บทความล่าสุด |
---|
อนึ่ง บทความ หรือข้อเขียนทั้งหมดที่นำลงเว็บไซต์ jpthai.org เป็นทัศนะเฉพาะของผู้เขียน
ทางเว็บไซต์ jpthai อนุญาตให้คัดลอกบทความ/ข้อมูล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้
Donation / สนับสนุนการดำเนินงาน
|
กิจกรรมของ ยส. 1/2009 (ม.ค.-มิ.ย.) |
Tuesday, 28 July 2009 | ||||
จดหมายข่าว ยส.มกราคม - มิถุนายน 2552
กิจกรรม ยส. โครงการสิทธิมนุษยชนศึกษา ยส. เยี่ยมและให้กำลังใจ โรงเรียนที่รับเด็กพม่าเข้าเรียนร่วมกับเด็กไทย ในเขตพื้นที่ อ.เมือง จ.ระนอง
ระหว่างวันที่ 20 - 22 มกราคม 2552 โครงการสิทธิมนุษยชนศึกษา ยส. ประสานงานกับศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตชายแดนไทย-พม่า จ.ระนอง และเดินทางไปเยี่ยมเยียน ดูการทำงาน ร่วมพูดคุย และให้กำลังใจแก่คณะครูโรงเรียนรัฐบาลในระดับประถมศึกษาที่รับเด็กพม่าเข้าเรียนร่วมกับเด็กไทย ซึ่งถือเป็นตัวอย่างที่ดีของการปฏิบัติสิทธิมนุษยชนในการให้การศึกษาแก่เด็กทุกคนโดยไม่แบ่งแยกเชื้อชาติและสัญชาติ ตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก
จากการลงพื้นที่เยี่ยมศูนย์การเรียนรู้ของ JRS (Jesuit Refugee Service) ซึ่งให้ความช่วยเหลือด้านการศึกษาแก่เด็กพม่าใน จ.ระนอง คณะของ ยส. ประกอบด้วย รศ.ดร.วไล ณ ป้อมเพชร ประธานโครงการสิทธิมนุษยชนศึกษา ยส. คุณอัจฉรา สมแสงสรวง เลขาธิการ ยส. และเจ้าหน้าที่ ยส. ได้เข้าเยี่ยมศูนย์เด็กเล็ก Learning Center ที่คณะอุร์สุลินดูแลอยู่ 4 แห่ง ช่วยให้เด็กพม่าได้รับโอกาสทางการศึกษาประมาณ 400 คน และเมื่อทราบว่ามีโรงเรียนของรัฐบาล 12 แห่งที่ยินดีรับเด็กพม่าที่พูดภาษาไทยและสามารถปรับตัวได้เข้าเรียนร่วมกับเด็กไทย จึงประสานเข้าเยี่ยมโรงเรียน 4 แห่ง ได้แก่ โรงเรียนบ้านบางกลาง เปิดสอนชั้นอนุบาล - ประถมปีที่ 6 มีนักเรียน 108 คน ครู 6 คน / เด็กพม่าประมาณ 80 คน ครูพม่า 2 คน โรงเรียนระนองพัฒนามิตรภาพที่ 60 เปิดสอนชั้นอนุบาล - ประถมปีที่ 6 มีนักเรียน 400 กว่าคน ครู 24 คน มีเด็กพม่า/คนไทยพลัดถิ่นประมาณ 50 คน เด็กมุสลิม 130 คน โรงเรียนบ้านทุ่งหงาว เปิดสอนชั้นอนุบาล 1 - ม.3 นักเรียน 823 คน ครู 30 คน โดยมีเด็กพม่า 85 คน เป็นเด็กที่เรียนในระบบ 31 คน และโรงเรียนเอกศิลป์ราษฎร์พัฒนา เปิดสอนชั้นอนุบาล - ประถมปีที่ 6 มีนักเรียน 142 คน ครู 6 คน เป็นเด็กพม่าประมาณ 80 คน การไปเยี่ยมเยียนพูดคุยกับครูทั้ง 4 โรงเรียน ช่วยให้ครูได้ตระหนักว่าการช่วยให้เด็กพม่ามีโอกาสเข้าถึงการศึกษาเป็นแบบอย่างของการปฏิบัติสิทธิมนุษยชนที่เป็นรูปธรรม ครูมีความรู้สึกภูมิใจที่มีคนเห็นคุณค่าในสิ่งที่เขาทำ และมีกำลังใจในการทำงานต่อไป นอกจากนี้ยังได้รับทราบข้อมูลและความรู้สึกของครูในเรื่องต่างๆ อาทิ ครูได้รับความกดดันจากผู้ปกครองของเด็กไทย และชุมชนรอบโรงเรียน ที่มองว่าเป็นโรงเรียนของคนพม่า จึงไม่อยากให้ลูกหลานของตน (คนไทยในพื้นที่) เรียนร่วมกับเด็กพม่า ทำให้จำนวนนักเรียนน้อยลง ผลกระทบคือโรงเรียนได้รับงบประมาณน้อยลง นำไปสู่ความยากลำบากในการทำงานของครูในโรงเรียนรัฐระดับเล็ก ซึ่งเผชิญปัญหาบุคลากรและงบประมาณ ขาดแคลนทั้งอาคาร สถานที่ และอุปกรณ์การเรียนอยู่แล้ว ครูจึงเสนอว่าอยากให้โรงเรียนใหญ่ๆ ที่มีความพร้อม มาให้ความช่วยเหลือโรงเรียนเล็กๆ ที่ขาดแคลนด้วย นอกจากนี้ยังได้รับทราบถึงอคติของคนไทยและภาครัฐที่มีต่อคนพม่า ที่มองว่าชาวพม่ามาอยู่เต็มบ้านเมือง ต่อไป จ.ระนอง จะกลายเป็นของชาวพม่า ครูบางคนก็ยังมีอคติต่อเด็กพม่า เพราะคิดว่าควรจะให้การศึกษาแก่เด็กไทยให้เต็มที่ก่อน อีกด้านหนึ่งทำให้ได้รับรู้ว่าในขณะที่องค์กรต่างๆ มุ่งช่วยเหลือเด็กพม่า แต่กลับมีเด็กไทยจำนวนมากที่ขาดโอกาส จึงมีข้อเสนอว่าควรให้ความช่วยเหลือแก่เด็กไทยให้เท่าเทียมกับเด็กพม่าไม่เช่นนั้นจะทำให้เกิดการเปรียบ เทียบ และเกิดอคติต่อชาวพม่ามากขึ้น เดินทางสำรวจข้อมูลเรื่องสันติภาพ ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ร่วมกับศูนย์สังคมพัฒนาสังฆมณฑลสุราษฎร์ธานี ระหว่างวันที่ 10 - 13 กุมภาพันธ์ 2552
ในแผนงานส่งเสริมการสร้างสันติภาพในพื้นที่ภาคใต้ ยส. และศูนย์สังคมพัฒนาสังฆมณฑลสุราษฎร์ธานี ได้เดินทางไปพูดคุย และรับทราบประสบการณ์การทำงานจากนักวิชาการมุสลิม ได้แก่ ดร.สุกรี หลังปูเต๊ะ คณบดีคณะศิลปศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอิสลาม ยะลา ผศ.ดร.อิบรอฮีม ณรงค์รักษาเขต หัวหน้าภาควิชาอิสลามศึกษา วิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ดร.มัสลัน มาหะมะ รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร มหาวิทยาลัยอิสลามยะลาและคุณกัลยา เอี่ยวสกุล นักพัฒนาสังคม กลุ่มเครือข่ายภาคประชาชน ในจังหวัดปัตตานี ข้อมูลต่างๆ ที่ได้รับฟังช่วยให้เราเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นในสามจังหวัดชายแดนใต้มากขึ้น ทั้งนี้ประโยชน์ที่ได้รับนอกเหนือจากการการเรียนรู้ข้อมูลเบื้องต้นนี้ คือเกิดเครือข่ายการทำงานระหว่าง ยส. สังฆมณฑลสุราษฎร์ธานี กับนักวิชาการและเครือข่ายชาวมุสลิม ซึ่งนำไปสู่การริเริ่มกิจกรรมเพื่อส่งเสริมให้บุคลากรของพระศาสนจักรท้องถิ่นมีความมั่นใจในการทำงานท่ามกลางความแตกต่างด้านวัฒนธรรม ความเชื่อ และความขัดแย้งทางการเมืองมากขึ้น สัมมนาศึกษาสาสน์วันสันติภาพสากลของสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 16 หัวข้อ "ขจัดความยากจนเพื่อสร้างสันติภาพ" เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2552 ที่ห้องประชุมศูนย์พัฒนาบุคลากรอัสสัมชัญ ซอยทองหล่อ 25 สุขุมวิท กรุงเทพฯ
จากผลกระทบวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปลายปี 2551 ได้กลายเป็นประเด็นที่สังคมไทยให้ความสนใจต่อคนกลุ่มต่างๆ ที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากในการดำรงชีวิตมากขึ้น เช่น เกษตรกร คนงานในภาคอุตสาหกรรมส่งออก และคนระดับล่างในสังคมเมืองใหญ่ ซึ่งสภาพความเป็นจริงนี้สอดคล้องกับความห่วงใยของพระศาสนจักรสากลที่มีต่อเรื่องความยากจน อันเป็นผลมาจากการพัฒนาทางเศรษฐกิจระดับโลกที่ละเลยต่อภาคสังคม การจัดสัมมนาเพื่อไตร่ตรองสารวันสันติสากล ประจำปี 2552 ยส. จึงได้นำประเด็นความยากจนในสังคมไทยปัจจุบันมาศึกษา และไตร่ตรอง โดยเฉพาะความยากจนเชิงโครงสร้างจากนโยบายที่เป็นผลจากการบริหารประเทศแบบเศรษฐกิจนำการเมือง ความยากจนในมิติสิทธิมนุษยชน และมิติความมั่นคงทางสังคม ความยากจนในมิติพัฒนาในเรื่องการขาดโอกาสการเข้าถึงการศึกษา และการเข้าถึงด้านสวัสดิการสุขภาพอย่างเท่าเทียมกัน
การสัมมนา เริ่มจาก คุณพ่อวินัย บุญลือ,เอส.เจ เป็นผู้นำศึกษาสาสน์ฯ หัวข้อ "ขจัดความยากจนเพื่อสร้างสันติภาพ" และต่อด้วยเสวนาหัวข้อ "ถอดรหัสความยากจน : จนเองหรือถูกทำให้จน?" วิทยากรคือ คุณไพโรจน์ พลเพชร ประธานคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน และคุณจักรชัย โฉมทองดี นักวิจัยโครงการศึกษาและปฏิบัติการงานพัฒนา สถาบันวิจัยสังคม จุฬาฯ ร่วมพูดคุยในประเด็นสถานการณ์ความยากจนทั้งในระดับประเทศและจากกระแสโลกาภิวัตน์ที่ส่งผลต่อสังคมไทย ปัญหาทางโครงสร้างที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน และร่วมกันหาแนวทางช่วยกันสร้างสังคมที่มีสันติสุข โดยเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงที่ตัวเอง เปลี่ยนวิธีคิด และการบริโภค
ทั้งนี้มีผู้เข้าร่วมศึกษาสาสน์ฯ จำนวน 21 คน ประกอบด้วย คุณพ่อ /ภราดา /ซิสเตอร์ /เจ้าหน้าที่ฝ่ายการศึกษากรุงเทพฯ, สมาคมสตรีคาทอลิก คริสตชนที่สนใจ และสื่อมวลชน ค่ายยุวสิทธิมนุษยชน ครั้งที่ 5 ระหว่างวันที่ 10 - 13 มีนาคม 2552 ที่บ้านสวนสวย รีสอร์ท อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี
โดยมีเยาวชนระดับมัธยมปลายจากสถานศึกษาในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด (สงขลา ภูเก็ต พิษณุโลก)) เข้าร่วมจำนวน 23 คน ค่ายยุวสิทธิมนุษยชนให้เยาวชนเรียนรู้เรื่องสิทธิมนุษยชน ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และสิทธิเด็กในสถานการณ์ปัจจุบัน เยาวชนยังได้เรียนรู้สถานการณ์ปัญหาสิ่งแวดล้อม จากสมาชิกชมรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแก่งคอย ซึ่งมาพูดคุยถึงผลกระทบต่อชาวบ้านในพื้นที่อันเนื่องมาจากปัญหามลพิษทางอากาศที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรมใน จ.สระบุรี ทำให้เยาวชนตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาสิ่งแวดล้อมและเห็นใจต่อชุมชนที่ประสบปัญหา เยาวชนตระหนักถึงความจำเป็นที่ตนเองจะต้องมีส่วนร่วมในการช่วยลดปัญหาดังกล่าว ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น การประหยัดน้ำและไฟฟ้า ใช้โทรศัพท์ให้น้อยลง ฯลฯ
นอกจากนี้ เยาวชนยังได้เรียนรู้วิธีการสื่อสารกับผู้อื่นและแสดงความต้องการของตนอย่างสันติ ผ่านกิจกรรม "การสื่อสารด้วยสันติ" ในช่วงท้าย เยาวชนได้ร่วมคิดกิจกรรมส่งเสริมสิทธิมนุษยชน ผ่านโครงการบำเพ็ญประโยชน์ต่างๆ เพื่อนำกลับไปดำเนินการได้จริงที่โรงเรียนของตน จากการเข้าร่วมค่าย ยส. ครั้งนี้ เยาวชนได้สะท้อนว่า การมาร่วมกิจกรรมค่ายทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวเอง ทั้งด้านทัศนคติที่มีต่อคนรอบข้าง ครอบครัว และสังคม และจะนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับไปใช้ในชีวิตของตน และถ่ายทอดให้กับเพื่อนๆ และรุ่นน้องต่อไป
จัดอบรมเชิงปฏิบัติการสิทธิมนุษยชนศึกษา ให้แก่ครูและบุคลากรในสถานศึกษาคาทอลิก ในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของนักบวชหญิงคณะผู้รับใช้ดวงหทัยนิรมลฯ งานอบรมเชิงปฏิบัติการสิทธิมนุษยชนแก่ครูโรงเรียนคาทอลิก ในช่วงครึ่งปีแรกนี้ ยส. ได้มีโอกาสเข้าถึงโรงเรียนคาทอลิกในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้สุด ที่ จ.ปัตตานี และ จ.ยะลา ถือเป็นการอบรมให้ความเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชนแก่ครูในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงเรื่องความรุนแรง ระหว่างศาสนา และเชื้อชาติ
ผู้เข้าอบรมประกอบด้วย คณะครูและผู้บริหารจาก 4 โรงเรียน จำนวน 84 คน (ร.ร.ดรุณศึกษา 55 คน ร.ร.ดอนบอสโกพัฒนา 7 คน ร.ร.มารีย์พิทักษ์ศึกษา 8 คน และ ร.ร. อนุบาลธิดาเมตตาธรรม 14 คน) การจัดครั้งนี้ ผู้บริหารเห็นความสำคัญในการส่งเสริมการเรียนรู้สิทธิมนุษยชนในโรงเรียน จึงสนับสนุนการจัดกิจกรรมอย่างเต็มที่ ส่วนครูผู้เข้าร่วมอบรมได้เรียนรู้สาระสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้อง เช่น ความเป็นมาของสิทธิมนุษยชน ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก และสิทธิมนุษยชนในสถาบันการศึกษา จากการอบรม ครูได้ทบทวนพฤติกรรมของตนที่เคยกระทำและถูกกระทำจากบุคคลอื่น ทั้งในส่วนที่เป็นการละเมิดสิทธิและส่งเสริมสิทธิ ครูหลายคนได้สะท้อนว่าตนก็เคยปฏิบัติต่อนักเรียนโดยใช้ความรุนแรงทั้งการกระทำและวาจา ซึ่งทำให้เรียนรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นการละเมิดสิทธิของเด็ก และได้เรียนรู้ถึงการปฏิบัติในการเคารพ ศักดิ์ศรีต่อเพื่อนครูด้วยกัน
มีครูเข้าร่วมการอบรมจำนวน 34 คน ผู้บริหารเห็นความสำคัญของส่งเสริมการเรียนรู้สิทธิมนุษยชนในโรงเรียน จึงสนับสนุนการจัดกิจกรรมอย่างเต็มที่ ครูให้ความสนใจในการอบรมและมีส่วนร่วมในทุกกิจกรรมดีมาก และสามารถทำแผนการเรียนรู้ได้ดี ครูตระหนักถึงความสำคัญในการเอาใจใส่ดูแล ให้ความรักและความเข้าใจต่อนักเรียน ครูมีความสนใจเรื่องกฎหมายและองค์กรที่คุ้มครองสิทธิจากการถูกละเมิดในกรณีต่างๆ ครูและผู้บริหารสนใจขอรับการสนับสนุนภาพยนตร์และวิดีทัศน์ จาก ยส. เพื่อใช้เป็นสื่อในการเรียนรู้สิทธิมนุษยชนให้กับนักเรียน
มีครูเข้าร่วมการอบรมจำนวน 43 คน ผู้บริหารให้ความสำคัญในการเรียนรู้เรื่องสิทธิมนุษยชนอย่างมาก โดยอยู่ร่วมตลอดการอบรม ครูให้ความสนใจในการอบรมและมีส่วนร่วมในทุกกิจกรรมดีมาก และสามารถทำแผนการเรียนรู้ได้ดี ครูมีความสนใจเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิในประเด็นต่างๆ เช่น สิทธิแรงงาน สิทธิสตรี สิทธิในครอบครัว และสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ครูสะท้อนว่า ได้รับความรู้ดีมาก อยากให้มีการจัดอบรมอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งความรู้ด้านอื่นๆ ด้วย และจะนำความรู้ที่ได้รับไปเผยแพร่ ให้กับเด็กและคนรอบข้างในครอบครัวและชุมชนต่อไป ครูได้ตระหนักถึงสิทธิที่เด็กจะต้องได้รับมากขึ้น การไม่ลงโทษเด็กด้วยความรุนแรงทั้งทางกายและทางวาจา การเอาใจใส่เด็กรวมไปถึงความเป็นอยู่ในครอบครัว และการคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็ก
มีสิ่งที่น่าประทับใจคือ ครูยอมรับข้ออ่อนแอในเรื่องทัศนคติ และพฤติกรรมที่เป็นส่วนหนึ่งของการกระทำความรุนแรงต่อเด็ก อคติที่มีต่อเด็กมุสลิม หรือต่อเพื่อนบ้านชาวมุสลิม ซึ่งถึงแม้ว่า การอบรมเพียงครั้งเดียว จะไม่สามารถก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเรื่องอคติได้ แต่อย่างน้อย ครูได้มีเวลาส่วนหนึ่งในการไตร่ตรองเรื่องชีวิตและบทบาทของความเป็นครูที่มีต่อเด็ก
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|