คุณค่าของงานต่อชีวิต : พระคุณเจ้าบุญเลื่อน หมั้นทรัพย์ |
Wednesday, 10 February 2010 | ||||
บทความจาก สังคมพัฒนา ฉบับ ผู้ไถ่ ฉบับที่ 1/2532 ชนกลุ่มน้อย คุณค่าของงานต่อชีวิต
"คุณค่าของงานต่อชีวิต"
โดยพระคุณเจ้าบุญเลื่อน หมั้นทรัพย์ ในชีวิตของเรากับการทำงานนี้ ก่อนอื่นเราต้องมองตัวเองก่อนว่า "เรา" คือใคร (เราต้องรู้จักตัวเราเองก่อน) ที่ต่างก็เป็นผู้มีศาสนา มีหลักธรรมของศาสนายึดมั่นอยู่ในชีวิต เมื่อเข้าไปทำงานในองค์กรที่ประกอบด้วยหลายบุคคลนับตั้งแต่ ผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ ที่มีหน้าที่ที่รับผิดชอบแตกต่างกันไป ซึ่งถ้าหากทุกคนรู้จักตัวของเขาเองมาก่อน และร่วมกันพยายามทำให้ทิศทางในการทำงานขององค์กรแต่ละองค์กรให้เป็นไปในเป้าประสงค์เดียวกัน นั่นคือความสำเร็จ และโดยเฉพาะในองค์กรที่ทำงานในพระศาสนจักร อันเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับคน เช่นงานของสภาคาทอลิกแห่งประเทศไทยเพื่อการพัฒนา คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อการส่งเสริมชีวิตครอบครัว สภาเยาวชนคาทอลิกแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการยุติธรรมและสันติแห่งประเทศไทย ซึ่งหากทุกองค์กรได้ทำงานตามที่ได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้ก็เท่ากับได้ช่วยคนให้ไปสู่การเป็นอิสระ ไปสู่ความเป็นคนที่สมบูรณ์นั่นเอง เมื่อพูดถึงงาน เราก็คงที่จะต้องหันกลับมาพิจารณาถึง "ความหมายของงาน" ดังหลักฐานที่ปรากฏในหนังสือปฐมกาล พระเจ้าได้สร้างมนุษย์ให้ทำงานบนโลกนี้ เพื่อจะได้เป็นนายเหนือทุกสิ่ง การเป็นนาย ในที่นี้หมายถึง การได้เรียนรู้ว่าสิ่งสร้างต่างๆ เป็นอะไร และใช้สิ่งสร้างนั้นให้เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต ในช่วงก่อนมีบาปกำเนิด พระองค์ปรารถนาให้การทำงานของมนุษย์เป็นเครื่องมือที่ทำให้มนุษย์เป็นนายเหนือสิ่งสร้าง ต่อมาภายหลังจากที่มนุษย์ได้ทำบาปกำเนิด พระเจ้าได้สาปแช่งมนุษย์ว่าต่อจากนี้ไปเจ้าจะต้องทำมาหากิน "ด้วยเหงื่อบนหน้าผาก" ดังนั้น งานจึงกลายเป็นสิ่งที่หนักและเป็นการลงโทษมนุษย์ มนุษย์ต้องพบกับความยากลำบากในการทำมาหากิน ภายหลังจากที่พระคริสตเจ้าได้เสด็จมาในโลกมนุษย์ พระองค์ได้ทรงทำงานและยกงานให้มีเกียรติสูงขึ้นเหมือนเดิม ในการดำเนินชีวิตของพระองค์นั้น พระองค์ก็ได้ทรงเอาแบบอย่างนักบุญยอแซฟผู้เป็นบิดาเลี้ยง ซึ่งมีอาชีพเป็นกรรมกรช่างไม้ ด้วยการดำเนินอาชีพเช่นนั้น พระเยซูเจ้าต้องทำงานด้วยหยาดเหงื่อและด้วยมือของท่านเอง จึงเป็นการทำให้งานของมนุษย์ศักดิ์สิทธิ์ไป การทำให้งานศักดิ์สิทธิ์ หมายความว่า เมื่อเราทำมาหากินไม่ว่าจะเป็นอาชีพใดก็ตาม เราต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งสร้าง, ธรรมชาติ และรู้จักนำธรรมชาติมาเป็นเครื่องทุ่นแรง เราจึงถือว่า นอกจากงานเป็นส่วนหนึ่งของการที่ทำให้เราเป็นนายเหนือสิ่งสร้างแล้ว งานยังเป็นส่วนแห่งการร่วมมือกับพระเป็นเจ้าในการสร้างสรรค์โลก
เมื่อองค์พระเยซูพระผู้ไถ่ได้เสด็จลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ได้ทำงานที่เป็นภารกิจของบิดาเจ้า คือเทศนาสั่งสอนรวบรวมกลุ่มชนตั้งขึ้นเป็นศาสนจักร เพื่อทำงานไถ่กู้สืบแทนพระองค์ ฉะนั้น งานที่เรากระทำมานับตั้งแต่สมัยที่พระเยซูเจ้าบังเกิดมาเมื่อ 2,000 ปี ก็ยังมีความหมายว่า เป็นการร่วมมือกับพระเจ้าในการไถ่กู้มนุษย์ให้พ้นจากบาป (เช่นเดียวกับ พระเยซูเจ้าได้ทำงานเพื่อไถ่กู้มนุษย์จนสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน) ดังในภาษาอังกฤษถือว่างานเป็นการร่วมมือกับพระเจ้าในงานสร้าง (CO = CREATION) และในการไถ่กู้มนุษย์ให้หลุดพ้นจากบาป (CO = REDEMPTION) นอกจากนั้นแล้วในกระบวนการพัฒนาปัจจุบัน เป็นการพัฒนาไปสู่การหลุดพ้น เราจึงถือว่างานเป็น CO = DEVELOPMENT อีกด้วย
ในคำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิกจากเอกสาร LABOREM EXERCENS ที่เกี่ยวกับงานได้ทำความเข้าใจถึงเรื่องงานที่มนุษย์เป็นผู้กระทำ เป็นงานที่ทำด้วยมือของมนุษย์เอง (MANUAL WORK) เป็นงานที่ทำด้วยความคิด (INTELLECTUAL WORK) นอกจากนี้ยังเป็นงานที่เป็นศิลปะ (ART WORK) เมื่อพูดถึงงาน คนทั่วไปมักให้เกียรติแก่งาน งานโดยทั่วไปได้ให้ความหมายแก่ชีวิตมนุษย์ในทางเศรษฐกิจ มนุษย์จะมีกินเมื่อทำงานแล้ว ในทางด้านสังคม มนุษย์ที่ไม่ทำงานก็ไม่มีคุณค่าต่อสังคมและเป็นปัญหาต่อสังคม ในทางวัฒนธรรม ถ้ามนุษย์ไม่ทำงาน ชีวิตจิตใจจะหมดความหมาย หมดความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ และสำหรับตัวมนุษย์เอง งานได้ทำให้มนุษย์มีร่างกายแข็งแรง มีสุขภาพดี ได้พัฒนาทางด้านความคิด ทางด้านสมอง อันจะนำไปสู่วิวัฒนาการในทางที่ดี นอกจากนั้นแล้ว ในพระสมณสารดังกล่าวข้างต้น ยังได้แบ่งงานออกเป็น 2 ลักษณะ คือ ตัวงาน (วัตถุวิสัย) (OBJECTIVE) เป็นการมองงานในรูปธรรม เช่น งานกวาดถนน งานเลี้ยงสัตว์ งานกรรมกร ฯลฯ และการมองงานในแง่ของผู้กระทำงาน (อัตวิสัย) (SUBJECTIVE) หรือมนุษย์ผู้กระทำงานนั้นเอง ดังนั้น เมื่อเราพิจารณาไตร่ตรองถึงงานใน 2 ลักษณะนี้แล้ว จะเห็นว่าเกียรติของงานมิได้อยู่ที่ตัวงาน เพราะมิฉะนั้นแล้ว จะมักมองว่างานหลายงานเป็นงานที่ต่ำ เช่นงานกวาดถนน งานเก็บขยะของเทศบาล ฯลฯ และมองงานที่ใช้ความคิด งานที่ทำอยู่ในห้องปรับอากาศเป็นงานที่สูง แต่ทว่าเกียรติของงานจะต้องอยู่ที่มนุษย์ผู้กระทำงาน งานทุกอย่างมีเกียรติเพราะมนุษย์เป็นคนกระทำและงานจะไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะตามธรรมชาติ แต่เราในฐานะที่เป็นมนุษย์จะมีการแบ่งบทบาทช่วยกันทำงานที่แตกต่างกัน ไม่ว่างานที่ทำให้ท้องถนนสะอาดกับงานของฝ่ายบริหารที่นั่งโต๊ะ จะมีเกียรติและศักดิ์ศรีเท่ากัน เพราะเหตุว่างานทำให้มนุษย์หลุดพ้นจากบาป เพื่อนำไปสู่อิสระสมกับเป็นลูกของพระเจ้าและเป็นนายเหนือสิ่งสร้าง และที่สุดจากการทำงานของหน่วยงานทั้ง 4 องค์กรในพระศาสนจักรที่ต้องทำงานเกี่ยวข้องกับคนและสังคมอยู่ทุกวัน โดยเทียบกับความจริงในปัจจุบัน ในโอกาสที่ครบรอบ 1 ปีของสาส์นเรื่อง "ทิศทางการอภิบาลของพระศาสนจักร" ของพระศาสนจักรคาทอลิกในประเทศไทย ที่ได้บ่งบอกถึงความต้องการเร่งด่วนอันดับแรกของพระศาสนจักรก็คือ เรื่องของการอบรมในแง่ของการปลุกจิตสำนึก ซึ่งเป็นลักษณะงานอีกอย่างหนึ่งที่ 4 หน่วยงานนี้ได้ดำเนินการอยู่ โดยการร่วมในกระบวนการของการเรียนรู้และเข้าใจถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น การรู้และเข้าใจเรื่องของชีวิตและครอบครัว การเรียนรู้ถึงชีวิตมนุษย์ที่อยู่ในสังคม หรือแม้แต่การสัมพันธ์และเข้าใจถึงชีวิตของเยาวชน นอกจากนั้นควรที่จะต้องซาบซึ้งและซึมซาบ คือ การเจาะลึกเข้าไปในชีวิตของเขาและเจริญชีวิตด้วยคุณค่าที่เราได้เห็น พร้อมกับจะต้องมีกระบวนการในการตัดสินใจ โดยที่จะต้องมีความรับผิดชอบในงานที่ได้กระทำนั้น (ขั้นตอนของการปลุกจิตสำนึก = การเรียนรู้ - เข้าใจ - ซาบซึ้ง - ตัดสินใจทำงาน - รับผิดชอบ) ซึ่งจากพระสมณสารเรื่อง "ความห่วงใยเรื่องสังคม" ยังได้กล่าวถึงงานพัฒนาที่ตรงกับการปลุกจิตสำนึกว่า จะเป็นงานที่ใช้การบีบบังคับไม่ได้ แต่ต้องเป็นงานที่แนะนำ ชักชวน ดึงดูด รวมความว่าเป็นงานที่สร้างบรรยากาศเอื้ออำนวยให้คนได้ตัดสินใจทำเองในสิ่งที่ถูกที่ควร เพื่อนำไปสู่การหลุดพ้น
และสำหรับเราผู้กระทำงานอยู่ทุกๆ วัน เราควรที่จะหันกลับมาไตร่ตรองถึงสิ่งที่เราได้กระทำไปนั้นว่ามีความสอดคล้องกับชีวิตของเราหรือไม่ เพราะทั้งชีวิตและการทำงานจะต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่เช่นนั้นแล้ว งานที่เรากระทำจะเป็นเสมือนเปลือก ถ้าหากเปลือกไม่ติดอยู่กับแก่น เปลือกก็จะหมดความหมาย ก็เท่ากับว่างานนั้นไม่มีความหมายกับชีวิตของเรา
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|