บทเรียนเพื่อความกินดีอยู่ดี
โดย วรากรณ์ สามโกเศศ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เมื่อเร็วๆ นี้ Augusto Lopez Claros บรรณาธิการของ World Economic Forum"s Global Competitiveness Report 2006-2007 ได้เขียนบทความสรุปประสบการณ์ของเขาว่าอะไรเป็นปัจจัยสำคัญของความสำเร็จทางเศรษฐกิจประเทศต่างๆ
ภาคธุรกิจและนักธุรกิจชั้นนำของสหรัฐอเมริกาและยุโรป ตลอดจนแขกรับเชิญจากทั่วโลกร่วมประชุมประจำปีที่เรียกว่า World Economic Forum ที่เมือง Davos ในสวิสเซอร์แลนด์ (เพื่อประชุมและได้เล่นสกีด้วย ?) เพื่อหารือ วิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องที่เป็นประเด็นสำคัญของโลก ในงานประชุมนี้จะมีการบันทึกสิ่งที่มีการนำเสนอ ตลอดจนความเห็นที่เกิดขึ้น และพิมพ์ออกมาเป็นเอกสาร นอกจากนี้ ยังมีการจัดทำรายงานอันดับความสามารถในการแข่งขันประเทศต่างๆ ในโลกอีกด้วย Claros เป็น Chief Economist ของ World Economic Forum และบรรณาธิการรายงานฉบับล่าสุดนี้ ในการจัดทำรายงานเขาต้องเดินทางไปพบผู้นำประเทศและบุคคลต่างๆ ทั่วโลก ตลอดจนเรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นเวลานานถึง 3 ปี Claros ตั้งคำถามว่าอะไรเป็นปัจจัย นโยบาย และสถาบัน ซึ่งมีส่วนสำคัญอย่างที่สุดในการทำให้ประเทศนั้นๆ มีผลิตภาพ (Productivity หรือความสามารถในการผลิต ซึ่งเป็นหัวใจของความกินดีอยู่ดีของประชาชน) อันนำไปสู่การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ เขาสงสัยว่าทำไมบางประเทศดูจะทำได้ดีกว่าประเทศอื่นๆ ในการทำให้ความกินดีอยู่ดีของประชาชนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง บทเรียนที่เขาพบมีดังนี้ บทเรียนที่หนึ่ง อย่าอยู่กินเกินฐานะของตนเอง ประเทศ "เกิดใหม่และมาแรง" (Emerging Countries) จำนวนมากที่ประสบวิกฤตในรอบทศวรรษที่ผ่านมามีสาเหตุพื้นฐานมาจากการไร้ความสามารถของรัฐบาลในการจัดการด้านการคลัง กล่าวคือรัฐบาลไม่สามารถควบคุมการใช้จ่ายเงินได้กอปรกับเก็บภาษีได้อย่างไม่สมดุลกัน หรือกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ด้วยการขาดดุลงบประมาณ สิ่งที่ผิดตามมาก็คือหนี้สาธารณะขนาดใหญ่ การมีหนี้สาธารณะขนาดใหญ่ทำให้เกิดภาระในการใช้หนี้ของภาครัฐข้ามระยะเวลาจนไม่มีทรัพยากรเพียงพอไปลงทุนในด้านการศึกษา สาธารณสุขและโครงสร้างพื้นฐานสามด้านซึ่งเป็นหัวใจหลักในการเพิ่มพูนความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจ บทเรียนที่ 2 การเก็บภาษีในอัตราต่ำไม่ใช่วิธีแก้ไขที่มหัศจรรย์ มีหลักฐานน้อยนิดว่าอัตราภาษีต่ำโดยตัวของมันเองช่วยให้เกิดการเจริญเติบโต หลักฐานที่เห็นกันชัดกว่าก็คือประเทศที่มีการเก็บอัตราภาษีสูง เช่น นอร์เวย์ สวีเดน ฟินแลนด์ เดนมาร์ก ฯลฯ รัฐบาลสามารถจัดสรรรายได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งไปในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่ว่า รายได้จากภาษีระดับหนึ่งถูกนำไปใช้ในการศึกษาฝึกฝน อบรม จัดสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมชั้นยอด หรือถูกใช้ไปในเรื่องที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ หรือถูก "ปล้น" เอาไป บทเรียนที่ 3 คอร์รัปชั่นคือตัวฆ่าการเติบโต รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาที่ประสบความสำเร็จ รัฐบาลที่ซื่อสัตย์เท่านั้นจึงจะมีความน่าเชื่อถือสำหรับประชาชน เมื่อประชาชนเห็นว่าผู้นำทำงานเพื่อชาติอย่างแท้จริง มิได้ทำเพื่อตัวเองญาติพี่น้องและพรรคพวก ประชาชนก็จะให้การสนับสนุน บทเรียนที่ 4 ระบบยุติธรรมที่ถูกทำนองครองธรรม ภาคเอกชนมีความจำเป็นต้องมีระบบยุติธรรมที่เชื่อถือได้ เพราะเมื่อหากมีข้อขัดแย้งก็จะทำให้จบได้ในเวลาอันควรด้วยต้นทุนที่ไม่สูงเกินไป และสามารถมั่นใจได้ว่าคำพิพากษามิได้เอนเอียงไปเพราะเหตุผลอื่น บทเรียนที่ 5 ความชั่วร้ายของเรดเทป เรดเทปทำให้เกิดต้นทุนที่สูงมาก การบริหารงานที่เชื่องช้าเป็นไปตามลำดับขั้นตอนอย่างน่าเบื่อหน่าย เป็นอุปสรรคต่อการเกิดของธุรกิจใหม่ๆ มีการพบว่าบ่อยครั้งในประเทศที่ "เกิดใหม่และมาแรง" ที่ต้องการชนชั้นนักธุรกิจเป็นอย่างยิ่งนั้น รัฐบาลกลับเป็นผู้สร้างอุปสรรคในการเกิดบริษัทใหม่ๆ ขึ้นมาเสียเอง บทเรียนที่ 6 การศึกษาเป็นเสาหลัก การลงทุนในการศึกษากำลังพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนขึ้นทุกทีว่าเป็นตัวผลักดันสำคัญของผลิตภาพ เมื่อเศรษฐกิจโลกซับซ้อนยิ่งขึ้น ยิ่งมีความจำเป็นสูงยิ่งขึ้นในการยกระดับการฝึกฝน อบรมของแรงงานเพื่อให้แน่ใจได้ว่าแรงงานสามารถปรับตัวได้อย่างง่ายดายกับเทคโนโลยีล่าสุด ผลตอบแทนจากการลงทุนด้านการศึกษานั้นสูงอย่างยิ่ง รัฐบาลที่ได้ให้ความสนใจในเรื่องนี้อย่างเหมาะสม ขณะนี้กำลังเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อย่างเป็นกอบเป็นกำ บทเรียนที่ 7 คอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือเป็นจักรกลใหม่ของการสร้างการเจริญเติบโต จากเมื่อก่อนความสนใจอยู่ที่การอ่านออกเขียนได้ขั้นพื้นฐาน ปัจจุบันจำเป็นต้องการให้ประชาชนสามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือ จากงานวิจัยพบว่ามีสหสัมพันธ์สูงระหว่างอันดับในการแข่งขันของประเทศในรายงานดังกล่าวกับอัตราการเข้าถึงเทคโนโลยีเหล่านี้ ดังนั้น อินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือจึงมีส่วนอย่างสำคัญในการเพิ่มพูนอัตราการเติบโตของผลิตภาพ บทเรียนที่ 8 ให้อำนาจผู้หญิง มีหลักฐานเด่นชัดจากงานวิจัยว่าการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนแก่ประเทศอย่างคุ้มค่าก็คือ การให้การศึกษาแก่ผู้หญิงโดยเฉพาะแก่เด็กผู้หญิง การที่ผู้หญิงได้รับการศึกษา มีการจ้างงาน และมีสิทธิในการเป็นเจ้าของทรัพย์สิน เป็นการให้อำนาจแก่ผู้หญิงและให้โอกาสเธอในการกำหนดสิ่งแวดล้อมรอบตัวเธอเอง นอกจากนี้การอ่านออกเขียนได้ยังช่วยลดจำนวนลูกที่เธอให้กำเนิดในชีวิต รวมทั้งขจัดอคติในการมีลูกผู้หญิงอีกด้วย ความสามารถในการแข่งขันก็คือการใช้ทรัพยากรซึ่งรวมไปถึงมนุษย์อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อผู้หญิงที่ได้รับการศึกษามีส่วนร่วมในระบบเศรษฐกิจและการเมืองก็จะทำให้เกิดผลพวงในด้านผลิตภาพและการเจริญเติบโตตามมาด้วยอย่างสำคัญ ในโลกสมัยใหม่ที่ซับซ้อน หากรัฐบาลของประเทศได้กำหนดนโยบายโดยตระหนักถึงบทเรียนข้างต้นแล้ว โอกาสของความกินดีอยู่ดีอย่างยั่งยืนของสังคมนั้นก็จะมีสูงกว่าสังคมอื่นที่ไม่ตระหนักถึง จากหนังสือ พิมพ์มติชน ปีที่ 29 ฉบับที่ 10470 วันที่ 09 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 Link...(http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01act05091149&day=2006/11/09)
Powered by AkoComment 2.0! |