เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2547 ณ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา 16 สี่แยกคอกวัว ถ.ราชดำเนินกลาง เนื่องในโอกาสครบรอบ 31 ปี ของเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 มูลนิธิ 14 ตุลา ได้จัดพิธีกรรมรำลึกถึงวีรชนผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ในวันนั้น ผู้เข้าร่วมงานประกอบด้วย ญาติวีรชน, ตัวแทนจากภาครัฐ, องค์กรพัฒนาเอกชนหลายองค์กร, สื่อมวลชน และประชาชนผู้สนใจ รวมประมาณ 300 คน โดยในช่วงเช้าตั้งแต่เวลา 8.30 น. ได้มีพิธีกรรมทางศาสนา จาก 3 ศาสนาทั้งพุทธ คริสต์ และอิสลาม ซึ่งได้ร่วมกันภาวนาเพื่อรำลึกถึงผู้จากไปในเหตุการณ์ 14 ตุลา 16
คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อความยุติธรรมและสันติ (ยส.) พร้อมด้วยซิสเตอร์จากคณะอุร์สุลิน, คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อกลุ่มชาติพันธุ์ และศูนย์การศึกษาต่อเนื่องด้านสังคม ในฐานะตัวแทนคาทอลิก ได้ร่วมกันอ่านบทภาวนาเพื่อรำลึกถึงเพื่อนร่วมชาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น พร้อมทั้งภาวนาให้กับผู้ที่ที่มีชีวิตอยู่แต่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์รุนแรงในครั้งนั้นด้วย
จากนั้นบุคคลสำคัญทั้งจากภาครัฐบาลและตัวแทนภาคประชาชน ได้กล่าวสดุดีวีรชนประชาธิปไตย อาทิ
นายจาตุรนต์ ฉายแสง รองนายกรัฐมนตรี,
นายอุทัย พิมพ์ใจชน ประธานรัฐสภา,
นายสุชน ชาลีเครือ ตัวแทนจากวุฒิสภา,
นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร,
นายณิปไทย ศาสนนันทน์ ตัวแทนญาติและวีรชน 14 ตุลา,
นางดาวัลย์ จันทรหัสดี ตัวแทนชาวบ้านนักต่อสู้เพื่อสิทธิชุมชน เป็นต้น
นายณิปไทย ศาสนนันทน์ ตัวแทนญาติและวีรชนผู้สูญเสียชีวิตจากเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 กล่าวทั้งน้ำตา เรียกร้องให้ภาครัฐหันมาใส่ใจกับวีรชนผู้พิการจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นและญาติวีรชนซึ่งกำลังได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากมูลนิธิสงเคราะห์ผู้ประสบภัย บ้านมนังคศิลาจะปิดตัวเองภายในสิ้นปีนี้ แสดงให้เห็นว่าภาครัฐไม่ได้ใส่ใจและให้ความสำคัญกับบุคคลเหล่านี้เลย “เหตุการณ์ในครั้งนั้นเราได้สูญเสียเพื่อน – พี่น้องไปมากมาย มีทั้งผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ พิการ ทุพพลภาพและจิตฟั่นเฟือน ยังความเศร้าสะเทือนใจให้กับเพื่อนพี่น้องญาติมิตรตลอดมา หลายคนที่มีชีวิตอยู่ในวันนี้ล้วนมีอายุมากขึ้นตามกาลเวลา แต่ดูเหมือนการต่อสู้ของบุคคลเหล่านี้จะยังไม่สิ้นสุดเพราะต้องดิ้นรนต่อสู้กับความอยู่รอดของชีวิต ความไม่เป็นธรรมในสังคมและการเอารัดเอาเปรียบจากผู้มีโอกาสมากกว่าของนายทุนขุนศึกทั้งหลายผู้ได้รับผลพวงจากการเสียสละของวีรชน กลับมียศฐาบรรดาศักดิ์ใหญ่โตในบ้านเมือง มีทรัพย์สินมูลค่ามหาศาล มีพวกพ้องบริวารมากมายคอยห้อมล้อม โดยลืมหันกลับมามองประชาชนผู้ด้อยโอกาสที่เคยเสียสละเพื่อส่วนรวม”
นางดาวัลย์ จันทรหัสดี ตัวแทนชาวบ้านนักต่อสู้เพื่อสิทธิชุมชน ในกรณีคัดค้านการก่อสร้างโรงบำบัดน้ำเสียคลองด่าน จ.สมุทรปราการ กล่าวว่า การต่อสู้กับอำนาจรัฐเมื่อ 31 ปีที่ผ่านมาเป็นการต่อสู้กับอำนาจเผด็จการ แต่อำนาจเผด็จการกลับไม่เคยหมดไป ปัจจุบันอำนาจเผด็จการกลับแยบยลและซับซ้อนมากขึ้น “เราได้เห็นการต่อสู้ของอำนาจเงิน อำนาจการโกงกินประเทศชาติ การแสวงหาประโยชน์โดยผู้มีอำนาจรัฐ และเราได้สูญเสียนักสู้ชาวบ้านไปแล้ว 16 คน โดยไม่สามารถจับผู้กระทำผิดได้ นั่นเกิดจากอำนาจใด?” ทั้งนี้ นางดาวัลย์ได้เรียกร้องให้คนไทยทุกคนไม่ปล่อยให้อำนาจเผด็จการในทุกรูปแบบมาทำลายประเทศชาติและประชาชนอีกต่อไป
หลังจากนั้น ได้มีการปาฐกถาในหัวข้อ
“เปิดหน้าต่าง สร้างสะพาน สมานใจ : ทางออกจากกับดักแห่งความรุนแรงในยุคทักษิณ” โดย
พระไพศาล วิสาโล พระปัญญาชนและนักสันติวิธี จากวัดป่าสุคะโต จ.ชัยภูมิ พระไพศาล ได้กล่าวเชื่อมโยงให้เห็นว่า นับตั้งแต่การเคลื่อนไหวของนักศึกษาและประชาชน ในเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 มาจนถึงเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ (2535) ซึ่งเรียกได้ว่าเป็น
“การปฏิวัติทางวัฒนธรรม” ของประชาชนซึ่งมุ่งเรียกร้องสิทธิเสรีภาพในการอยู่ร่วมกันโดยสันติ แต่กลับถูกตอบโต้จากฝ่ายรัฐด้วยความรุนแรงมาโดยตลอด ดังนั้นการแสวงหาหนทางที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติจึงเป็นภารกิจสำคัญ การแก้ไขความขัดแย้งโดยสันติวิธีคือความจำเป็นของคนไทยทั้งชาติ
แต่ผ่านมา 31 ปี เรามีรัฐธรรมนูญที่ให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพมากขึ้นและมีส่วนร่วมในกิจการท้องถิ่นและของชาติ แต่ในแง่ของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและการแก้ไขความขัดแย้งกลับไปได้ไม่ไกลซ้ำบางส่วนกลับถดถอยกว่าเดิม เนื่องจาก 4 ปีของรัฐบาล นายกฯ ทักษิณ สะท้อนลักษณะอำนาจนิยมคือมีแนวโน้มจะใช้ความรุนแรงกับประชาชนที่ประท้วงต่อต้านนโยบายรัฐและมีการรวมศูนย์อำนาจ ปฏิเสธการมีส่วนร่วมของประชาชน มองแต่ตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นหลักโดยมิได้คำนึงถึงด้านจริยธรรมและสังคม รวมถึงการเอื้อผลประโยชน์ให้แก่กลุ่มพวกพ้อง “อำนาจและเม็ดเงินเป็นเครื่องมือที่นายกฯ ทักษิณ เชื่อมั่นและไว้วางใจมากที่สุด ซึ่งมีแต่จะนำสังคมไทยไปสู่ความขัดแย้งที่ลุกลามและรุนแรงยิ่งขึ้น ซึ่งหากนายกฯ ซึ่งยึดติดในวิธีคิดและวิธีทำแบบเดิมจะเป็นกับดักให้รัฐบาลติดอยู่กับการสร้างความรุนแรงเชิงโครงสร้างมากขึ้น และนำพาทั้งประเทศให้ติดกับดักแห่งความรุนแรงทั้งหมด”
พระไพศาล ได้เสนอแนวทางออกจากกับดักแห่งความรุนแรงว่า “หากนายกฯ ต้องการนำพาประเทศออกจากกับดักแห่งความรุนแรง นายกฯ จะต้องคิดใหม่ทำใหม่ ด้วยอุปมาอุปมัย 3 ประการคือ 1.เปิดหน้าต่าง หน้าต่างเมื่อเปิดออกย่อมทำให้เราสามารถเห็นโลกภายนอกได้ชัดเจนขึ้น ขณะเดียวกันก็ช่วยให้แสงแดดสาดส่องนำความสว่างเข้ามาแทนที่ความมืด รัฐบาลโดยเฉพาะ พ.ต.ท.ทักษิณ ควรเปิดใจเพื่อขยายวิสัยทัศน์ให้มีความรอบด้าน ไม่จำกัดคับแคบอยู่เฉพาะมิติเศรษฐกิจ หากครอบคลุมไปถึงมิติทางสังคม วัฒนธรรม จริยธรรมและสิ่งแวดล้อม เพื่อทำให้เกิดความเจริญก้าวหน้าอย่างสมดุลทุกมิติ เปิดใจรับฟังคำวิจารณ์หรือความเห็นที่ต่างจากตน เปิดโอกาสให้ประชาชนได้ใช้สื่ออย่างเสรีหรือมีเวทีที่จะแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่กระทบต่อวิถีชีวิตของตน ทางด้านประชาชนก็ควรเปิดหูเปิดตารับรู้ความเป็นไปของผู้คนที่มีอัตลักษณ์และวิถีชีวิตต่างจากตน เปิดใจรับรู้สุขทุกข์ ความใฝ่ฝันของผู้คนต่างศาสนา ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม การรับฟังผู้ที่คิดต่างจากตนจะช่วยให้เกิดปัญญาและมีจิตไม่คับแคบ 2.สร้างสะพาน สะพานเป็นสื่อกลางให้ผู้คนติดต่อสัมพันธ์กันและเกิดความร่วมมือกัน การกระจายอำนาจคือการสร้างสะพานเพื่อให้ประชาชนเขามามีส่วนร่วมกับรัฐในการขับเคลื่อนผลักดันประเทศให้รุดหน้าสู่ความผาสุก ประชาชนจะมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับรัฐบาลได้ก็ต่อเมื่อรัฐบาลก้าวไปหาประชาชน เคารพและรับฟังเขา 3.สมานใจ ใจที่ประสานเข้าด้วยกันในฐานะเพื่อนร่วมชาติและเพื่อนร่วมทุกข์ย่อมนำไปสู่สันติสุข รัฐบาลและประชาชนควรตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างความสมานฉันท์ในชาติด้วยขันติธรรมและเมตตาธรรม”
ทางด้าน
นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ซึ่งร่วมในงานปาฐกถาครั้งนี้ ได้กล่าวว่า คนไทยควรขอบคุณคุณทักษิณที่แสดงให้เห็นว่าอำนาจเงินได้ใช้ช่องว่าทางการเมืองเข้ายึดกุมอำนาจรัฐและเป็นอำนาจเผด็จการ ประชาชนได้เรียนรู้จากของจริงว่าธนาธิปไตยเป็นอย่างไรสังคมจึงต่อต้านระบบดังกล่าว “ระบบธนาธิปไตย คือเงินเป็นใหญ่ วันนี้ไปที่ไหนมีแต่คนคุยเรื่องคอร์รัปชั่น ผลประโยชน์ทับซ้อน เผด็จการทั่วไปหมด ที่ว่ามาเป็นการเรียนรู้ของสังคมที่ต้องการดิ้นรนแสวงหาประชาธิปไตยอยางแท้จริง เราควรขอบคุณคุณทักษิณที่ให้บทเรียนแก่สังคม เราขอแผ่เมตตา” พร้อมกันนี้ นพ.ประเวศ ยังได้ให้ข้อเสนอแนะซึ่งเป็นข้อสอบให้นายกฯ ทักษิณและรัฐบาลว่าจะทำได้หรือไม่ 3 ประการคือ
1.สร้างความเข้าใจให้เกิดประชาธิปไตยโดยตรงที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง 2.ปรับปรุงประชาธิปไตยแบบตัวแทน ลดอำนาจเงินที่เข้ามาสู่การเมือง 3.ควรแยกอำนาจ 3 ประสานที่เป็นต้นเหตุแห่งมหาคอร์รัปชั่นคือ อำนาจการเมือง อำนาจราชการ และอำนาจธุรกิจ ทุกวันนี้อำนาจธุรกิจยึดกุมอำนาจการเมือง และการเมืองได้สยบข้าราชการหมดแล้ว ดังนั้นหากไม่สามารถทำลาย 3 ประสานได้ คอร์รัปชั่นจะแก้ไม่ได้