สามศาสนาร่วมภาวนา
เพื่อสันติสุขในสังคมไทย
ร่วมหยุดสงครามกลางเมือง
พระสงฆ์คณะเยสุอิต
ตัวแทนซิสเตอร์จากคณะอุร์สุลิน
เจ้าหน้าที่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อความยุติธรรมและสันติ (ยส.)
และคริสตชนผู้รักสันติ จำนวนประมาณ 150 คน ร่วมภาวนาเพื่อสันติสุขในประเทศไทยกับพี่น้องศาสนิกชน
พุทธ มุสลิม คริสต์ ที่ลานหน้าหอศิลป์กรุงเทพฯ สี่แยกปทุมวัน จัดโดย "เครือข่ายประชาชนร่วมหยุดสงครามกลางเมือง" เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2551
งานครั้งนี้เริ่มด้วย พระมหาวุฒิชัย
วชิรเมธี (ว.วัชรเมธี) เทศนาธรรมในหัวข้อ "คนไทยล้วนเป็นพี่น้องกัน" กล่าวว่า
ที่จริงแล้วมนุษย์มีศักยภาพที่จะรักคนได้ทั้งโลก แต่ไปยึดมั่นถือมั่นกับสังกัด
อุดมการณ์ ลัทธิการเมือง ศาสนา ว่าคนที่เห็นต่างกับตัวเองไม่ใช่พวกฉัน
ไม่ใช่สังกัดฉัน จึงเป็นอุปสรรคทำให้คนรักกันไม่ได้ ทั้งๆ ที่เรามีความเป็นมนุษย์เหมือนกัน หายใจโดยใช้อากาศเดียวกัน
และมีพื้นฐานเดียวกันคือรักสุข เกลียดทุกข์ สิ่งสำคัญอยู่ที่ใจคน
สูงที่สุด ต่ำที่สุด ใจแคบ ใจกว้าง ล้วนอยู่ที่ใจเรา
พวกเราคนไทยต้องเปิดใจให้กว้าง มองกว้าง
นึกให้ไกล ยอมรับฟังความคิดเห็นที่ต่างกับเรา เชื่อต่างกับเรา
แล้วอยู่ด้วยกันได้อย่างสันติ
อย่าให้ความรุนแรงจากใจที่หลงผิดจนกลายมาเป็นวัฒนธรรม ใจที่หลงผิดคือแค่เห็นเขาต่างจากเราก็คิดว่าไม่ใช่พวกเราแล้ว
ให้เราคิดอย่างสันติ พูดอย่างสันติ ทำอย่างสันติ และเชื่อมั่นในสันติวิธี
ปฏิเสธความรุนแรงที่จะก่อให้เกิดแต่การบาดเจ็บล้มตาย
คุณอังคณา นีละไพจิตร ภรรยาของทนายสมชาย
นีละไพจิตร นักต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพที่หายตัวไป เป็นตัวแทนของศาสนาอิสลาม
กล่าวให้ข้อคิดว่า
ทุกคนต่างนับถือศาสนาและทุกศาสนาก็มีบทบัญญัติอยู่แล้วในเรื่องของการละเมิดสิทธิในร่างกาย
ชีวิตและทรัพย์สินของคน ถ้าทุกคนเชื่อมั่น ศรัทธาในศาสนา
ก็ต้องปฏิบัติตามคำสอนของศาสนา ทุกศาสนาพูดถึงสันติอยู่แล้ว แต่จะด้วยอวิชชา
ความไม่รู้ ความไม่เข้าใจ ความโกรธ หรืออะไรก็แล้วแต่ ทำให้คนขาดสติ
ปล่อยให้สิ่งไม่ดีเข้ามาครอบงำ ทำอย่างไรที่จะทำให้คนเราตั้งสติกลับมาใหม่
ศึกษาธรรมะที่มีอยู่แล้วในทุกศาสนาแล้วปฏิบัติ
เพราะขณะนี้ทุกคนมีสภาพเดียวกันคือเป็นเหยื่อของความรุนแรง
ไม่ว่าจะอยู่ในกลุ่มไหนก็ตาม
และทุกครั้งที่เผชิญกับความรุนแรงต้องมีท่าทีที่คัดค้าน ต่อต้าน
ไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจน ศาสนิกชนต้องมีบทบาทตรงนี้ ช่วยกันเปิดพื้นที่สันติให้มีมากขึ้นเรื่อยๆ
การเป็นศาสนิกชนจะภาวนาอย่างเดียวไม่พอ แต่ต้องแสดงจุดยืนที่จริงจัง
และสุดท้ายก็ต้องภาวนาร่วมกันเพื่อได้พื้นที่สันติคืนมา
สำหรับตัวเองได้รับผลกระทบจากความรุนแรง
ทุกวันนี้ก็มีชีวิตอยู่อย่างรู้สึกไม่ปลอดภัย ไม่มั่นคงในชีวิต
แต่เราต้องดำเนินชีวิตต่อไป โดยยึดหลักธรรม ต้องหนักแน่น มั่นคง
ไม่เป็นเครื่องมือให้ใคร สำหรับเรื่องการให้อภัย ต้องยึดหลักความถูกต้องชอบธรรม
จึงถึงนำมาสู่การให้อภัย การโกรธแค้นอาฆาต เข่นฆ่ากัน
สุดท้ายก็นำมาสู่การรุนแรงที่ไม่สิ้นสุดและยุติไม่ได้
และผลของความรุนแรงจะกลับมาสู่ครอบครัว ชุมชนและสังคมของเรา
จนทุกคนก็หาความสงบสุขไม่ได้
ตัวแทนของคาทอลิก อ่านบทพระวรสารนักบุญยอห์น บทที่ 15 ข้อ 9 - 15 ..... นี่คือบทบัญญัติของเรา ให้ท่านทั้งหลายรักกัน
เหมือนดังที่เรารักท่านไม่มีใครมีความรักยิ่งใหญ่กว่าการสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหาย
ท่านทั้งหลายเป็นมิตรสหายของเรา ถ้าท่านทำตามที่เราสั่งท่าน
เราไม่เรียกท่านว่าเป็นผู้รับใช้อีกต่อไป ..... และร่วมกันอ่านบทสดุดีที่
85 คำอธิษฐานภาวนาเพื่อสันติภาพและความยุติธรรม พร้อมนำเสนอ บทไตร่ตรองเพื่อสันติสุขในสังคมไทย
หลังจากนั้นร่วมกันจุดเทียนเพื่อสันติสุขในสังคมไทย เรียกร้องความเสียสละจากทุกฝ่ายให้ถอยคนละก้าว
ยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน เพื่อประเทศจะได้มีสันติสุขกลับคืน ไม่ใช้ความรุนแรงต่อกัน
สงครามกลางเมืองจะได้ไม่เกิดขึ้น
_____________________
รายงานโดย ฝ่ายการศึกษา
คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อความยุติธรรมและสันติ (ยส.)
Powered by AkoComment 2.0! |