ดับไฟใต้ต้องปลดระเบิดในใจคน : ปกรณ์ พึ่งเนตร |
Wednesday, 13 February 2013 | ||||
Life Style วันที่ 30 มกราคม 2556 ดับไฟใต้ต้องปลดระเบิดในใจคน โดย : ปกรณ์ พึ่งเนตร
สถานการณ์ชายแดนใต้ยังคุโชน ล่าสุดคือการสูญเสียแม่พิมพ์ของชาติเป็นลำดับที่ 158 บางทีด้วยมุมมองที่สะท้อนจากผู้ปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ น่าจะช่วยให้เรามองทางออกของปัญหานี้ได้ดียิ่งขึ้น "เมื่อ นย.เหยียบฝั่งพลัน เหตุคับขันจักคลี่คลาย" เป็นคำขวัญตัวโตที่จารึกไว้หน้าค่ายจุฬาภรณ์ ตั้งอยู่บ้านทอน ต.โคกเคียน อ.เมืองนราธิวาส ซึ่งสามารถปลุกขวัญกำลังใจของกำลังพลและเรียกความเชื่อมั่นให้กับประชาชนที่มีต่อ "นาวิกโยธิน กองทัพเรือ" ได้เป็นอย่างดี แม้ภารกิจแก้ไขปัญหาความไม่สงบ ณ ดินแดนปลายด้ามขวานจะมี "กองทัพบก" เป็นหน่วยกำลังหลัก แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดของพื้นที่ 37 อำเภอ เพราะหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินภาคใต้ กองทัพเรือ ร่วมรับผิดชอบด้วย 5 อำเภอ 34 ตำบล 230 หมู่บ้าน โดยอำเภอที่อยู่ในความดูแลของหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินฯ เป็นอำเภอติดชายทะเลเกือบทั้งหมด ได้แก่
- อ.สายบุรี กับ อ.ไม้แก่น จ.ปัตตานี มีหน่วยเฉพาะกิจปัตตานี 26 เป็นผู้รับผิดชอบ
'รุก-รับ' สัประยุทธ์ น.อ.สมเกียรติ เล่าให้ฟังว่า หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินภาคใต้ปฏิบัติภารกิจในกรอบของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) รับผิดชอบงาน 2 เรื่องหลักๆ คือ แก้ปัญหาการก่อเหตุรุนแรง และทำงานกับพี่น้องประชาชน ทั้งนี้ ในเนื้องานแก้ไขปัญหาการก่อเหตุรุนแรงนั้น มีทั้งงานเชิงรับ ได้แก่ การคุ้มครองเป้าหมายที่อาจถูกกระทำ และงานเชิงรุก ได้แก่ การปราบปรามผู้กระทำให้เกิดความรุนแรง "การคุ้มครองเป้าหมายเป็นมาตรการเชิงรับ กำลังเกือบทั้งหมดทำตรงจุดนี้ มีเป้าหมายการคุ้มครอง 10 อย่าง คือ ชุมชนเมือง ชุมชนไทยพุทธ วัด พระ โรงเรียน ครู เส้นทางคมนาคม ระบบไฟฟ้า รถไฟ และเขื่อน เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามมีเสรีในการก่อเหตุ ส่วนมาตรการเชิงรุกเป็นการดำเนินการกับกลุ่มผู้ก่อเหตุและผู้ถืออาวุธ ด้วยการบังคับใช้กฎหมาย ทั้ง ป.วิอาญา (ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา) และกฎหมายพิเศษ (พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ กับ พระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ.2457)" อย่างไรก็ดี น.อ.สมเกียรติ บอกว่า การดำเนินการกับกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง ไม่ได้เน้นใช้กฎหมายพิเศษเป็นเครื่องมือกดดันด้วยปฏิบัติการปิดล้อม ตรวจค้น จับกุมเพียงด้านเดียว เพราะอีกด้านหนึ่งที่ทำคู่ขนานกันไปก็คือ นโยบายพาคนกลับบ้าน ด้วยการเข้าไปพบปะพูดคุยกับญาติพี่น้องของผู้ก่อเหตุเพื่อโน้มน้าวให้ยอมวางอาวุธ แล้วหันมาต่อสู้ด้วยแนวทางสันติวิธี หากใครมีหมายจับหรือคดีความติดตัว ก็จะอำนวยความสะดวกเรื่องการต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม "วันนี้ในพื้นที่ที่เรารับผิดชอบ เราทราบหมดแล้วว่าใครเป็นผู้ก่อการ ก็บอกให้ญาติพี่น้องไปพูดคุยให้ออกมาต่อสู้แบบสันติวิธี" ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินภาคใต้ กล่าว
'เยาวชน' ชี้ขาดอนาคต "ประชากรของ 5 อำเภอที่เรารับผิดชอบมีราวๆ 3 แสนคน เป็นมุสลิม 2.7 แสนคน บอกได้เลยว่าประชาชนคือบทบาทหลัก และจะเป็นผู้ชี้ขาดสถานการณ์ที่นี่ในอนาคตข้างหน้า ไม่ใช่ทหาร การเข้าถึงประชาชนและการส่งเสริมการศึกษาให้กับเยาวชนคือกุญแจสำคัญของการแก้ไขปัญหาชายแดนใต้ การเข้าถึงที่เราถอดบทเรียนมาจากยุทธศาสตร์พระราชทาน 'เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา' คือการเข้าถึงบ้าน เข้าถึงจิตใจ และช่วยเหลือ เรามีศูนย์ส่งเสริมอาชีพให้กับพี่น้องประชาชน จัดฝึกอบรมและหาตลาดรองรับ รวมทั้งมีหน่วยแพทย์เคลื่อนที่เข้าไปให้การรักษาพยาบาลประชาชนที่เจ็บป่วย" "ส่วนเรื่่องการศึกษาก็พยายามส่งเสริมเต็มที่ด้วยการดึงเยาวชนจาก 5 อำเภอมาให้ความรู้ มีหน่วยแนะแนวการศึกษาเพื่อชี้ให้เยาวชนเห็นว่ามีสถาบันการศึกษาที่ไหนบ้างที่จะรองรับอนาคตและการประกอบอาชีพของเราได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านประมง เกษตรกรรม หรือวิทยาการด้านต่างๆ นอกจากนั้นเรายังมีโครงการทัศนศึกษานอกพื้นที่ พาเด็กและเยาวชนออกไปศึกษาโลกกว้าง ทั้งที่กรุงเทพฯและจังหวัดใกล้เคียงด้วย" น.อ.สมเกียรติ ระบุ ประเด็นเรื่องการศึกษาและทัศนคติของเยาวชน เป็นสิ่งที่ น.อ.สมเกียรติ ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ "ทุกวันนี้การศึกษาในพื้นที่เสียสมดุล เพราะคนในพื้นที่ต้องการให้ลูกหลานศึกษาศาสนา แต่ภาครัฐต้องการให้ศึกษาสายสามัญ หากเรียนศาสนาอย่างเดียว เมื่อสำเร็จการศึกษาจะไม่สามารถประกอบอาชีพได้ ความไม่สมดุลคือสาเหตุของปัญหา" "ในอดีตเด็กๆ มุสลิมจะเรียนสายสามัญในระดับชั้นประถมศึกษา เพราะโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามจะรับเฉพาะระดับมัธยม แต่ปัจจุบันเด็กในพื้นที่เรียนชั้นประถมสายสามัญน้อยลง เพราะสภาพความทรุดโทรมของโรงเรียน และปัญหาความขาดแคลนบุคลากรครูจากสถานการณ์ความรุนแรง ทำให้ผู้ปกครองต้องหาทางเลือกใหม่ให้กับบุตรหลาน ประกอบกับโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามเปิดรับสมัครตั้งแต่ชั้นอนุบาล ทำให้เด็กมุสลิมเกือบทั้งหมดไหลไปอยู่โรงเรียนเอกชนสอนศาสนา ส่งผลให้ความผูกพันระหว่างเด็กไทยพุทธกับมุสลิมลดน้อยลง" เขาบอกด้วยว่า แผ่นดินใต้จะสงบ ต้องสกัดกั้นแหล่งบ่มเพาะเด็กรุ่นใหม่เข้าขบวนการ โดยเฉพาะสถาบันการศึกษา ภารกิจเร่งด่วนที่สุด ณ ขณะนี้คือต้องเดินเข้าไปที่สถาบันการศึกษาด้านศาสนา เพื่อทำความเข้าใจ และพยายามจัดโครงการต่างๆ เพื่อปรับทัศนคติให้ได้ โดยเฉพาะครูสอนศาสนาที่เรียกว่า 'อุสตาซ' ต้องทำความเข้าใจคนกลุ่มนี้ให้ได้ ถ้าไม่ทำ แล้วเอาแต่ไปตามจับแนวร่วมขบวนการอย่างเดียว บอกได้เลยว่าจับเท่าไรก็ไม่มีทางหมด
ภารกิจ 'ครูต้องปลอดภัย' "แต่เดิมการ รปภ.เส้นทางจะมีการวางกำลังบนถนนระหว่างเวลา 07.00-09.00 น. และ 15.00-17.00 น. แต่มาตรการใหม่ให้ขยายเวลาออกไปตามความจำเป็นของครู ต้องมีการสื่อสารกันตลอด หากครูจะออกเดินทางก่อนหรือหลังช่วงเวลา รปภ. ฝ่ายกองกำลังต้องจัดกำลังไปดูแลให้ได้ เพื่อให้เกิดช่องโหว่น้อยที่สุด แต่การจะรับประกัน 100% คงบอกไม่ได้ ยืนยันว่าทุกหน่วยได้ทุ่มเทอย่างเต็มกำลัง" เมื่อให้วิเคราะห์สถานภาพของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงในวันนี้ น.อ.สมเกียรติ ยืนยันว่า ภายในขบวนการมีปัญหาพอสมควร สืบเนื่องจากสาเหตุ 3 ประการ คือ 1.กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงเดินมาไกลเกินไป และเชื่อมต่อแนวคิดแนวทางกันไม่ค่อยได้ 2.ไม่มีแนวทางชัดเจนว่าจะสู้รบอย่างไร และ 3.เจ้าหน้าที่รัฐเปิดพื้นที่พูดคุยมากขึ้น
สื่อต้อง 'พลิกมุมเสนอ' "ผมคิดว่าสื่อมีส่วนช่วยคลี่คลายสถานการณ์ เพียงแต่อย่าเสนอแค่การก่อเหตุรุนแรงเพียงด้านเดียว ต้องบอกให้ประชาชนรู้ด้วยว่ าเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นนั้นสร้างความสูญเสียอะไรบ้าง และใครได้รับผลกระทบบ้าง อย่างเช่น การวางระเบิดรถนักเรียน (รถบัสของกองทัพเรือ ใกล้กับแยกบ้านทอน เหตุเกิดเมื่อ 7 ส.ค.2555) บนรถมีทั้งนักเรียนไทยพุทธและมุสลิม เป็นลูกหลานคนในพื้นที่ทั้งนั้น การก่อเหตุลักษณะนี้กระทบกับทุกคน จึงต้องทำความเข้าใจกับประชาชนว่าสิ่งที่ทำนั้นไม่ถูกต้อง" "สมมติวันนี้มีระเบิด ซึ่งถือเป็นเรื่องร้าย แต่ผมเห็นว่ายังมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นเสมอเช่นกัน สื่อนำเสนอเหตุการณ์ระเบิดไม่มีใครว่า เป็นหน้าที่ของสื่ออยู่แล้ว แต่ต้องเสนอต่อไปด้วยว่า เกิดผลกระทบอะไร กับใคร และที่สำคัญคือสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้น เช่น ชาวบ้านรวมตัวกัน กำนันก็มา ผู้ใหญ่บ้านก็มา พากันมาขอโทษเจ้าหน้าที่ที่แจ้งข่าวไม่ทัน เห็นแล้วว่ามีคนเคลื่อนไหวท้ายหมู่บ้าน และหลังจากนั้นก็ช่วยกันแจ้งเบาะแสจนสามารถจับกุมผู้ก่อเหตุได้" "ถ้าสื่อเสนอข้อเท็จจริงเหล่านี้เข้าไปด้วย ก็จะทำให้สังคมได้เข้าใจว่าสถานการณ์ในพื้นที่ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด และประชาชนส่วนใหญ่พร้อมให้ความช่วยเหลือร่วมมือ ถ้าสื่อพลิกมุมนำเสนอ บรรยากาศต่างๆ ก็จะดีขึ้น คนทำผิดก็จะไม่มีแผ่นดินอยู่"
ปลดชนวนระเบิดในใจคน "ผมคิดว่างานการข่าวของเราดีขึ้นมาก และประสบผลสำเร็จหลายครั้ง ช่วยยับยั้งเหตุการณ์รุนแรงได้จำนวนไม่น้อย เพียงแต่เจ้าหน้าที่ไม่ได้นำมาบอกเล่าผ่านสื่อ แต่งานการข่าวต้องเข้าใจว่าไม่สามารถบอกได้ 100% ว่าคนร้ายใช้รถคันนี้ และจะจุดระเบิดเวลานั้นเวลานี้ จริงๆ งานการข่าวที่บอกได้ระดับนั้นก็เคยมี แต่ไม่บ่อยครั้งนัก ส่วนใหญ่เรารู้ว่าจะเกิดเหตุ แต่ไม่รู้จุดหรือสถานที่ก่อเหตุที่แน่นอน ก็ต้องใช้การทำงานด้านอื่นเข้าไปช่วย" ขณะที่งานต่อต้าน 'ข่าวลือ' ซึ่งกลุ่มก่อความไม่สงบใช้อย่างต่อเนื่องเพื่อตอกลิ่มระหว่างทหารกับประชาชนให้หวาดระแวงซึ่งกันและกัน น.อ.สมเกียรติ ชี้ว่าเป็นงานที่ฝ่ายความมั่นคงให้ความสำคัญ โดยการหยุดข่าวลือนั้นมีอยู่ 2 วิธี หนึ่ง คือ ชี้แจงผ่านสื่อ และ สอง เข้าหาพี่น้องประชาชน "ตรงนี้คือบทบาทของสื่อ ซึ่งช่วยได้มากในภาพกว้าง แต่ในทางลึกก็ต้องเดินเข้าไปยังชุมชนเพื่อชี้แจงให้ชาวบ้านเข้าใจด้วย เพราะชาวบ้านไม่ได้ดูทีวีหรืออ่านหนังสือพิมพ์ทุกคน ทุกวันนี้ข่าวลือต่างๆ ก็ค่อยๆ ลดลง หรือไม่ส่งผลต่อสถานการณ์ในภาพรวม" น.อ.สมเกียรติ ย้ำด้วยว่า การส่งกำลังทหาร ตำรวจ ลงไปป้องกันเหตุระเบิดหรือเหตุร้ายต่างๆ ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ไฟใต้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน แต่จุดเปลี่ยนที่จะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นได้จริง คือ การปลดชนวนระเบิดจากหัวใจประชาชน โดยเฉพาะเยาวชน "คนจ้องจะทำ เขาจ้องตลอดเวลา มีโอกาสเขาก็ทำทันที แค่เอาระเบิดใส่ถุงพลาสติกไปหย่อนตรงไหนก็ได้ ฉะนั้นเฝ้าอย่างไรก็ดูแลได้ไม่หมด จะส่งกำลังลงมาอีกกี่แสนก็ไม่พอ ถามว่าคนที่ก่อเหตุวันนี้เป็นใคร คำตอบก็คือชายวัยหนุ่มกลุ่มหนึ่งที่ได้รับการปลูกฝังในทางที่ผิด ทางออกของปัญหาภาคใต้จึงต้องสกัดไม่ให้เยาวชนเข้าไปเติมเชื้อไฟความรุนแรง"
---------------------- ที่มา...กรุงเทพธุรกิจ : http://www.bangkokbiznews.com
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|