผู้ที่จับกุม คุมขัง ทำร้ายร่างกาย และประหารท่าน สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ (ที่ผ่านไป) คือเครื่องเตือนใจว่าเส้นทางนี้เป็นของเรา เราต้องกำหนดรูปแบบนครเยรูซาเล็มตามที่เป็นจริงในสภาพและยุคสมัยของเรา เราต้องไข่คว้าความยุติธรรมในท่ามกลางอันตราย ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ และในฐานะนักปฏิวัติที่ไม่ใช้ความรุนแรง ในระดับเดียวกับที่เยซูได้เผชิญ และในวิถีทางเดียวกับเยซู คือ เป็นการกระทำที่เผยแสดงต่อสาธารณะชน "ปฏิบัติการสาธารณะ ปฏิบัติการสาธารณะ ปฏิบัติการสาธารณะ" เป็นคำที่ก้องอยู่ในหูของผม คำพูดที่ออกจากปากของซีซาร์ ชาเวส แห่งกลุ่มเคลื่อนไหว ยูไนเต็ด ฟาร์ม เวิร์คเกอร์ (สหพันธ์แรงงานในไร่นา) ผมใช้เวลาเย็นวันหนึ่งกับเขาไม่นานก่อนที่เขาจะเสียชีวิต ผมได้ถามเขาว่า "ผมจะตอบประชาชนอย่างไรดีหากเขาถามผมว่า - เราควรทำอย่างไร?" เขาตอบโดยไม่เว้นจังหวะ และที่สุดเน้นว่า "บอกให้ทุกคนลงมือทำให้เป็นที่รับรู้แก่สาธารณะชนเพื่อให้ได้มาซึ่งความยุติธรรมและสันติภาพ" หลายคนกำลังทำเช่นนั้นที่ออสเตรเลียนี้ คนที่น่ายกย่องได้ลงมือกระทำการรณรงค์เพื่อความยุติธรรมและสันติภาพในท้องถิ่น ในประเทศ และในโลก ผมขอเป็นกำลังใจให้พวกเขาดำเนินงานเหล่านนั้นต่อไป ขณะเดียวกันพวกเขาก็ได้ให้กำลังใจแก่ผมด้วย เมื่อถึงบ้าน ผมจะได้มีโอกาสลงมือปฏิบัติในสิ่งที่ผมพร่ำสอน ผมจะต้องขึ้นศาลที่อัลบูเคอร์เก รัฐนิวแม็กซิโก ในวันที่ 12 เมษายน ในข้อหาที่ผมประท้วงสงครางอิรัก ผมและเพื่อนๆ หวังว่า จะนำสงครามขึ้นสู่การพิจารณาของศาลและธำรงไว้ซึ่งกฏการไม่ใช้ความรุนแรงของพระเจ้า ไม่ว่าผลจะเป็นเช่นไร เส้นทางไปสู่สันติภาพ ที่เพื่อนๆ ทั่วโลกร่วมกันเดินนั้น ช่างเต็มไปด้วยพรอันประเสริฐเสียนี่กระไร ยิ่งกว่านั้นอีก มันยังเป็นเครื่องหมายถึงโลกใหม่ที่พร้อมไปด้วยสันติภาพ ความยุติธรรม และการไม่ใช้ความรุนแรง ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ---- แมคนา คาร์ตา เป็นภาษาละตินแปลว่า กฏบัตรใหญ่ หรือ มหากฎบัตร เป็นกฏบัตรที่ตราขึ้นเมื่อปี 1758 ในประเทศอังกฤษในสมัยพระเจ้าจอห์น (1710-1759 ตรงกับช่วงอยุธยาตอนปลาย) แมคนา คาร์ตา มีอิทธิพลต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา ตลอดจนกฏบัตรสหประชาชาติว่าด้วยเรื่องสิทธิมนุษยชน อ่านเพิ่มเติมได้จากบทความเรื่อง เยซูและอลินสกี้ โดย วอลเตอร์ วิงค์ http://www.commondreams.org/views04/1216-30.htm หรือภาษาไทยที่ http://www.jpthai.org/content/view/124/0/ Powered by AkoComment 2.0! |