บทความล่าสุด |
---|
อนึ่ง บทความ หรือข้อเขียนทั้งหมดที่นำลงเว็บไซต์ jpthai.org เป็นทัศนะเฉพาะของผู้เขียน
ทางเว็บไซต์ jpthai อนุญาตให้คัดลอกบทความ/ข้อมูล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้
Donation / สนับสนุนการดำเนินงาน
|
คืนสู่สามัญ : รินใจ |
Wednesday, 13 January 2010 | ||||
คืนสู่สามัญ ริมธาร ฉบับเดือน ตุลาคม 2552 40 ปีที่แล้วมนุษย์คนแรกได้ไปเหยียบดวงจันทร์ โดยมีผู้คนหลายร้อยล้านทั่วโลกร่วมเป็นประจักษ์พยานทางจอโทรทัศน์ หลังจากนั้นมีอีก 5 คณะที่ลงไปเดินบนดวงจันทร์ได้สำเร็จ ต่างร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่มนุษยชาติ แต่เมื่อถึงปี 2515 การส่งคนไปสำรวจดวงจันทร์ได้ยุติ นั่นหมายความว่าตลอดระยะเวลาอันยาวนานกว่า 2 แสนปีที่มีมนุษย์ยุคใหม่เกิดขึ้นในโลก มีเพียง 24 คนเท่านั้นที่เคยเดินทางไปยังดวงจันทร์ และมีเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่เท้าได้สัมผัสพื้นดวงจันทร์ ทั้ง 24 คนนั้นได้รับการยกย่องเป็นวีรบุรุษ (อย่างน้อยก็ของชาวอเมริกัน) เป็นที่รู้จักทั่วทั้งโลก และแน่นอนว่าได้รับจากจารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ แต่ก็เช่นเดียวกับดวงจันทร์ที่คนบนพื้นโลกมีโอกาสได้เห็นเพียงด้านเดียวเท่านั้น เรื่องราวของนักบินอวกาศกลุ่มนี้อยู่ในสายตาของคนทั้งโลกก็เฉพาะตอนที่พวกเขาเดินทางไปยังดวงจันทร์แล้วกลับมายังโลกได้สำเร็จ แต่ชีวิตของพวกเขาหลังจากนั้นแทบไม่มีใครรับรู้ ราวกับซ่อนอยู่ในด้านมืดของดวงจันทร์ นักบินอวกาศเกือบทุกคนพบว่า ส่วนที่ยากที่สุดในชีวิตมิใช่การเสี่ยงอันตรายไปยังดวงจันทร์ แต่กลับเป็นตอนที่กลับมายังโลกแล้ว ชีวิตหลังกลับจากดวงจันทร์นั้นเป็นส่วนที่ปรับตัวได้ยากที่สุด ไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาได้กลายเป็นคนเด่นคนดังที่ใครๆ ก็รู้จัก แต่เป็นเพราะว่าหลังจากที่ฉลองความสำเร็จ ได้รับคำชื่นชมสรรเสริญ ได้รับเชิญไปออกโทรทัศน์ และโด่งดังไปพักใหญ่ พวกเขาก็กลับมาเป็นคนธรรมดาที่ไม่ได้รับความสนใจอีกต่อไป ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่เลิกรา นี้เป็นความจริงที่แสนธรรมดา แต่การทำใจยอมรับความจริงนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะเมื่อคุณเป็นจุดเด่นในงานเลี้ยง เจมส์ โลเวลล์ (James Lovell) ผู้บัญชาการยานอพอลโล 13 (ซึ่งมีชื่อเสียงจากภารกิจที่ล้มเหลวในการเหยียบดวงจันทร์แต่พาทุกคนกลับมายังพื้นโลกได้อย่างปลอดภัย) ถอดประสบการณ์ของตัวเองมาพูดเมื่อเขาแนะเพื่อนคนหนึ่งซึ่งได้รับความชื่นชมอย่างล้นหลามจากงานเขียนของเขาว่า "จำไว้นะว่าคุณยืนอยู่ตรงไหนเมื่อสปอตไลท์ดับ เพราะ(หลังจากนั้น)คุณต้องหาทางลงจากเวทีเอาเอง" เจมส์ โลเวลล์ก็เช่นเดียวกับเพื่อนในกลุ่ม ที่พบว่า ขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับแสงสีบนเวที จู่ๆ สปอตไลท์ก็ดับอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว กว่าจะคลำเจอทางลงจากเวทีได้ก็ใช้เวลานาน และใช้เวลานานกว่านั้นกว่าจะทำใจได้ว่า เวลาอันแสนสั้นบนเวทีนั้นจบลงแล้ว แต่ถ้าใครยังหลงใหลความเย้ายวนของแสงสีบนเวที เขาก็ต้องจมอยู่กับความเศร้าสร้อยสถานเดียว อย่างไรก็ตามความโด่งดังเพียงชั่วครู่ ยังไม่เป็นปัญหามากเท่ากับการพบความจริงว่า ภารกิจอันยิ่งใหญ่ของคุณนั้นสิ้นสุดลงแล้ว นักบินอวกาศทุกคนถูกเคี่ยวกรำอย่างหนักทั้งทางกายและจิตใจติดต่อกันหลายปี เพื่อภารกิจประการเดียวเท่านั้นคือไปถึงดวงจันทร์ให้ได้แล้วกลับมาอย่างปลอดภัย พวกเขาทุ่มเททุกอย่างและพร้อมเสี่ยงอันตรายทุกรูปแบบเพราะตระหนักดีว่า ภารกิจของตนนั้นมีความสำคัญต่อประเทศชาติและมนุษยชาติมากเพียงใด ทุกคนย่อมดีใจสุดซึ้งเมื่อสามารถทำภารกิจดังกล่าวได้สำเร็จ ไม่มีอะไรในชีวิตที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อีกแล้ว แต่หลังจากนั้นล่ะ...... นักบินอวกาศเหล่านี้ประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิตตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 40 นั่นหมายความว่าเขาต้องใช้อีกครึ่งชีวิตที่เหลืออยู่กับความจริงที่ว่าวันเวลาอันยิ่งใหญ่อย่างนั้นไม่มีอีกแล้ว สำหรับคนส่วนใหญ่ นี้คือความจริงอันเจ็บปวดที่ยากจะทำใจได้ บางคนไม่ทันรอให้ผ่านข้ามปีด้วยซ้ำ เดวิด สก็อตต์ (David Scott) ผู้บัญชาการอพอลโล 15 เล่าความในใจว่า ไม่กี่วันหลังกลับจากภารกิจอันยิ่งใหญ่บนดวงจันทร์ เมื่อมาพบตัวเองอยู่ในลานหน้าบ้านขณะที่เพื่อนจัดงานเลี้ยงย่อมๆ ให้ เขาอดคิดในใจไม่ได้ว่า "ตูมาทำอะไรอยู่ที่นี่ (วะ)?" เกือบทุกคนใฝ่ฝันที่จะกลับไปทำภารกิจอันยิ่งใหญ่อีก แต่เมื่อโครงการสำรวจดวงจันทร์ยุติลงในปี 2515 ความฝันดังกล่าวก็ปิดฉากลงอย่างสนิท หลายคนทำใจไม่ได้ที่จะกลับไปทำงานเดิม (เช่น ออกแบบเครื่องบิน หรือทำงานจัดการ)อย่างที่เคยทำก่อนมาเป็นนักบินอวกาศ เพราะรู้สึกว่ามันธรรมดาเกินไป คนเหล่านี้โหยหาภารกิจที่ยิ่งใหญ่และท้าทายอย่างที่เคยทำ แต่เมื่อไม่พบว่ามีอะไรมาแทนที่ได้ จึงรู้สึกว่างเปล่าในชีวิต จึงไม่น่าแปลกใจที่บางคนติดเหล้างอมแงมแถมซึมเศร้า เช่น บั๊ซ อัลดริน (Buzz Aldrin) ซึ่งเหยียบดวงจันทร์เป็นคนที่สองถัดจากนีล อาร์มสตรอง ขณะที่หลายคนหันไปเอาดีทางการเมือง ซึ่งเป็นงานที่ตื่นเต้น ท้าทาย และมีความหมาย แต่ก็เทียบไม่ได้กับภารกิจบนดวงจันทร์
"การกลับลงมาจากยานอพอลโลเป็นเรื่องหิน" ชาร์ลี ดุ๊ค (Charlie Duke)นักบิน การเดินทางไปให้ถึงดวงจันทร์นั้นเป็นเรื่องยาก แต่ที่ยากกว่าก็คือการกลับมายังโลก และเดินเหินอยู่บนพื้นโลกอย่างมีความสุข ใช่หรือไม่ว่า เรื่องราวของนักบินอวกาศเหล่านี้ยังบอกเรามากกว่านั้นว่า การขับเคี่ยวให้บรรลุถึงความสำเร็จนั้นเป็นเรื่องยากก็จริง แต่ที่ยากกว่าก็คือการเดินลงมาจากความสำเร็จแล้วยังยิ้มได้ ไม่ว่าความสำเร็จนั้นจะมาในรูปของภารกิจอันยิ่งใหญ่ แชมป์เหรียญทอง ดารายอดนิยม นักเขียนมือรางวัล หรือตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็ตาม คนเก่งที่พากเพียรจนบรรลุความสำเร็จสูงสุดในชีวิตนั้นมีมาก แต่ที่มีน้อยมากก็คือคนที่พร้อมกลับมาเดินดินเหมือนคนทั่วไปได้ ทั้งนี้ก็เพราะความสำเร็จนั้นมีเสน่ห์ มันทำให้เราเป็นคนพิเศษที่ไม่เหมือนใคร จึงทำให้อัตตาพองโต อัตตานั้นเสพติดความสำเร็จ โดยเฉพาะเมื่อมันมาพร้อมกับชื่อเสียงเกียรติยศ จึงทำใจไม่ได้เมื่อต้องเหินห่างจากความสำเร็จนั้น หลังจากที่พ้นตำแหน่งประธานาธิบดีไปได้ 7 ปี บิล คลินตันก็ยังยอมรับว่าเขายังทำใจได้ยากที่กลายมาเป็นราษฎรเต็มขั้น "คิดดูสิว่าตอนผมเป็นประธานาธิบดี เขาจะบรรเลงเพลงทุกครั้งที่ผมเดินเข้าห้อง (แต่ตอนนี้) ไม่มีใครบรรเลงเพลงอีกแล้ว ผมไม่รู้เลยว่าผมอยู่ที่ไหน" งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา ไปถึงดวงจันทร์แล้วก็ต้องกลับมายังพื้นโลก ไม่มีใครที่ขึ้นเขาสูงแล้วจะอยู่บนนั้นไปตลอด หากต้องกลับมายังพื้นดิน ฉันใดก็ฉันนั้น ความสำเร็จ รวมทั้งความมั่งคั่ง ชื่อเสียง เกียรติยศ และตำแหน่งหน้าที่ (ซึ่งเป็นนิยามของความสำเร็จในยุคนี้) ล้วนเป็นของชั่วคราว ถ้าใครยึดติดถือมั่นสิ่งเหล่านี้ ย่อมเป็นทุกข์ในที่สุด เพราะไม่ช้าก็เร็วมันก็จะหลุดจากมือของเขาไป หาไม่ก็มีคนอื่นแย่งชิงไป ถ้าไม่อยากทุกข์ ก็ต้องคลายความยึดติดถือมั่น ระลึกอยู่เสมอว่ามันเป็นของไม่จีรังยั่งยืน องค์การนาซ่ายอมรับในภายหลังว่าเน้นแต่การฝึกฝนขับเคี่ยวให้นักบินอวกาศ มีความพร้อมทั้งกายและใจเพื่อไปถึงดวงจันทร์ให้ได้ แต่ลืมที่จะเตรียมใจนักบินเหล่านั้นเมื่อกลับมาถึงพื้นโลกแล้ว ("ผมเดาว่าพวกเขาคงคิดว่าเราโตแล้ว" เจมส์ โลเวลล์พูดถึงองค์การนาซ่า) ที่เป็นเช่นนี้คงเพราะเข้าใจว่าการกลับมาเดินเหินบนพื้นโลกเป็นเรื่องธรรมดา ใครๆ ก็คิดเช่นนั้น จึงไม่เคยเตรียมใจรับมือกับการก้าวลงจากความสำเร็จ (ไม่ว่าลงเองหรือถูกเชิญลง) แผงหนังสือจึงมีแต่คู่มือสู่ความสำเร็จ แต่ไม่มีคู่มือสำหรับลงจากความสำเร็จเลยสักเล่ม ยอดดอยไม่ใช่จุดเดียวเท่านั้นที่จะเห็นทัศนียภาพได้งดงามที่สุด ยามลงเขาหากเปิดใจกว้าง ไม่หวนหาอาลัยความงามบนยอดดอย ก็จะพบว่ารอบตัวมีธรรมชาตินานาพรรณอันงดงามรอการชื่นชมจากเรา การลงจากความสำเร็จก็เช่นกัน มันหาใช่อวสานของวันคืนอันชื่นบานไม่ หากเป็นจุดเริ่มต้นของความสุขอย่างใหม่ ที่ไม่ต้องพึ่งพาเสียงตบมือของผู้คน หรือแสงไฟบนเวที หากวางใจเป็น ก็จะเห็นความสุขที่แท้ในใจเรา เป็นความสุขที่เบ่งบานในยามสงบสงัด เมื่อวางภาระทุกอย่างออกจากใจ มีแต่ความโปร่งเบา เพราะตื่นรู้ในปัจจุบัน ในยามนั้นแม้แต่ดวงจันทร์กลางค่ำคืนก็ให้ความสุขแก่เราอย่างลึกซึ้งได้ โดยไม่ต้องขึ้นไปถึงบนนั้นเลย ถึงตอนนั้นเราจะซาบซึ้งยิ่งกับถ้อยคำของท่านติช นัท ฮันห์ ว่า "การเดินบนพื้นโลกคือปาฏิหาริย์" โดย... รินใจ ที่มา คอลัมน์ ชวนสังคมคิด : http://www.budnet.org/
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|