บทความล่าสุด |
---|
อนึ่ง บทความ หรือข้อเขียนทั้งหมดที่นำลงเว็บไซต์ jpthai.org เป็นทัศนะเฉพาะของผู้เขียน
ทางเว็บไซต์ jpthai อนุญาตให้คัดลอกบทความ/ข้อมูล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้
Donation / สนับสนุนการดำเนินงาน
|
ก้าวให้พ้นหล่มความขัดแย้ง : เชาวลิต บุณยภูษิต |
Wednesday, 10 March 2010 | ||||
ก้าวให้พ้นหล่มความขัดแย้ง
โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ 27 ธันวาคม 2552 ผมเคยนำเสนอในบทความ "มองให้กว้าง คิดให้ไกล ใฝ่ให้สูง" (โพสต์ทูเดย์ 9 มีนาคม 2551) ว่า การปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่พึงปรารถนาต้องเริ่มที่ประชาชนแต่ละคนปกครองตัวเองได้ ประชาชนที่ปกครองตัวเองได้คือประชาชนที่ใช้หลักความถูกต้องดีงามในการตัดสินใจ (ธรรมาธิปไตย) ถ้าเราปกครองตัวเองไม่ได้ ก็มาปกครองกันเองไม่ได้ ดังนั้นสิ่งสำคัญคือ ต้องพัฒนาคุณภาพของคนให้ปกครองตนเองได้ ในห้วงเวลา 4-5 ปีนี้ สังคมเราตกและติด "หล่ม" การต่อสู้เรียกร้องกันในนามของสิ่งที่เรียกขานกันว่า "ประชาธิปไตย" บางคนถึงขนาดเสียชีวิต เสียอวัยวะ เกิดการทำร้ายเบียดเบียนกันระหว่างคนไทยด้วยกันเอง แต่ต่างกลุ่ม ต่างสี ต่างหน้าที่กัน คงไม่เกินเลยหากจะพูดว่าถึงขนาดยอมเป็นยอมตายกันเพื่ออุดมคติของตัวโดยไม่รู้ว่าจะได้ลิ้มลองรสหรือเสพเนื้อแท้ของ "ประชาธิปไตย" กันหรือไม่ บางขณะที่ความขัดแย้งเขม็งเกลียว ส่งผลให้สังคมปั่นป่วนด้วยเหตุความวุ่นวายทางการเมืองจนเกิดสภาพที่ไม่เอื้อต่อการใช้ชีวิตเยี่ยงภาวะปกติ และยากจะพัฒนาชีวิตตนให้เจริญ รวมถึงพัฒนาประเทศให้ก้าวไปข้างหน้า สภาพของสังคมเราทุกวันนี้คงไม่ต่างจากสภาพที่พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) กล่าวไว้หนังสือ "อุดมธรรมนำจิตสำนึกของสังคมไทย" เมื่อปี 2537 ว่าสังคมไทยมีลักษณะ 3 อย่าง คือ มองแคบ คิดใกล้ และใฝ่ต่ำ มองแคบ คือมัวแต่มองกันไปกันมาอยู่ในหมู่คนไทยเอง เหมือนกับไก่ในเข่งที่รอเขาจะเอาไปเชือดทำเครื่องเซ่นไหว้ มองกันไปมาก็เจอแต่หน้ากัน ก็กระทบกระแทกกัน แล้วก็ตีกันในเข่ง แต่ถ้ามองกว้างออกไปภายนอกก็จะเห็นสภาพความเป็นไป มองเห็นปัญหาของมนุษยชาติ ปัญหาของประเทศ ปัญหาของโลก ที่จะช่วยกันคิดหาทางแก้ไข แล้วก็จะเห็นศักยภาพของตนเองในการมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาของประเทศ ตลอดถึงของโลก รวมถึงสร้างสรรค์โลกด้วย คิดใกล้ คือ คอยตามรับจากคนอื่น จึงคิดใกล้หรือคิดสั้น หยุดอยู่แค่ที่เขาทำให้เท่านั้น ไม่คิดเลยออกไปว่าเราจะมีส่วนสร้างสรรค์ให้แก่สังคมและโลกได้อย่างไรบ้าง แต่ถ้าคิดไกลต้องใช้ปัญญาค้นหาเหตุปัจจัยแห่งความเจริญและความเสื่อม ลงมือสร้างสรรค์เหตุปัจจัยให้พร้อมที่จะนำสู่อนาคต และพัฒนาตนให้ถึงที่สุด ใฝ่ต่ำ คือ มุ่งแต่จะหาวัตถุบำเรอความสุข และหลงเพลินอยู่กับการเสพสิ่งสนองปรนเปรอความรู้สึกพึงใจ ไม่ใฝ่ธรรมคือ ถือความถูกต้องดีงามเป็นใหญ่ ใฝ่สร้างสรรค์สิ่งดีงามให้แก่ชีวิตและสังคม สังเกตได้ว่ากลุ่มต่างๆ ที่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องส่วนมาก (อาจจะทุกกลุ่ม?) มักจะอ้างสิทธิเสรีภาพกันในแง่มุมเดียว คือในแง่มุมที่จะได้ผลประโยชน์จากเสรีภาพ หรือการแสดงออกได้ตามใจชอบ แต่ละเลยการมองในด้านสิทธิเสรีภาพในการสร้างเหตุ หรือเสรีภาพในการใช้ศักยภาพของตนสร้างสรรค์ประโยชน์ให้แก่สังคม พระพรหมคุณาภรณ์ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า "ต้องมองเสรีภาพในส่วนเหตุนี้ให้หนัก คือมองว่า ทำอย่างไรจะให้ศักยภาพที่มีอยู่ของคนแต่ละคน ออกไปเอื้ออำนวยประโยชน์แก่สังคมได้เต็มที่ ...เสรีภาพส่วนนี้แหละที่คนมักจะมองข้าม การปกครองประชาธิปไตยมีเนื้อหาสาระสำคัญอยู่ที่เสรีภาพส่วนนี้ กล่าวคือสังคมที่พัฒนาดีแล้วในประชาธิปไตย จะพยายามเปิดช่องทางที่จะมาเอาศักยภาพของคนแต่ละคนออกไปใช้ทำประโยชน์แก่สังคมให้เต็มที่ ใครมีเท่าไร ก็ทำประโยชน์ให้แก่สังคมได้เท่านั้น ถ้าได้อย่างนี้เมื่อไร สังคมประชาธิปไตยก็จะพัฒนา จะก้าวหน้า" (หนังสือ "การสร้างสรรค์ประชาธิปไตย") อาจจะเป็นเพราะประชากรของสังคมเราคิดถึงเสรีภาพในแง่แรก คือเสรีภาพในการแสดงออกแต่ด้านเดียว ตู้โทรศัพท์สาธารณะถูกทุบทำลายจนกระจกแตกละเอียด ป้ายรถเมล์โดนทำลาย สะพานหรือกำแพงถูกพ่นสี (Graffiti) เพียงเพื่อสนองความเมามัน ความคึกคะนอง ใช้ทางเท้าเป็นที่ทำกิจการส่วนตัว เปิดเครื่องเสียงดังรบกวนเพื่อนบ้าน สายไฟและเหล็กเสาไฟฟ้าแรงสูงถูกขโมยไปชั่งกิโลขาย จนเป็นเหตุให้เสาใกล้เคียงล้มตาม ไฟฟ้าดับ กิจการการผลิตที่ต้องใช้ไฟฟ้าเสียหาย มองเลยออกไปถึงการโกงกินของผู้มีอำนาจในมือ (ซึ่งก็คือฉ้อฉลเอาทรัพยากรของส่วนรวมไปเป็นของตัวโดยไม่สุจริต) พฤติกรรมที่สร้างความเสื่อมเสียให้แก่สถาบันทางการเมือง การมุ่งสร้างความวุ่นวายปั่นป่วนให้แก่ประเทศ ฯลฯ เพียงเพื่อได้แสดงออกตามชอบใจ ได้สนองความความพึงพอใจของตนเอง คนเหล่านั้นไม่คิดถึงแง่มุมที่ว่าการทำลายสมบัติของสาธารณะเหล่านั้นคือ การผลาญทรัพย์สินของส่วนรวม ซึ่งตัวก็เป็นเจ้าของส่วนหนึ่งด้วย เป็นการตัดโอกาสในการใช้สาธารณูปโภคของคนอื่นๆ ลดการขยายบริการ ขยายโอกาส การสร้างสิ่งใหม่ๆ ให้แก่ส่วนรวม (ซึ่งก็รวมถึงตัวคนทำลายด้วย) เพราะต้องเจียดงบประมาณการสร้างมาใช้ซ่อมแซม ทำลายโอกาสการอยู่อย่างสงบเรียบร้อยของเพื่อนบ้าน ไม่คิดถึงจุดหมายร่วมในการนำพาประเทศผ่านพ้นห้วงยามความถดถอย ตลอดจนถึงประเทศเสียโอกาสความก้าวหน้าในสังคมโลก ถ้าทุกฝ่ายมองไกลถึงเป้าหมายร่วมคือ ผลประโยชน์ของประเทศชาติ ผลประโยชน์ของโลกเป็นหลัก พฤติกรรมต่างๆ ข้างต้นคงจะหาได้ยาก กล่าวเฉพาะพฤติกรรมของนักการเมืองส่วนหนึ่งที่เราชอบมองในแง่ลบกันก็เช่นกัน ผู้แทนเป็นอย่างไรก็สะท้อนไปถึงประชาชนที่เลือกมาด้วย คุณภาพของผู้แทนก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพของคนเลือก เพราะความเป็นจริงเป็นดังที่พระพรหมคุณาภรณ์กล่าวไว้ว่า "คนที่เป็นนักการเมืองก็คือ บางคนในประชาชนนั้นแหละมาเป็น" คุณภาพประชาธิปไตยจึงขึ้นอยู่กับคุณภาพของประชาชนด้วย (หนังสือ "เบื่อการเมือง : เรื่องขุ่นใจก่อนเลือกตั้ง") แต่ครั้นจะมองหาความผิด ต่างฝ่ายต่างก็ยืนอยู่ในมุมของตัวเอง แล้วเพ่งมองหาความผิดพลาดไปที่มุมอื่นๆ ต่างคนต่างฝ่ายต่างก็มองเห็นความบกพร่องของฝ่ายอื่น จนลืมนึกถึงว่าตนอาจจะมีส่วนในความผิดพลาดอย่างไรบ้าง สะสมหรือส่งเสริมเหตุปัจจัยแห่งความผิดพลาดอะไรบ้าง เพื่อจะได้หาส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา คนไทย โดยเฉพาะสื่อมวลชน นักการเมือง นักเคลื่อนไหว นักจัดรายการวิทยุโทรทัศน์ คอลัมนิสต์ นักพูด น่าจะพอกันเสียทีกับการวิพากษ์วิจารณ์ที่ขาดการหาข้อมูลที่รอบด้าน บางครั้งทำไปเพียงเพื่อสนุกสนาน มีอคติต่อกัน ซึ่งเมื่อดูแล้วไม่ต่างจากการพูดพล่อยๆ เฮฮา ขาดความรับผิดชอบในวงสุรา! สังคมไทย ซึ่งประกอบขึ้นจากหน่วยย่อยคือราษฎรแต่ละคน จึงต้องร่วมมือกันเลิกพฤติกรรม "มองแคบ คิดใกล้ ใฝ่ต่ำ" แล้ว "มองให้กว้าง คิดให้ไกล ใฝ่ให้สูง" กลับมาพิจารณาตัวเราเองว่าจะพัฒนาตนเองได้แค่ไหน จะมีส่วนช่วยสร้างสรรค์สังคมไทยได้อย่างไรบ้าง เพื่อร่วมแรงร่วมใจกันนำพาประเทศไทยให้พ้นจากหล่ม และก้าวไปในสังคมโลกได้อย่างสง่างามเสียที โดย... เชาวลิต บุณยภูษิต ที่มา คอลัมน์ มองย้อนศร : http://www.budnet.org/
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|