บทความล่าสุด |
---|
ข้อคิดจากเหตุการณ์รุนแรงในภาคใต้ |
Wednesday, 01 November 2006 | ||||
ข้อคิดจากเหตุการณ์รุนแรงในภาคใต้บาทหลวงวิชัย โภคทวี
พระภิกษุขณะออกบิณฑบาต เป็นสัญลักษณ์ของการแสวงหาความสงบ การฝึกปฏิบัติ ความเมตตากรุณา รวมไปถึงการอุทิศตัวเพื่อแสวงหาสัจธรรมสำหรับปวงชนชาวไทย ทั้งยัง เป็นศูนย์รวมความศรัทธาของชาวพุทธทั้งมวลด้วย ดังนั้นความรุนแรงที่เกิดขึ้นนี้จึงมีผลกระทบ กระเทือนต่อจิตใจของศาสนิกเป็นอย่างยิ่ง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้เกิดความสะเทือนใจและกลายมาเป็นความเจ็บแค้นสำหรับคนไทยไม่มากก็น้อย ดีที่คนไทยเป็นคนที่มีความอดกลั้นและมีวิจารณญาณที่รอบคอบ คนไทยมีความใจกว้างต่อการนับถือศาสนา โดยเห็นว่าทุกศาสนาสอนคนให้เป็นคนดี ซึ่งถ้าเป็นประเทศที่ประชาชนมีความคิดที่รุนแรงทางด้านศาสนาไม่มีความอดกลั้นแล้ว เมื่อถูกบีบคั้นด้วยสถาน การณ์ในระดับที่เกิดขึ้นในภาคใต้ ก็อาจจะกลายไปเป็นสงครามระหว่างศาสนาได้ ดังที่เราได้เห็นบ่อยๆ เช่น ในประเทศอินเดีย ปากีสถาน หรือ อินโดนีเซีย เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เรื่องที่พระและเณรถูกฆ่าขณะออกบิณฑบาต เป็นเรื่องที่สะเทือนใจคนไทยมาก การที่ภาพลักษณ์สำคัญของสังคมไทยถูกทำร้ายนี้ สังคมควรได้รับการบำบัดรักษา และต้องช่วยกันป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก ไม่เช่นนั้นความเจ็บแค้นนี้ก็อาจจะสะสมอยู่ในจิตใจของคนในสังคม และจะกลายมาเป็นความรุนแรงระหว่างศาสนา หรือถ้าสังคมไม่ได้ใส่ใจก็จะเป็นไปได้ว่า สัญลักษณ์สำคัญนี้ไม่มีความหมายแก่คนไทยเท่าที่ควร ซึ่งทั้งสองกรณีเป็นเรื่องน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง สิ่งแรกที่ควรจะทำคือ ต้องไม่ให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก มีการเสนอให้จัดกำลังตำรวจและทหาร ให้ความคุ้มครองแก่พระและเณรขณะออกบิณฑบาต แต่ พระกิตติศักดิ์ กิตติโสภโณ จากกลุ่มเสขิยธรรม มีข้อเสนอที่น่าสนใจคือ เสนอให้ประชาชนทั้งชาวพุทธและมุสลิมในพื้นที่ซึ่งพวกเขาเคยอยู่ร่วมกันอย่างสันติและเคยช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาก่อนเข้ามาคุ้มครองแทนที่กำลังทหารหรือตำรวจ ทั้งนี้เพราะการใช้กำลังเข้าแก้ไขเช่นนี้อาจจะเป็นการยั่วยุให้เกิดความรุนแรงยิ่งขึ้นก็ได้ แต่ถ้าหากใช้ปวงชนของทั้งสองศาสนาร่วมกันก็จะเป็นการแสดงออกถึงพลังแห่งธรรมะของทั้งสองศาสนาที่ร่วมกันเพื่อพิทักษ์สัญลักษณ์ที่สำคัญของสังคมดังกล่าว ถ้าสามารถทำได้เช่นนี้จะทำให้เกิดพลังแห่งสันติภาพขึ้นมาสลายพลังแห่งความรุนแรงของความเกลียดชัง และทำให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลของชาวบ้านเข้มแข็งขึ้นด้วย จากนั้นรัฐบาลจะต้องจับคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ได้ รัฐบาลจะต้องถือว่า เรื่องการฆ่าพระและเณรนี้เป็นคดีสำคัญ และดำเนินการอย่างรอบคอบ ถูกต้อง และยุติธรรม จะต้องตระหนักว่าถ้าหากดำเนินการผิดพลาดก็จะเกิดผลเสียร้ายเเรง ยิ่งถ้าเป็นการจับแพะรับบาปก็ยิ่งจะเป็นการทำร้ายสังคมลึกซึ้งยิ่งขึ้น สำหรับศาสนาก็เป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะมาพิจารณาให้ลึกซึ้งว่า กำลังเกิดอะไรขึ้นกับ สังคมไทย? มีเหตุอันใดที่ก่อให้เกิดความเกลียดชังในสังคมถึงขนาดนั้น? เหตุการณ์เช่นนี้ทำให้นึกถึงคำเตือนของท่านพุทธทาส ที่เคยกล่าวไว้ว่า “ถ้าศีลธรรมไม่กลับมา...โลกาวินาศ” ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาของสังคมที่กำลังขาดศีลธรรม ศาสนาจะต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหานี้ โดยที่ศาสนาจะต้องไม่จำกัดอยู่แต่ในวัดหรือในพิธีกรรมต่างๆ เท่านั้นอีกต่อไป แต่ต้องเป็นผู้นำคุณธรรมเข้าไปในวิถีชีวิตของคนในสังคม ต้องสอนให้คนในสังคมดำเนินชีวิตให้สอดคล้องไปกับคุณธรรมของศาสนาของตน อย่างเป็นรูปธรรม ยังเป็นช่วงเวลาที่สังคมจะต้องฝึกอภัยทาน! ในเวลาเช่นนี้การพูดถึงเรื่อง การให้อภัย ดูเหมือนเป็นเรื่องที่ไม่ถูกกาละเทศะ แต่อันที่จริงเป็นช่วงเวลาที่ถูกต้อง การให้อภัยดูเป็นเรื่องง่ายถ้าพูดขึ้นมาลอยๆ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้แล้ว ยังสามารถให้อภัยด้วยใจจริงได้นับว่าเป็นจิตใจที่สูงส่ง เป็นจิตใจที่มีพลังสามารถนำพาสันติให้เอาชนะความรุนแรงได้ จิตใจที่จะให้อภัยในสถานการณ์เช่นนี้จะต้องได้รับการฝึกปฏิบัติ ดังจิตใจของพระเยซูเจ้าขณะที่อยู่บนไม้กางเขน ที่ให้อภัยแก่ผู้ที่ประหารชีวิตพระองค์ ช่วงเวลานี้จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญในการฝึกการให้อภัย มีการพูดกันบ่อยว่า “ควรจะทำวิกฤตให้เป็นโอกาส” สำหรับศาสนิกก็เช่นเดียวกัน ควรจะฉวยโอกาสนี้มาฝึกพลังแห่งธรรมะ เพื่อในที่สุดธรรมะจะได้มีพลังพอที่จะไม่ให้อธรรมทำร้ายต่อสังคมได้
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|