หน้าหลัก arrow ข่าวย้อนหลัง arrow จากหมอผีสู่แนวร่วม:พลังแห่งการคืนความศักดิ์สิทธิ์ให้แก่แผ่นดินโลก... : ชอดี๊เช
หน้าหลัก
รู้จักยส
อยู่กับปวงประชา
ข่าวย้อนหลัง
เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน
ผู้ไถ่ : รายงานสถานการณ์
การศึกษาเพื่อสิทธิ&สันติภาพ
สื่อสิ่งพิมพ์ ยส.
มุมมองสิทธิฯ ในหนัง
กิจกรรม ยส.
คลังภาพ ยส.
เว็บบอร์ด ยส.
เว็บเพื่อนบ้าน
Facebook ยส.

ยส. (ยุติธรรมและสันติ)

จำนวนผู้เข้าชม
ขณะนี้มี 395 บุคคลทั่วไป ออนไลน์

คลิก เขียนสมุดเยี่ยมคลิก เขียนสมุดเยี่ยม
ขอบคุณทุกท่าน
ที่แวะเข้ามาค่ะ

แนะนำสื่อ ฉบับล่าสุด


วารสารผู้ไถ่ ฉบับที่ 124: เรียนรู้โลกยุคใหม่ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ชีวิต จิตวิญญาณ!?
 วารสารผู้ไถ่
ฉบับที่ 124


วันสันติสากล 1 มกราคม 2024
 สารวันสันติสากล
1 มกราคม 2024
ปัญญาประดิษฐ์
และสันติภาพ


น้ำแห่งชีวิต (Aqua fons vitae)
 น้ำแห่งชีวิต
(Aqua fons vitae)
สมณกระทรวงเพื่อ
ส่งเสริมการพัฒนา
มนุษย์แบบองค์รวม


สมณลิขิตเตือนใจ...แอมะซอนที่รัก (QUERIDA AMAZONIA)
 แอมะซอนที่รัก
(QUERIDA AMAZONIA)
สมณลิขิตเตือนใจ...
ของสมเด็จ-
พระสันตะปาปาฟรังซิส


จงสรรเสริญพระเจ้า... การก้าวออกไปอย่างต่อเนื่องของเอเชีย
หนังสือแปล
จงสรรเสริญพระเจ้า...
การก้าวออกไป
อย่างต่อเนื่องของเอเชีย


ประมวลหลักคำสอนด้านสังคมของพระศาสนจักร ภาคที่ 2 และ3
หนังสือแปล
Compendium...
ประมวลหลักคำสอน
ด้านสังคมของ
พระศาสนจักร
ภาคที่ 2 และ3
 


ประมวลหลักคำสอนด้านสังคมของพระศาสนจักร ภาคที่ 1
หนังสือแปล
Compendium...
ประมวลหลักคำสอน
ด้านสังคมของ
พระศาสนจักร ภาคที่ 1



หนังสือ Jesus CEO :  พระเยซูเจ้า นักบริหารชั้นนำ
หนังสือแปล
Jesus CEO :
พระเยซูเจ้า
นักบริหารชั้นนำ



หนังสือ เส้นทางสู่สิทธิมนุษยชนศึกษา
หนังสือ เส้นทางสู่
สิทธิมนุษยชนศึกษา


พระสมณสาสน์ความรักในความจริง : Caritas in Veritate
หนังสือแปล
Caritas in Veritate :

พระสมณสาสน์
ความรักในความจริง



โปสเตอร์ อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติ พ.ศ.2532
โปสเตอร์
อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก
แห่งสหประชาชาติ
พ.ศ.2532


เว็บเพื่อนบ้าน

แวดวงต่างประเทศ

Pax Christi International - PCI

ACPP - Hotline Asia


ดูเว็บอื่นๆ ในหมวด

เว็บน่าสนใจ

เว็บด้านสิทธิฯ

ข่าวสาร/บันเทิง

หน่วยงานองค์กรคาทอลิก

บทความล่าสุด

   อนึ่ง บทความ หรือข้อเขียนทั้งหมดที่นำลงเว็บไซต์ jpthai.org เป็นทัศนะเฉพาะของผู้เขียน
และไม่ผูกพันกับคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อความยุติธรรมและสันติ

ทางเว็บไซต์ jpthai อนุญาตให้คัดลอกบทความ/ข้อมูล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้
แต่กรุณาระบุชื่อผู้เขียน และแหล่งที่มาด้วย ขอบคุณค่ะ

 

Donation / สนับสนุนการดำเนินงาน

  • โอนเข้าบัญชี ในนาม
    คณะกรรมการคาทอลิกฯ แผนกยุติธรรมและสันติ 
    ธนาคารกสิกรไทย สาขาห้วยขวาง บัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 084-2-07639-2
    (กรุณา
    ส่งสำเนาการโอนเงินทางอีเมล์ ccjpthai@gmail.com)
    (หรือ ส่งสำเนามาที่ LINE:
    https://lin.ee/LdMulwv)

  • ทางธนาณัติ สั่งจ่ายในนาม “ปริญดา วาปีกัง” ตู้ ปณ. สุทธิสาร (10321)
    114 (2492) ถ.ประชาสงเคราะห์ ซอย 24 ดินแดง กรุงเทพฯ 10400

จากหมอผีสู่แนวร่วม:พลังแห่งการคืนความศักดิ์สิทธิ์ให้แก่แผ่นดินโลก... : ชอดี๊เช พิมพ์
Tuesday, 23 August 2011
 Image
 
จากหมอผีสู่แนวร่วม:

พลังแห่งการคืนความศักดิ์สิทธิ์ให้แก่แผ่นดินโลก
 
ด้วยเสียงสวดมนต์จากความเชื่อของคนที่อยู่กับป่า

โดย ชอดี๊เช
5 สิงหาคม 2554

ได้ติดตามสถานการณ์อุทยานแก่งกระจานหลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่มีใครต้องการให้เกิด ซึ่งได้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานาตามแต่มุมมองและจุดยืนของแต่ละคนแต่ละกลุ่ม ผู้เขียนเองก็อยากแสดงความคิดเห็นและแบ่งปันประสบการณ์ที่ได้รับทราบ และบางสิ่งบางอย่างได้มีประสบการณ์ด้วยตนเอง ในฐานะเป็นชนเผ่าคนหนึ่งที่มีคุณพ่อเป็นผู้ที่คนภายนอกเรียกว่า "หมอผี" (Shaman) แต่พวกเราเรียกเขาว่า "หมอจิตวิญญาณ" (Spiritual healer) หรือผู้นำจิตวิญญาณ (Spiritual leader) และพี่น้องทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียกว่า "หมอธรรม"

คำว่าหมอผี ค่อนข้างมีความหมายในทางลบหรือในทางที่ไม่ค่อยดีนัก หรือมีบางกลุ่มหรือบางคนที่มีความจงใจ ที่มีอคติที่พยายามจะเรียกขานพวกเขาในทางที่ไม่ดี โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับการศึกษาหรือได้รับความรู้แบบวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เน้นหลักเหตุผล มองว่าความเชื่อหรือวิธีการรักษาแบบหมอจิตวิญญาณนั้นเป็นสิ่งงมงาย และความเชื่อแบบนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาในทุกๆ ด้านแก่ชุมชนชาติพันธุ์

โดยทั่วไปมีการเข้าใจว่า เวทมนตร์ คาถา เป็นของคู่กับหมอผีเพราะว่า หมอผีบางคนจะใช้เวทมนตร์ คาถาทำลายชีวิตผู้อื่นที่เขาไม่ชอบ อย่างขาดคุณธรรม จริยธรรม หรือจรรยาบรรณในการใช้วิชา หรือ คาถา อาคมนั้นๆ ซึ่งเกิดขึ้นในทุกวงการ

ในกรณีของผู้นำจิตวิญญาณที่อยู่ในพื้นที่ อยู่กับธรรมชาติ อยู่ในศีล กินในธรรม อย่างเรียบง่าย ไม่เบียดเบียนธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมมากจนเกินไป ผู้เขียนเชื่อว่าเขาไม่คิดหรือมีเจตนาที่จะใช้เวทมนตร์คาถาในทางที่ทำลายชีวิต พวกเขามีศีลธรรม จรรยาบรรณอย่างเคร่งครัดในการดำเนินชีวิต ถ้าไม่นั้น พวกเขาจะไม่เป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไปได้

บนโลกใบนี้ทุกอย่างมันคู่กัน ทุกอย่างมีทั้งดีและชั่ว (Binary Opposition) หรือ polarity ภายในสิ่งเดียวกัน ผู้เขียนได้รับการเล่าขานจากหมอจิตวิญญาณว่า กระบวนการถ่ายทอดเวทมนตร์คาถานั้น มีกฎเกณฑ์ที่เคร่งครัดมาก ผู้เรียนกว่าจะได้เรียนจากหมอจิตวิญญาณ และกว่าหมอจิตวิญญาณจะรับเป็นลูกศิษย์นั้น จะต้องถูกทดสอบด้วยวิธีการมากมาย เช่น ด้านความอดทน อดกลั้น ด้านการมีจิตใจที่มีคุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณ และการมีจิตใจที่เมตตา กรุณา ฯลฯ เมื่อผ่านการทดสอบทุกขั้นตอน หมอจิตวิญญาณก็จะรับเป็นลูกศิษย์และถ่ายทอดวิชาให้

หมอจิตวิญญาณคนหนึ่งได้เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า วิธีการทดสอบแบบที่ง่ายที่สุดวิธีการหนึ่งคือ หมอจิตวิญญาณจะให้คนที่อยากจะเรียนวิชา คาถา อาคม ให้เอามีดที่คมที่สุด หรือดาบที่คมที่สุด ถือมีดหรือดาบเดินเข้าไปในป่า สามวัน สามคืน ถ้าครบสามวัน สามคืนแล้ว คนผู้นั้น หากไม่ตัดหรือ ฟันต้นไม้ กิ่งไม้ อะไรก็ตามที่ขวางหน้า ผู้นั้นจะได้รับการทดสอบขั้นที่สอง หากไม่ผ่านขั้นตอนนี้จะไม่ทดสอบขั้นตอนนั้นต่อไป ทำไม ใช้วิธีนี้ทดสอบ เพราะว่าโดยทั่วไปแล้วคนที่เดินเข้าป่านั้น จะไปเจอกับ ต้นไม้ กิ่งไม้ หนามอะไรต่างๆมากมาย และคนเดินป่าจะเอามีดตัด ฟันกิ่งไม้ ขวากหนามที่ขวางหน้าเพื่อให้เดินได้สะดวก หรือแม้แต่ใช้มือหักก็ไม่ได้ วิธีนี้เป็นการทดสอบ ความอดทน อดกลั้น ไม่ใช่เห็นอะไรที่ขวางหน้า ทำให้ตัวเองเกิดความไม่สะดวก ตัดทิ้ง ตัดขว้าง เพื่อความสะดวกของตัวเอง แต่ไม่สนใจความเดือดร้อนของผู้อื่นหรือชีวิตของผู้อื่น

ในอดีต ผู้นำจิตวิญญาณและหมอจิตวิญญาณนั้นมีบทบาทสำคัญคือ ผู้นำทางจิตวิญญาณ ที่ชนเผ่าปกาเกอะญอ เรียกว่า "ฮิโข่" (Hif hkof) ฮิโข่ มีบทบาทสำคัญคือ เป็นผู้นำหมู่บ้านและผู้นำทางจิตวิญญาณ ที่ประกอบพิธีกรรม ทั้งยังมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบพิจารณาความ เวลามีปัญหาการผิดต่อจารีตประเพณีและการละเมิดกฎเกณฑ์ กฎข้อห้ามของชุมชน ฮิโข่เป็นบุคคลที่ชุมชนยอมรับ เคารพนับถือ เป็นผู้อาวุโสในหมู่บ้าน ผู้ที่จะมาเป็นฮิโข่ จะได้รับการสืบทอดมาจากต้นตระกูลของฮิโข่คนเดิม ซึ่งฮิโข่คนเดิมคือผู้ที่มาตั้งรกรากเป็นครอบครัวแรกของหมู่บ้านนั้นๆ ที่ต้องรับผิดชอบดูแลให้หมู่บ้านดำรงอยู่ต่อไปตราบจนชั่วลูกชั่วหลาน ผู้ที่เป็นฮิโข่หรือผู้นำจิตวิญญาณจะต้องอยู่ในศีลกินในธรรม มีความซื่อสัตย์ ยุติธรรม และสามารถวิเคราะห์ทำนาย เหตุการณ์ภายหน้าได้ (มีวิสัยทัศน์กว้างไกล บนฐานความเชื่อในศาสนา) จากประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบันหลายชั่วอายุคนแล้ว ฮิโข่หรือผู้นำจิตวิญญาณได้มีบทบาทในชุมชนหมู่บ้านเป็นอย่างมาก

อนึ่ง บทบาทของผู้นำจิตวิญญาณ ได้ถูกลดทอนลง เมื่อภาครัฐได้เข้ามาจัดตั้งผู้นำทางการในท้องถิ่น ในช่วงแรกๆ มีฮิโข่บางคนมักได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านและกำนัน จึงยังทำให้ฮิโข่ได้ทำบทบาทของตนได้เต็มที่เหมือนเดิม ต่อมาการขยายการบริหารงานของภาครัฐสู่รูปแบบองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต) ซึ่งมีการเลือกตั้ง มีทั้งคนในหมู่บ้านและที่อื่นๆ ประจวบกับสังคมที่เปลี่ยนแปลงทั้งด้านการศึกษา เศรษฐกิจ วัฒนธรรมสมัยใหม่ ทำให้ผู้นำทาจิตวิญญาณถูกลดทอนบทบาทลงเหลือเพียงเฉพาะการประกอบพิธีกรรมทางความเชื่อหรือทางศาสนาเท่านั้น บทบาทของผู้นำทางจิตวิญญาณถูกแยกออกจากสังคม การปกครองดูแลและการรับผิดชอบร่วมกันในชุมชนหมู่บ้าน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ ได้ค่อยๆขับเคลื่อนมาจนเห็นได้ชัดในปัจจุบันโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นำรุ่นใหม่ ที่ออกมาเรียนหนังสือหรือทำงานในเมือง ที่นับวันจะมีจำนวนมากขึ้น ที่ไม่ค่อยรับฟังผู้นำจิตวิญญาณ ทำให้ชีวิตยึดติดกับการบริโภควัตถุนิยม บางคนประพฤติปฏิบัติตนผิดศีลธรรม และนำค่านิยมเหล่านั้นกลับมาใช้ในหมู่บ้าน

Image

การเกิดวิกฤติสภาวะโลกร้อน สิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศต่างๆถูกทำลาย ทำให้กลุ่มศาสนาตลอดจนกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ทั่วโลกได้กระหนักถึงบทบาทความสำคัญของความเชื่อในศาสนาที่มีต่อการปกป้องโลกและสิ่งแวดล้อมเหล่านั้นอย่างเต็มที่ แต่ละศาสนา แต่ละความเชื่อ ต่างเอาหลักคำสอนของตนเองมาอธิบายให้สอดคล้องกับวิกฤติที่โลกเผชิญนั่นคือการมาช่วยกันเยียวยาวิกฤติสิ่งแวดล้อม

การมารวมกันของนักศาสนาได้เริ่มเมื่อนักวิทยาศาสตร์ นักวางนโยบายการพัฒนาและนักจริยศาสตร์ คุณ Michael McElroy ผู้เป็นประธานสาขาวิชาระบบสุริยะจักรวาลศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัย Harvard ได้ศึกษาประวัติวิวัฒนาการของโลก เขาได้ชี้ชัดเกี่ยวกับผลกระทบของการเกิดสภาวะโลกร้อนต่อมนุษย์ McElroy ได้ตั้งข้อสังเกตว่าโลกได้วิวัฒนาการมาแล้ว 4.6 ล้านปี homo sapiens ได้เกิดขึ้นมาเพียง 150,000 ปี เกิดระบบอุตสาหกรรมแค่ 300 กว่าปี แต่ทรัพยากรของโลกได้ถูกทำลายอย่างมหาศาล ส่งผลกระทบต่อสภาวะโลกร้อน เกิดมลพิษใน น้ำ ในอากาศ ในดิน ฯลฯ อย่างที่เราเห็นปัจจุบันนี้ เขาได้อ้าง Thomas berry นักประวัติศาสตร์-วัฒนธรรมที่พูดถึงวิวัฒนาการของชีวิตจากมุมมองประสบการณ์ของเขาได้ช่วยให้เข้าใจว่า "มิติความเชื่อที่เผยออกมาผ่านทางวิถีชีวิตแบบเกษตรกรรมนั้นทำให้ทรัพยากรโลกถูกใช้ไปอย่างสมดุล" McElroy ได้ตั้งข้อสังเกตว่าเราจะเรียกคืนความสมดุลของโลกได้อย่างไร หากขาดจิตสำนึกที่คิดถึงอนาคตของชนรุ่นใหม่นั้น จำเป็นที่จะต้องมีหลักศีลธรรมของศาสนามาใช้ควบคุมการใช้ทรัพยากรของโลก ซึ่งผู้นำจิตวิญญาณของชนเผ่าทุกเผ่าใช้ความเชื่อ พิธีกรรมในการดุแลรักษา ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมมาตลอด

Image 

มีเอกสารทางวิชาการมากมายที่ยืนยันว่าชนเผ่าต่างๆ ทั่วโลกมีวิถีการดำรงชีวิตที่เป็นมิตรกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งปัจจุบันลูกหลานชนเผ่ามีวิถีชีวิตในรูปแบบใหม่และขาดการถ่ายทอดโลกทัศน์ ศาสนทัศน์แบบบรรพชน ซึ่งมีองค์ประกอบ 3 ประการคือ

1. ชนเผ่าต่างๆ มีโลกทัศน์ที่เป็นองค์รวม (Holistic Worldview) และมีความเชื่อที่ว่า สรรพสิ่งสรรพสัตว์ทุกอย่างศักดิ์สิทธิ์และแต่ละอย่างมีความสำคัญไม่น้อยกว่ากัน ทุกชีวิตดำรงอยู่ร่วมกันอย่างสัมพันธ์และกลมกลืน ซึ่งโลกทัศน์แบบนี้ขัดแย้งกับโลกทัศน์และมุมมองของโลกวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่แยกระหว่างจิตกับกายหรือโลกที่ขับเคลื่อนโดยระบบทุนนิยมและบริโภคนิยม

2. พัฒนาการของโลกทุนนิยมและบริโภคนิยมได้คุกคามโลกทัศน์ความเชื่อและระบบคุณค่าของชนเผ่าอย่างหนักหน่วงในปัจจุบัน ที่ตกเป็นเหยื่อของการพัฒนากระแสหลักที่ไม่สนใจใยดีต่อผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อพิธีกรรมของชนเผ่าต่างๆ ถูกกล่าวหาว่าเป็นสิ่งงมงายล้าหลัง และเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา ซึ่งข้อกล่าวหาเหล่านี้ทำให้ระบบความเชื่อ ระบบคุณค่า ภูมิปัญญาของชนเผ่าถูกลดทอนความสำคัญหรือความศักดิ์สิทธิ์ลง ส่งผลให้ลูกหลานชนเผ่าต่างคล้อยตามข้อกล่าวหาดังกล่าว และหลงใหลกับคุณค่าสมัยใหม่ และดูถูกพ่อแม่ผู้อาวุโสของตนเอง และคนรุ่นใหม่เหล่านี้ไม่อยากจะอยู่ในชุมชน ขณะเดียวกันเกิดการสูญเสียที่ดินทำกินในรูปแบบของการเข้าไปครอบครองของพ่อค้าจากภายนอก และส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกพืชเชิงพาณิชย์ ชนเผ่าต่างๆ ได้กลายเป็นแรงงานราคาถูกของพ่อค้าภายนอก ทำให้ต้องกลายเป็นคนชายขอบโดยปริยาย

3. การเปลี่ยนศาสนาของชนเผ่า มีส่วนทำให้โลกทัศน์และระบบความเชื่อ คุณค่าเปลี่ยนไป ซึ่งในโลกทัศน์และความเชื่อเดิมของชนเผ่า เชื่อในพลังอำนาจความศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นแบบแนวนอน ที่ว่าทุกหย่อมหญ้าในผืนแผ่นดินโลกนั้นมีความศักดิ์สิทธิ์ มีเจ้าที่เจ้าทางสิงสถิตอยู่ เขาจะทำอะไรจะต้องขออนุญาตและบอกกล่าว ซึ่งเห็นชัดมากในระบบการผลิตของพี่น้องชาวปกาเกอะญอนั้นทุกขั้นตอนจะมีพิธีกรรมประกอบ ไม่ว่าการทำนา ทำสวน โดยเฉพาะการทำไร่หมุนเวียนนั้นจะมีพิธีกรรมมากกว่าการทำนา ทำสวนถึงสิบกว่าพิธีกรรม เพราะว่าการทำไร่หมุนเวียนนั้นจะต้องเกี่ยวข้องกับสรรพสิ่ง สรรพสัตว์ ดิน น้ำ ลม ไฟ ปัจจุบันความเชื่อและความศักดิ์สิทธิ์ถูกจำกัดเฉพาะที่ เช่นในสถานที่ทำพิธีกรรม ในวัด ในโบสถ์เท่านั้น นอกพื้นที่ดังกล่าวไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ สามารถทำอะไรได้ตามใจชอบ โดยแปรธรรมชาติให้เป็นทรัพย์สิน ให้เป็นทุนที่จะตอบสนองความต้องการของตนเองอย่างไม่มีสิ้นสุด ปราศจากความอ่อนน้อม เคารพ ยำเกรง

4. ระบบการศึกษาสมัยใหม่ที่เน้นความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มองข้ามความสัมพันธ์มิติจิตวิญญาณของสรรพสิ่งสรรพสัตว์ทำให้เกิดการสูญเสียความสมดุลในระบบธรรมชาติ ส่งผลให้เกิดปัญหาต่างๆ มากมาย เกิดวิกฤติสิ่งแวดล้อม เกิดปรากฏการณ์ภาวะโลกร้อนที่ทั่วโลกกำลังผจญอยู่ซึ่งวิกฤติเหล่านี้ นักวิชาการ นักศาสนา นักสิ่งแวดล้อม นักสังคมวิทยา นักมานุษยวิทยา แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ต่างลงความเห็นร่วมกันว่า ไม่สามารถแก้ไขวิกฤติดังกล่าวด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างเดียวได้เพราะทั้งสองอย่างนี้เป็นสาเหตุให้เกิดวิกฤติ ฉะนั้นไม่ว่าความเชื่อตามศาสนาใดๆ พิธีกรรมของชนเผ่า เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญที่สุดที่จะแก้ไขวิกฤติเหล่านั้นได้ ด้วยเหตุนี้ จำเป็นที่จะต้องมีการรื้อฟื้นและเปิดสอนวิชาที่ว่าด้วยโลกทัศน์ความเชื่อ พิธีกรรม ประเพณี วัฒนธรรม ของชนเผ่าต่างๆ เพื่อสืบทอดให้กับลูกหลานและนำไปสู่การศึกษาเรียนรู้ครบทุกมิติและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการดำรงชีวิตของชุมชน สังคม สิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศอย่างยั่งยืน

จากสิ่งที่กล่าวมาถือว่าเป็นต้นทุนทางความเชื่อที่มีพลังและคุณค่ามหาศาลที่ชุมชนชนเผ่ามีอยู่ เราจะดึงพลัง ต้นทุนเหล่านั้นมาเพื่อที่จะร่วมกันพัฒนาให้เกิดความยั่งยืนได้อย่างไร เราจะต้องพยายามที่จะเชื้อเชิญผู้นำจิตวิญญาณ และหมอจิตวิญญาณเหล่านั้นให้เป็นแนวร่วมที่จะนำเอาพลังความเชื่อ พลังศาสนาที่เขามีอยู่เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในทุกๆ ด้าน แทนที่จะประณามว่าเขาเป็นหมอผี เป็นจอมขมังเวทย์เพียงอย่างเดียว ยิ่งจะทำให้พวกเขามีความรู้สึกที่ไม่ดีและหนีห่าง ไม่ร่วมมือ ในการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาตินั้นใช้กฎระเบียบ ข้อบังคับ หรือกฎหมายเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ จะต้องอาศัยกฎภายในได้แก่ ความเชื่อ พิธีกรรม มาเป็นตาวิเศษ ที่พี่น้องชนเผ่าใช้มาแต่บรรพชนและสามารถรักษาความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศ ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมมาจนถึงปัจจุบัน ดังจะเห็นว่าที่ไหนมีชนเผ่า ที่นั้นจะมีป่าสมบูรณ์

การพัฒนาที่จะยั่งยืนในมุมมองผู้อาวุโสและผู้นำจิตวิญญาณของชนเผ่านั้นจะต้องประกอบด้วยอย่างน้อย 4 องค์ประกอบคือ ความยั่งยืนด้านมิติความเชื่อ จิตวิญญาณ วัฒนธรรม (ศาสนา) ความยั่งยืนด้านครอบครัว สังคม ความยั่งยืนด้านธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความยั่งยืนด้านการทำมาหากิน (เศรษฐกิจ) ที่ตั้งอยู่บนฐานของความพอเพียง โดยมีชีวิตแบบเรียบง่าย เศรษฐกิจแบบเกื้อกูลซึ่งกันและกัน โดยมีบทสอนที่ว่า "กินประหยัด กินรักษา กินน้อยๆ จะได้กินนานๆ" ใครที่คิดที่จะสะสม เห็นแก่ตัว ไม่แบ่งปันนั้น สิ่งสูงสุด (Ta hti Ta Tau) จะไม่อวยพร ชาวบ้านเอามิติทางความเชื่อเป็นฐานแรกที่จะต้องให้เกิดความยั่งยืน เพราะชาวบ้านจะยึดความเชื่อ ศาสนามาเป็นฐานในการดำรงชีวิตมาตลอด มิติอื่นนั้นจะมาป็นรอง

ปัจจุบันความเชื่อ แนวคิดเหล่านั้นหายไปไหน ใครทำให้หายไป ใครนำแนวคิดแบบสะสม แบบกอบโกย แบบมือใครยาว สาวได้ สาวเอา เหตุนี้ทุกภาคส่วนจะต้องร่วมกันและแสวงหาทางออกที่จะคืนความศักดิ์สิทธิ์ ความสมดุลให้แก่แผ่นดินโลกให้ได้ หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ เป็นเรื่องของอุดมคติ แต่ได้ผ่านการพิสูจน์จากผู้นำจิตวิญญาณชุมชนมาแล้ว

Image

ความคิดเห็น

เขียนความคิดเห็น
ชื่อ:
หัวเรื่อง:
BBCode:Web AddressEmail AddressBold TextItalic TextUnderlined TextQuoteCodeOpen ListList ItemClose List
ความคิดเห็น:



รหัส:* Code

Powered by AkoComment 2.0!

< ก่อนหน้า   ถัดไป >