3. จงรักศัตรู
"ท่านทั้งหลายได้ยินคำกล่าวว่า จงรักเพื่อนบ้าน จงเกลียดศัตรู (44)แต่เรากล่าวแก่ท่านว่า จงรักศัตรู
จงอธิษฐานภาวนาให้ผู้ที่เบียดเบียนท่าน
(45)เพื่อท่านจะได้เป็นบุตรของพระบิดาเจ้าสวรรค์
พระองค์โปรดให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นเหนือคนดีและคนชั่ว
โปรดให้ฝนตกเหนือคนชอบธรรมและคนอธรรม
(46)ถ้าท่านรักแต่คนที่รักท่าน ท่านจะได้บำเหน็จรางวัลอะไรเล่า
บรรดาคนเก็บภาษีมิได้ทำเช่นนี้ดอกหรือ
(47)ถ้าท่านทักทายแต่พี่น้องของท่านเท่านั้น ท่านทำอะไรพิเศษเล่า
คนต่างศาสนามิได้ทำเช่นนี้ดอกหรือ
(48)ฉะนั้น ท่านจงเป็นคนดีอย่างสมบูรณ์ ดังที่พระบิดาเจ้าสวรรค์ของท่าน
ทรงความดีอย่างสมบูรณ์เถิด" (มธ 5:43-48)
นี่คือสุดยอดบัญญัติรัก
!!!
สำหรับคนไทยที่ใช้คำว่า "รัก" กับทุกสิ่ง ไม่ว่าจะรักพ่อแม่ รักเพื่อน รักสุนัข
รักรถ ฯลฯ คงเห็นว่าพระวาจานี้ช่างฝืนธรรมชาติอย่างยิ่งและไม่มีทางเป็นไปได้
เพราะขนาดลูกในไส้ของตัวเองแท้ ๆ ยังรักไม่เท่ากันเลย
บางคนถึงกับเกลียดขี้หน้าลูกก็มี แล้วจะให้รักศัตรูได้อย่างไรกัน ?
แต่สำหรับชาวกรีกซึ่งแยกศัพท์ที่แปลว่า
"รัก" ออกเป็น 4
คำนั้น พวกเขาไม่เห็นว่าเป็นการฝืนธรรมชาติแต่อย่างใด คำศัพท์ทั้งสี่คือ
- erōs (เอรอส) หมายถึงความรักระหว่างชายหนุ่มหญิงสาว
ซึ่งมักลงเอยด้วยการมีเพศสัมพันธ์
ภายหลังความหมายเลยเพี้ยนเป็น "ความใคร่"
- storgē (สตอร์เก) หมายถึงความรักภายในครอบครัว
เช่นพ่อแม่รักลูก ลูกรักพ่อแม่
- philia (ฟีเลีย) เป็น "ความรักอันอบอุ่น" ที่มีต่อมิตรสหาย หรือคนใกล้ชิดที่สุด
- agapē (อากาเป) หมายถึงความปรารถนาให้ผู้อื่นบรรลุความดีสูงสุดโดยไม่มีเงื่อนไข
แม้ว่าผู้นั้นจะปฏิบัติต่อเราเลวร้ายเพียงใดก็ตาม
สิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงสอนคือ
ให้เราปรารถนาดีหรือมี agapē ต่อศัตรูของเรา !
แปลว่า
พระองค์ไม่ได้สั่งให้เรา "ตกหลุมรัก" ศัตรูดุจเดียวกับชายหนุ่มตกหลุมรักหญิงสาว (เอรอส)
หรือให้เรารักศัตรูเหมือนรักพ่อแม่ ลูกหลาน (สตอร์เก) หรือมิตรสหาย (ฟีเลีย)
ซึ่งเป็นการฝืนธรรมชาติอย่างยิ่ง
นอกจากไม่ทรงฝืนธรรมชาติมนุษย์แล้ว
พระองค์ยังปรารถนาดีต่อเราอย่างสุด ๆ ที่ทรงสั่งให้รักศัตรู เพราะแรงจูงใจของพระองค์คือ "เพื่อท่านจะได้เป็นบุตรของพระบิดาเจ้าสวรรค์" (มธ
5:45)
ภาษาฮีบรูไม่ค่อยมีคำคุณศัพท์
จึงต้องเลี่ยงไปใช้คำว่า "บุตรของ"... หรือ "บุตรแห่ง".... (son of...) แล้วตามด้วยคำนามแทน สำหรับชาวฮีบรู "บุตรแห่งความสว่าง" จึงหมายถึง "คนดี", "บุตรของพระเจ้า" หมายถึง "เหมือนพระเจ้า"
แปลว่า "พระเยซูเจ้าทรงประสงค์ให้เรารักศัตรู ก็เพื่อเราจะมีชีวิตเหมือนพระเจ้า"
พระเจ้าผู้ทรง "โปรดให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นเหนือคนดีและคนชั่ว
โปรดให้ฝนตกเหนือคนชอบธรรมและคนอธรรม" โดยไม่เลือกหน้า
(มธ 5:45)
ที่สุด
พระองค์ทรงขมวดท้ายสรุปว่า "ฉะนั้น
ท่านจงเป็นคนดีอย่างสมบูรณ์ ดังที่พระบิดาเจ้าสวรรค์ของท่าน
ทรงความดีอย่างสมบูรณ์เถิด" (มธ 5:48)
เป็นการตอกย้ำวัตถุประสงค์ของพระเยซูเจ้าที่เสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์
ก็เพื่อทำให้เรามนุษย์ "มีชีวิตเหมือนพระเจ้า" !!!
ชีวิตนี้จะมีอะไรประเสริฐเลิศล้ำไปกว่าการมีชีวิตเหมือนพระเจ้าอีกเล่า
?!
ขอลงท้ายด้วยบทสรรเสริญความรักของนักบุญเปาโลดังนี้
(1 คร 13:1-8)
(1)แม้ข้าพเจ้าพูดภาษาของมนุษย์และของทูตสวรรค์ได้
ถ้าไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็เป็นแต่เพียงฉาบหรือฉิ่งที่ส่งเสียงอึกทึก (2)แม้ข้าพเจ้าจะประกาศพระวาจา
เข้าใจธรรมล้ำลึกทุกข้อ และมีความรู้ทุกอย่าง
หรือมีความเชื่อพอที่จะเคลื่อนภูเขาได้ ถ้าไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีความสำคัญแต่อย่างใด (3)แม้ข้าพเจ้าจะแจกจ่ายทรัพย์สินทั้งปวงให้แก่คนยากจน
หรือยอมมอบตนเองให้นำไปเผาไฟเสีย ถ้าไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็มิได้รับประโยชน์ใด
(4)ความรักย่อมอดทน มีใจเอื้อเฟื้อ ไม่อิจฉา ไม่โอ้อวดตนเอง ไม่จองหอง (5)ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ความรักไม่ฉุนเฉียว
ไม่จดจำความผิดที่ได้รับ (6)ไม่ยินดีในความชั่ว
แต่ร่วมยินดีในความถูกต้อง
(7)ความรักให้อภัยทุกอย่าง เชื่อทุกอย่าง หวังทุกอย่าง อดทนทุกอย่าง
(8)ความรักไม่มีสิ้นสุด
Powered by AkoComment 2.0! |