{ต้องการกลับไปอ่านบทความ ตอนที่ 1 ตอนที่ 2 ตอนที่ 3 ตอนที่ 4 ตอนที่ 5 และ ตอนที่ 6 ก่อน}
ตอนที่ 7
กลไกสหประชาชาติ –
การตรวจสอบและติดตามผลตามข้อผูกมัดในสนธิสัญญา (2)
โดย กล้วยกัทลี
ตอนที่แล้วได้เสนอรายชื่อคณะกรรมการที่แต่งตั้งขึ้นตามสนธิสัญญาหลักๆ 7 ฉบับ ชื่อที่ย่อสั้นลงมีดังนี้
คณะกรรมการว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ– CERD
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง – HRC
คณะกรรมการว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม – CESCR
คณะกรรมการว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรี – CEDAW
คณะกรรมการว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน – CAT
คณะกรรมการว่าด้วยสิทธิเด็ก – CRC
คณะกรรมการว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิแรงงานอพยพ – CMW
กลไกคณะกรรมการภายใต้สนธิสัญญาทำงานอย่างไร?
คงจำกันได้ว่า เมื่อสนธิสัญญาต่างๆ ร่างเสร็จ สหประชาชาติจะนำเสนอให้สมาชิกลงนามรับรอง เมื่อสมาชิกลงนามรับรองครบตามจำนวนที่ระบุไว้ในสนธิสัญญาแต่ละฉบับแล้ว (เช่น ICESCR ระบุไว้ 35 รัฐ ส่วน ICRMW ระบุไว้ 20 รัฐ เป็นต้น) สนธิสัญญานั้นๆ ก็จะมีผลบังคับใช้ภายในสามเดือน
เมื่อมีผลบังคับใช้ ก็หมายความว่า ประเทศที่ลงนามรับรองสนธิสัญญานั้นๆ หรือรัฐภาคี และผู้ที่จะลงนามต่อๆ มา ยินยอมที่จะปฏิบัติให้เป็นไปตามพันธกรณีที่ระบุในสนธิสัญญา ตัวอย่างเช่น มาตรา 3 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางการเมืองและสิทธิพลเมือง (ICCPR) ระบุว่า “บรรดารัฐภาคีแห่งกติกาฉบับนี้รับที่จะประกันสิทธิเท่าเทียมกันระหว่างชายและหญิง ให้มีสิทธิทั้งปวงทางแพ่งและทางการเมืองดังที่ได้ระบุไว้ในกติกาฉบับนี้”
เมื่อเป็นดังนี้ รัฐภาคีจะกระทำการใดๆ หรือไม่ระงับการกระทำใดๆ ที่อาจก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันระหว่างชายหญิงในกรณีของสิทธิทางแพ่งและทางการเมืองไม่ได้ ตัวอย่างง่ายๆ เช่น รัฐภาคีจะเลือกให้สิทธิชาย แต่ไม่ให้สิทธิหญิงในการไปออกเสียงเลือกตั้งไม่ได้ เป็นต้น
รัฐยังต้องพิจารณาดูว่า มีกฎหมายหรือระเบียบปฏิบัติใดๆ ในประเทศของตน ที่ขัดกับสนธิสัญญานี้หรือไม่อีกด้วย หากมีอยู่ รัฐภาคีจะต้องแก้ไขกฎหมายหรือระเบียบนั้นๆ ให้เหมาะสม การปฏิบัติเช่นนี้เรียกว่า Respect หรือการเคารพในสิทธิอันพึงมีพึงได้ของประชาชน นอกจากนี้ยังหมายถึงการที่รัฐต้องไม่ทำการใดๆ อันเป็นการแสดงออกถึงการไม่เคารพในสิทธิของประชาชน
ในกรณีของประเทศไทยที่น่าจะเห็นได้ชัดเจนว่ารัฐได้แสดงพฤติกรรมดังกล่าว คือ กรณีการฆ่าตัดตอน ยาเสพติด เจ้าหน้าที่รัฐได้กระทำการอันเป็นการขัดต่อการเคารพสิทธิในการมีชีวิตของประชาชน แต่รัฐมิได้กระทำการใดๆ เพื่อหยุดยั้งการกระทำอันขัดต่อการเคารพสิทธิมนุษยชนนี้
นอกจากนี้ยังมีกรณีที่อาจคล้ายคลึงกันในหลายๆ ประเทศทั่วโลก เช่น การลงโทษประหารชีวิต นี่ก็นับได้ว่าเป็นการขัดต่อหลักสิทธิการมีชีวิตเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ รัฐภาคียังต้องปฏิบัติหน้าที่อีกสองประการ คือ Protect และ Fulfil หรือ ปกป้อง และ ทำให้บรรลุผล
การปกป้องนั้น โดยรวมๆ คือการที่รัฐต้องระแวดระวัง สอดส่องมิให้ใครละเมิดสิทธิของประชาชน โดยทั่วๆ ไปคนที่อาจละเมิดสิทธิก็คือ บรรดานักลงทุน โดยมากการลงทุนย่อมหวังผลกำไรสูง สิ่งที่สามารถลดต้นทุนได้ก็คือ การลดค่าแรง ลดการบริการและดูแลแรงงานของตน หรือแม้แต่การหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบต่อผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุน
รัฐต้องเข้ามาดูแลในเรื่องนี้เพื่อมิให้ประชาชนและประเทศชาติต้องถูกนักลงทุนละเมิดสิทธิอันพึงมีพึงได้ บางคนอาจสงสัยว่าความไม่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมเกี่ยวข้องอะไรกับสิทธิของประชาชน เราต้องเข้าใจว่า สิทธิในการมีชีวิตของมนุษย์ มิได้หมายความแคบๆ แค่เพียงการมีลมหายใจอยู่เท่านั้น แต่ต้องสามารถผูกโยงไปถึงสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้ชีวิตดำรงอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีได้เช่นเดียวกัน เมื่อเป็นดังนี้ หากสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสีย อากาศเสีย ดินเสีย ป่าไม้หมดไป ฯลฯ ก็ย่อมกระทบต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์ และเกี่ยวข้องกับสิทธิทั้งสิ้น
การทำให้บรรลุผล ก็หมายความว่า หากสิทธิใดๆ ที่กำหนดไว้ในสนธิสัญญายังไม่ได้รับการนำไปสู่การปฏิบัติให้เป็นจริงในสังคม รัฐก็ต้องพยายามที่จะริเริ่มให้เกิดขึ้น เช่น สิทธิการเป็นพลเมืองไทยหรือการได้รับการศึกษาของบรรดากลุ่มชาติพันธุ์ที่พำนักในประเทศมาเป็นเวลานาน เป็นต้น
ดังนั้น หากประชาชนของประเทศนั้นๆ มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในหลักสิทธิมนุษยชน ก็ย่อมเกิดเป็นพลัง พลังที่สามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ในระดับชุมชน เพื่อควบคุมดูแลให้รัฐแก้ไขกฎหมายและหยุดกระทำการอันเป็นการขัดต่อสิทธิของประชาชน
|
ควรนะนำให้ดีกว่าน้ เขียนโดย เอฟ เปิด 2009-08-14 09:28:20
| เขียนโดย เปิด 2008-06-11 21:10:50 ดี |
Powered by AkoComment 2.0! |