บทความจาก สังคมพัฒนา ฉบับ ผู้ไถ่ ฉบับที่ 2/2530 "นานาทัศนะ" ปีท่องเที่ยวไทย
เทวศาสตร์การท่องเที่ยว (THEOLOGY OF TOURISM)
โดย พระคุณเจ้าบุญเลื่อน หมั้นทรัพย์
การเดินทางในสมัยพระคัมภีร์ (Travel in the bible)
ดังปรากฎในสมัยพระคัมภีร์ว่า การเดินทางของประชาชนนั้นเป็นไปเพื่อเหตุผลต่างๆ ที่สำคัญ โดยเริ่มตั้งแต่ในหนังสือพระพันธสัญญาเดิม ที่มีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางอยู่ดังเช่น ในครั้งที่อับราฮัมได้เดินทางไปในถิ่นที่ไม่มีผู้ใดรู้จักมาก่อน หรือการที่โมเสสนำพาชาวยิวไปยังถิ่นทุรกันดารเป็นระยะเวลานานถึง 40 ปี จนมาถึงดินแดนแห่งพระสัญญา และท้ายที่สุด คือเหตุการณ์ที่ชาวยิวได้ถูกเนรเทศไปสู่ดินแดนแห่งนครบาบิโลนนานถึง 1 ศตวรรษ แล้วจึงเดินทางกลับ
และต่อมาในหนังสือพระพันธสัญญาใหม่ ที่พระเยซูเจ้าได้เดินทางจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง เพื่อการประกาศข่าวดี เช่นกันกับที่นักบุญเปาโลและศิษย์ติดตามคนอื่นๆ ในยุคแรกๆ ของพระศาสนจักรก็ได้เดินทางไปยังตะวันตกผ่านไปยังกรีกและโรม เพื่อเผยแพร่คำสั่งสอนของพระเยซูเจ้า
นอกจากนี้แล้ว ยังมีปรากฎอีกว่าการเดินทางในพระคัมภีร์นั้น ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่งอิสรภาพ ดังปรากฎในหนังสืออพยพที่ชนชาติยิวได้เป็นอิสระจากการตกเป็นทาสของอียิปต์ในสมัยของฟาโรห์ และในการเดินทางกลับของชนชาติยิวจากดินแดนที่ถูกเนรเทศแห่งนครบาบิโลน ดังถ้อยคำของอิสยาห์ "the mountains will be leveled and the valleys filled in"
"จงจัดเตรียมทางไว้รับเสด็จพระเป็นเจ้าเถิด
จงทำทางให้ตรงเพื่อพระองค์เสด็จ
จงถมที่ลุ่มทุกแห่งให้เต็ม
ปราบเนินเขาและภูเขาทุกแห่งให้ราบ
ถนนไหนคดเคี้ยวต้องทำให้ตรงไป
ทางขรุขระก็ต้องปราบให้เรียบ" ลูกา 3: 4-6
ซึ่งหมายถึง หนทางที่พระเจ้าได้เตรียมไว้สำหรับชนชาติยิวที่เดินทางกลับมาสู่กรุงเยรูซาเล็ม และในฐานะที่เราเป็นคริสตชน เราได้เชื่อมโยงถึงการกลับมาของพระเยซูคริสตเจ้ากับการได้มาซึ่งอิสรภาพ
ดังนั้น จึงเป็นที่ปรากฎอย่างชัดเจนว่า การเดินทางครั้งสำคัญๆ ในพระคัมภีร์นั้น เป็นการกระทำตามพระบัญชาของพระเจ้า ในอันที่จะให้เป็นไปตามแผนการของพระองค์
การเดินทางในประวัติศาสตร์ (Travel in History)
เมื่อเรามองย้อนไปสู่ประวัติศาสตร์ของชาวเอเชียซึ่งก็ได้บอกถึงบรรพบุรุษของเรา ผู้ซึ่งเดินทางข้ามทะเลมาเพื่อสำรวจหาแผ่นดินใหม่ที่อุดมสมบูรณ์สำหรับการตั้งถิ่นฐาน
แต่ในประวัติศาสตร์ระยะหลังๆ ต่อมานั้น การเดินทางที่เกิดขึ้นบ่อยๆ นั้นมักจะเกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่งชัยชนะ ซึ่งการเดินทางรูปแบบนี้ถูกประณามไปทั่วทุกหนทุกแห่ง
ในช่วงตั้งแต่คริสต์ศตวรรษ 500-1500 เป็นต้นมา เราก็ได้พบเห็นเรื่องราวของนักเดินทางทั้งในเอเชียและในตะวันตกที่ต่างก็แสวงหาความมหัศจรรย์ตื่นเต้นในการท่องเที่ยวอยู่อย่างมากมาย เช่น มาร์โคโปโล นอกจากนี้ยังมีบรรดานักเรียน นักศึกษา และพระภิกษุต่างๆ ที่ต่างก็เดินทางไปด้วยเหตุผลต่างๆ เช่น เพื่อไปศึกษาหาความรู้ หรือเพื่อไปเผยแพร่ศาสนา จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง หรือไปยังประเทศอื่นๆ ซึ่งการเรียนรู้นี้เป็นที่ประจักษ์ในความเชื่อของมนุษย์ทุกคนว่า ไม่ว่าปรัชญา เทวศาสตร์ ศิลปะ และการแพทย์นั้น เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไม่สามารถแบ่งแยกได้
โดยแท้จริงแล้ว ผู้ที่เป็นนักเดินทางทั้งหลายทั้งในเอเชียและในยุโรป ต่างก็เป็นผู้รักสันติ เขาได้พบกับความตื่นเต้นอย่างแท้จริงในการที่ได้ไปพบเห็นถึงวัฒนธรรมของชนชาติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ไปเพื่อการค้าขาย, เพื่อการเรียนรู้ หรือผู้ที่ไปเผยแพร่ศาสนาก็ตาม เขาเหล่านี้มีความเคารพในวัฒนธรรมใหม่ๆ ต่อสถานที่ที่เขาได้ไปเยือนมา ดังนั้นไม่มีใครที่จะปฏิเสธได้ว่า การเดินทางเช่นนั้นได้ช่วยให้โลกดีขึ้น ผู้ที่เดินทางในประวัติศาสตร์ (ยกเว้นผู้ที่ได้รับชัยชนะต่ออีกฝ่ายหนึ่ง) ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีพระคุณต่อโลก เพราะการเดินทางได้ช่วยให้ประชาชนได้พบกับสถานที่ที่อยู่อาศัย การเดินทางได้ช่วยแพร่ขยายความรู้ออกไป ซึ่งรวมทั้งศิลปะและความชำนาญทางด้านหัตถกรรม และที่สำคัญที่สุด การเดินทางได้ช่วยให้ประชาชนได้พบเห็นและเข้าใจว่า มนุษย์ทุกคนเป็นพี่น้องกัน เป็นครอบครัวเดียวกันในองค์พระคริสตเจ้า
การท่องเที่ยวในสมัยปัจจุบัน (Travel Today)
สิ่งใดที่เป็นจริงในหมู่นักเดินทางในอดีต ก็ไม่เป็นจริงสำหรับนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้ เพราะเขาเหล่านั้นไม่ได้มาเพื่อแบ่งปันในสิ่งที่เขามี หรือเพื่อเรียนรู้จากประชาชนที่เขาได้ไปพบมา ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็ไม่สามารถเข้าไปใกล้ชิดกับประชาชนที่เขามีโอกาสได้ไปเยือนมา โดยความเป็นจริงแล้ว เป้าหมายดังกล่าวนี้ ไม่เคยแม้แต่จะได้รับการพิจารณาตามจุดมุ่งหมายแห่งการท่องเที่ยวเลย การท่องเที่ยวที่เข้ามาแทนที่ในโลกปัจจุบันนี้ ได้เสนอแต่สิ่งที่เป็นความสนุกสนานและการพักผ่อนหย่อนใจเท่านั้น และเราต่างก็ทราบถึงผลที่เป็นการไปทำลายคุณค่าทางวัฒนธรรมและการดำรงชีวิตอยู่ของแต่ละบุคคล
ทิศทางและแนวทางสำหรับทางเลือกเพื่อการท่องเที่ยว (Orientation and Guidelines for Alternative Tourism)
ดังจะเห็นว่า มนุษย์เรามีความสัมพันธ์กับธรรมชาติในโลกนี้ และทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มาจากพระเจ้า เพื่อความดีงามของมนุษย์ทั้งชายและหญิง
เช่นกันกับที่เรามีวัฒนธรรม มีความรู้ความชำนาญ มีโบราณวัตถุที่มีชื่อเสียงในสมัยต่างๆ อยู่รวมไปถึงสิ่งที่บ่งบอกความเป็นเอกลักษณ์ของชาติต่างๆ ไว้ ไม่ว่าจะเป็นรำไทย, เพลงอินเดีย, ศาสนาพุทธ หรือวิธีการรักษาโรคโดยวิธีการฝังเข็มของชาวจีน ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าและมีชื่อเสียงที่เราทุกคนมีอยู่ ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ถ้าเราสามารถเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของนักเดินทางที่เป็นผู้สืบทอดมรดกต่างๆ เหล่านี้ให้แก่เรา เราก็จะต้องทำหน้าที่ๆ จะต้องแบ่งปันให้กับผู้อื่นด้วยจิตสำนึกแห่งการสืบทอด และในฐานะที่เราเป็นชาวเอเชีย สิ่งที่เราพอจะแบ่งปันกันได้ก็คือคุณค่าทางศาสนา และคุณค่าทางจิตใจที่เรามีอยู่ ด้วยสำนึกแห่งการเข้าใจดีและการเปิดใจกว้างยอมรับต่อชีวิตด้วยความเต็มใจ มันเป็นการดีที่จะเตือนตัวเราเองว่า เราควรที่จะเปิดตัวเราในการเรียนรู้จากผู้อื่น มนุษย์ทุกคนมีหลายสิ่งหลายอย่างที่พร้อมที่จะสอนและแบ่งปันให้กับเรา เช่นกันกับที่พระเยซูคริสตเจ้าที่ได้มองเห็นว่าโลกเป็นหนึ่งเดียว และมนุษย์ทั้งชายและหญิงต่างเป็นครอบครัวเดียวกัน ซึ่งก็เช่นเดียวกับที่นักเดินทางในอดีตมิได้มาเป็นธุระในเรื่องของเขตแดน และไม่มีความรู้สึกว่าตนเองมีอำนาจเหนือคนอื่น อันเป็นสิ่งที่ช่วยให้เขาได้พบกับคุณธรรมในถิ่นที่ๆ เขาได้ไปพบปะมา
อนึ่งรูปแบบของการเดินทางที่มีวัตถุประสงค์เพื่อได้มาซึ่งชัยชนะ เพื่อการขูดรีดหรือเพื่อแสวงหาผู้หญิงในราคาถูก รูปแบบการเดินทางเช่นนี้ไม่มีสิทธิที่จะดำรงอยู่ประเทศใดก็ตามที่ให้ความสนับสนุนส่งเสริมต่อการกระทำเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าเป็นการทรยศต่อประชาชนในประเทศนั้น
บทสรุป
เราคงต้องพยายามทบทวนถึงความหมายแห่งการเดินทางในอดีต ทั้งในพระคัมภีร์และในประวัติศาสตร์ ที่นักเดินทางรุ่นเก่าได้ปฏิบัติมาด้วยวิธีการอันชาญฉลาด ซึ่งในปัจจุบันนี้ได้มีการพัฒนารูปแบบของการท่องเที่ยวไปอย่างมากมาย โดยที่มิได้ยึดถือรูปแบบของการท่องเที่ยวในอดีต จึงเป็นเหตุที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำขึ้นอย่างมากมาย เกิดการเอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน มีการใช้อำนาจบังคับขูดรีดโดยคนกลุ่มหนึ่งไปยังคนอีกกลุ่มหนึ่งอย่างขาดสำนึก
และเมื่อใดก็ตามที่เราสามารถเข้าใจอย่างลึกซึ้งอีกครั้งถึงความมุ่งหมายแห่งการท่องเที่ยวที่เป็นคุณค่าที่ดีงามในอดีต เมื่อนั้น เราจะพบรูปแบบที่เป็นทางเลือกใหม่ของการท่องเที่ยวที่ต่างฝ่ายต่างมีการปฏิบัติซึ่งกันและกันอย่างเสมอภาคบนพื้นฐานของความเคารพต่อกัน เหมือนกับคำกล่าวที่กล่าวกับประชาชนในสมัยปฐมกาลว่า "จงยอมต่อโลก" ซึ่งไม่ใช่เป็นการยอมต่อคนอื่น แต่หลักการที่สำคัญที่สุดคือ เราเป็นพี่น้องกันและมีพระบิดาเจ้าองค์เดียวกัน
Powered by AkoComment 2.0! |