บทความล่าสุด |
---|
อนึ่ง บทความ หรือข้อเขียนทั้งหมดที่นำลงเว็บไซต์ jpthai.org เป็นทัศนะเฉพาะของผู้เขียน
ทางเว็บไซต์ jpthai อนุญาตให้คัดลอกบทความ/ข้อมูล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้
Donation / สนับสนุนการดำเนินงาน
|
ซีอีโอแบบพระเยซูเจ้าตอบคำถามปัญหาปัจจุบัน |
Thursday, 25 May 2006 | ||||
ซีอีโอแบบพระเยซูเจ้าตอบคำถามปัญหาปัจจุบันอัจฉรา สมแสงสรวง บทเรียนที่ต้องศึกษาแต่ละวัน เป็นสิ่งที่คริสตชนจะปฏิเสธตนเองออกไปจากประวัติศาสตร์ของสังคมไม่ได้ เพราะพระศาสนจักรเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์แห่งความรอดของมนุษยชาติ ซึ่งพระเยซูเจ้าได้ใช้พระองค์เองเป็นผู้นำ ที่เปิดเผยให้ผู้ที่ติดตามพระองค์ได้พบหนทางสว่าง และความจริง ที่มนุษย์ต้องเข้าใจ และปฏิบัติในความจริงนั้น พระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้นำที่บริหารงานเพื่อเป้าหมายความผาสุขของประชาชน สี่สิบวันในถิ่นทุรกันดาร พระองค์ถูกทดสอบทางเลือกที่เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบของความเป็นผู้นำ ในเรื่องอำนาจ ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ และเกียรติยศชื่อเสียงในทางสังคม พระองค์ปฏิเสธในเรื่องทั้งสามจากการถูกผจญ เพราะนั่นไม่ใช่หนทางของบุรุษนักบริหารชั้นนำ หรือซีอีโอ (Chief Executive Officer) ภาพหอคอยโบสถ์เปรียบเสมือนยอดบนของปิรามิดที่พระเยซูเจ้าเลือกที่จะละวางสิ่งที่ถูกเสนอ 3 ประการ และเดินลงมาสู่ประชาชน มาสู่ชีวิตของประชาชน มาบอกว่าเมื่อสภาพสังคมกำลังวุ่นวาย เราไม่ทิ้งเจ้า แต่โดยอาศัยเรา เราจะช่วยให้เจ้าค้นพบความจริง ความถูกต้อง และช่วยส่งเสริมให้เจ้าใช้พระหรรษทานที่มีอยู่ช่วยกันสร้างสังคมให้มีระเบียบ ระบอบการเมืองของประเทศไทยในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา ผู้นำประเทศใช้การบริหารงานแบบซีอีโอเช่นเดียวกัน แต่คนละหลักการกับพระเยซูเจ้า เป็นหลักการที่กลุ่มผู้นำ ดึงพลังของประชาชนฐานล่างของปิรามิดไปค้ำยันให้ส่วนยอดแข็งแรง และเก็บเกี่ยวเอาผลประโยชน์ที่ควรเป็นของทุกคน (หากปฏิบัติตามคำสอนของพระเยซูเจ้าในเรื่องการปฏิบัติความรักและการแบ่งปัน) มาเป็นของพวกตน เรียกว่าเป็นซีอีโอแบบเบ็ดเสร็จ ที่ครอบครองทั้งอำนาจ เกียรติยศ และเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นผลมาจากสังคมที่เลือกรับเอาระบบเสรีนิยมแนวใหม่ เป็นสังคมที่ธนกิจนำการเมือง นักธุรกิจมาเป็นนักการเมือง มีธุรกิจเป็นโครงข่ายยึดเหนี่ยวที่สำคัญ ใช้ระบบการเมืองเป็นเครื่องมือควบคุม และครอบครองกลไกต่างๆ โดยผนึกความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ระหว่างเพศ ระหว่างชุมชน ระหว่างองค์กรและสถาบัน ทั้งเอกชนและการเมือง ระดับประเทศ เพื่อให้การปกครองเป็นไปในทิศทางเดียว ความสัมพันธ์เช่นนี้ เอื้อให้การแสวงหาผลประโยชน์เป็นไปเพื่อกลุ่มผู้ปกครอง ซึ่งทีละเล็กทีละน้อยก็ไปกดทับศีลธรรมทางสังคม และคุกคามศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มีการสร้างกลไกทางอุดมการณ์ เช่น สื่อต่างๆ การศึกษา และวัฒนธรรม มาบิดเบือนวิธีคิดของผู้คน ให้มองเรื่องคุณค่าของชีวิตและสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิต กลายเป็นเพียง หรือมีค่าเสมือนวัตถุ ที่ใช้เงินหรือทุนเปลี่ยนแปลงได้ กำหนดได้ ที่ดินที่เคยใช้ระบบการตกทอดผ่านระบบเครือญาติ ก็ถูกกำหนดให้เป็นค่าขึ้นมา และนำไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินกลับมา สติปัญญา ซึ่งเป็นของประทานจากพระเจ้า เพื่อให้มนุษย์ใช้ความคิดอ่านอย่างรอบคอบนั้น ไปช่วยเหลือซึ่งกันและกัน กลับถูกแปลงค่าเป็นเงิน เพื่อเอาความรู้จากความฉลาดปราดเปรื่องนี้ ไปขาย เพื่อผลประโยชน์ต่อภาคธุรกิจ และเรื่องอื่นๆ อีก ที่กำลังเป็นประเด็นร้อน เช่นการขายสาธารณูปโภคต่างๆ ซึ่งเป็นความจำเป็นขั้นพื้นฐาน ต่อการดำเนินชีวิตของสมาชิกในสังคม วิกฤตการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ เป็นผลมาจากการที่ระบบโครงสร้างของสังคมเอื้อต่อการบริหารงานซีอีโอ ที่ผู้บริหารประเทศใช้หลักการของการเป็นผู้นำที่ตรงข้ามกับหลักการของพระเยซูเจ้า หากจะมองในแง่บวก ความขัดแย้งทางสังคมการเมือง มีนัยต่อความตื่นตัวทางจริยธรรม คุณธรรม มากกว่าความเก่งกาจ ความฉลาด และความสามารถ อันเป็นคุณค่าที่ระบบทุนนิยมให้ความสำคัญ เป็นโอกาสที่ดีของสังคม ที่จะหันมาร่วมกันตรวจสอบจิตสำนึกทางการเมืองอย่างจริงจังและกว้างขวาง เป็นจิตสำนึกที่อยู่บนรากฐานของศาสนา และเป็นการแสดงถึงความรับผิดชอบของคริสตชนต่อสังคม ต่อบ้านเมือง ในสมัยพระเยซูเจ้า เมื่อพระองค์ถูกท้าทายจากพวกฟาริสี และพวกของกษัตริย์เฮโรด ที่ถามพระองค์เรื่องควรจะส่งส่วยให้แก่ซีซาร์หรือไม่ และพระองค์ตอบไปว่า "ของของซีซาร์จงถวายแก่ซีซาร์ ของของพระเจ้า จงถวายแด่พระเจ้า" (มก.12:13-17) มีนัยว่า สังคมชาวยิวสมัยนั้น ระบอบการเมืองแสวงหาความชอบธรรมจากศาสนา ซึ่งจะบิดเบือนการปฏิบัติความเชื่อของคริสตชนได้ พระเยซูจึงชี้บทบาทแท้จริงของศาสนาว่า ศาสนาไม่ควรถูกครอบงำเพื่อเป้าหมายทางการเมือง ผู้มีความเชื่อทางศาสนาที่แท้จริง ต้องเชื่อฟังพระเจ้า และต้องรับผิดชอบต่อบ้านเมืองควบคู่กัน พระเยซูเจ้า พระองค์รู้ว่าพระองค์ไม่ใช่ผู้นำชาวยิวให้หลุดพ้นจากการยึดครองของชาวโรมัน แต่พระองค์ทำหน้าที่เป็นผู้นำจิตวิญญาณ พระองค์เข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองในแง่ที่ว่า พระองค์ลงไปอยู่กับผู้ที่เดือดร้อน ผู้ที่ถูกเบียดเบียนโดยอำนาจรัฐ พระองค์กระตุ้น เตือน และเรียกร้องในเรื่องศีลธรรมและจริยธรรม พระองค์ส่งเสริมให้ประชาชนได้ใช้ศักยภาพของตนเอง ในการร่วมกันสร้างความถูกต้อง ความยุติธรรมทางสังคม สังคมการเมืองมีการย่ำซ้ำทางประวัติศาสตร์ ซึ่งมาจากความพร่องทางศีลธรรม จริยธรรม ความหลงใหลในอำนาจ เกียรติยศชื่อเสียง และความร่ำรวย อยู่เสมอๆ ถ้าเราหลงติดอยู่เพียงระดับของอารมณ์ทางสังคม และไม่พยายามเข้าใจถึงสาเหตุของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในสังคม เท่ากับว่าเรากำลังทำลายหลักความเชื่อของศาสนาในตัวเราและสังคมลงไป ในคำสอนด้านสังคมของพระศาสนจักร เฉพาะอย่างยิ่ง พระธรรมนูญว่าด้วยพระศาสนจักรในโลกสมัยนี้ ได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่า เป็นความรับผิดชอบของเราต่อหน้าสังคม เราต้องไม่กลัวที่จะเข้าหาความจริงที่แท้จริง ที่กำลังถูกปกปิดโดยกลไกของสังคม เป็นสิทธิและหน้าที่ของเรา(คาทอลิก) และพลเมืองทุกคนในการที่จะแสวงหาความจริง ด้วยหัวใจที่เปิดกว้างต่อความจริงที่จะได้พบ ต้องส่งเสริมและต้องปกป้อง โดยวิธีการทางกฎหมายและหลักแห่งความถูกต้องทางศีลธรรม เพื่อเป้าหมายทางสังคม ความยุติธรรม เสรีภาพ การเคารพในชีวิตทุกคนและการเคารพในสิทธิผู้อื่น การเป็นคริสตชนที่ดีและเป็นพลเมืองที่ดีเป็นเรื่องเดียวกัน เมื่อใดก็ตามที่เราทำหน้าที่ในฐานะพลเมืองอย่างดีแล้ว ก็เท่ากับเรานำตัวเราเข้าไปสู่การเปลี่ยนแปลงสังคม ด้วยคุณค่าของศาสนาที่ดำรงอยู่ในความจริง ดังที่พระเยซูเจ้านำชีวิตของพระองค์เข้ามาสู่ประวัติศาสตร์แห่งความรอดของมนุษยชาติ
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|