บทความล่าสุด |
---|
ปฏิรูปการเมือง กับ การมีส่วนร่วมของภาคประชาชน กองบรรณาธิการ เรียบเรียง |
Tuesday, 22 August 2006 | |||||
|
๑. ระบอบทักษิณ... ยักยอกรัฐธรรมนูญ ยึดครองระบอบประชาธิปไตย
๒. ระบอบทักษิณ... หลงใหลทุนนิยมใหม่ จนลืมประเทศชาติ ๓. ระบอบทักษิณ... โกงกินชาติ บ้านเมือง ๔. ระบอบทักษิณ... ทำให้บ้านเมืองสิ้นความสงบสุข |
ศาสตราจารย์นายแพทย์ประเวศ วะสี ๓ บอกไว้ว่า “คุณูปการของ "ระบอบทักษิณ" คือ ทำให้คนไทยตื่นตัวครั้งใหญ่อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน คนไทยจำนวนแสน จำนวนล้าน ได้เรียนรู้เรื่องระบบการเมือง เรื่องคอร์รัปชัน เรื่องขายรัฐวิสาหกิจ เรื่องขายหุ้นให้ต่างชาติ ฯลฯ จึงเป็นความตื่นตัวทางศีลธรรมจริยธรรมของ ภาคประชาชน และถือเป็นการสร้างทุนทางจิตสำนึก ทุนทางสังคม และทุนทางปัญญาอย่างมหาศาล ซึ่งการเมืองภาคประชาชนจะต้องทำให้ทุนเหล่านี้เพิ่มพูนขึ้นอย่างต่อเนื่อง”
ผู้มีความห่วงใยต่อบ้านเมืองต่างล้วนหวั่นเกรงพิษภัยของระบอบทักษิณซึ่งเริ่มแพร่กระจายไปทุกหย่อมหญ้า และรังแต่จะยิ่งสร้างความแตกแยกระหว่างผู้คนในสังคมไทยดังที่ปรากฏในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา แม้กระทั่งบัดนี้ เสียงเรียกร้องจากสังคมให้ปฏิรูปการเมืองเพื่อแก้ไขปัญหาอันเกิดจากการใช้ข้อได้เปรียบทางการเมือง ทำลายเนื้อหาสาระของประชาธิปไตยและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ และปิดกั้นการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน รวมถึงปัญหาภาวะวิกฤติจริยธรรมของผู้นำรัฐบาล จึงดังขึ้นอย่างที่รัฐไม่อาจเพิกเฉยได้ แต่ทว่าแม้รัฐบาลพรรคไทยรักไทยจะแสดงตัวเป็นเจ้าภาพเดินหน้าปฏิรูปการเมืองและแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยระบุว่าจะมีคนกลางมาดำเนินการในเรื่องนี้ให้แล้วเสร็จภายในเวลา ๑ ปีเศษ ก็ตาม แต่เสียงจากภาคสังคมยังไม่ยอมรับและไม่ไว้วางใจด้วยเห็นว่ารัฐยังคงกุมกลไกและอำนาจต่างๆ ไว้ในมือ จึงเป็นเรื่องยากที่การปฏิรูปการเมืองและแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งใหม่นี้จะปราศจากการแทรกแซงใดๆ
ด้วยเหตุนี้จึงมีการรวมตัวกันครั้งใหญ่ของภาคประชาชนเพื่อร่วมกันผลักดันให้มีการปฏิรูปการเมืองที่ประชาชนจากทุกภาคส่วนได้เข้ามามีส่วนร่วมเสนอแนะ กำหนดแนวทาง และจังหวะก้าวในการเคลื่อนไหวปฏิรูปการเมืองให้เป็นไปอย่างเข้มแข็งและมีพลัง จนกระทั่งสามารถจัดตั้งเป็นเครือข่ายองค์กรประชาชนเพื่อการปฏิรูปการเมืองและสังคม ๒๖ เครือข่าย ซึ่งประกอบด้วย เครือข่ายนักวิชาการ อาทิ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน เครือข่ายสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมือง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อประชาธิปไตย ฯลฯ เครือข่ายองค์กรภาคประชาชนและองค์กรพัฒนาเอกชน อาทิ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คณะกรรมการประสาน งานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอดส์/HIVประเทศไทย สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ สหพันธ์องค์กรผู้บริโภค เครือข่ายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เครือข่ายนักธุรกิจเพื่อสังคม เครือข่ายสลัมสี่ภาค สมัชชาคนจน กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch) สมาพันธ์ประมงพื้นบ้านภาคใต้ ศูนย์ประสานงานนักเรียนนิสิตนักศึกษา ฯลฯ เป็นต้น
สำหรับการปฏิรูปการเมืองที่ภาคประชาชนมุ่งหวังนั้นก็คือ ต้องการให้เกิดการเมืองที่มีหลักคุณธรรมและจริยธรรมเป็นจุดขับเคลื่อน ไม่ใช่เพียงการแก้ไขรัฐธรรมนูญเท่านั้น แต่เป้าหมายหลักต้องอยู่ที่การสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคมไทย และตอบสนองต่อปัญหาของประชาชน ต้องให้อำนาจแก่ประชาชนในการเข้าถึงและใช้อำนาจได้อย่างเท่าเทียม ต้องสร้างกระบวนการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐที่มีประสิทธิภาพโดยสังคม๔ ต้องมุ่งสร้างความเข้มแข็งของการเมืองภาคประชาชนอันเป็นรากฐานสำคัญยิ่งในการพัฒนาระบอบประชาธิปไตย เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิเสรีภาพ บทบาทหน้าที่ในการร่วมพัฒนาบ้านเมือง และตรวจสอบถ่วงดุลการเมืองในระบบรัฐสภาและระบบพรรคการเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้การปฏิรูปการเมืองจะต้องปฏิรูปสังคมไปพร้อมๆ กันด้วย โดยจะต้องครอบคลุมประเด็นที่เป็นปัญหาหลักของสังคมไทย ได้แก่ การจัดการทรัพยากรดิน น้ำ ป่า พลังงาน ความหลากหลายทางชีวภาพ การสร้างความเป็นธรรมในระบบเศรษฐกิจ การกำหนดนโยบายสาธารณะขั้นพื้นฐาน ปฏิรูปสื่อสาธารณะ กระจายอำนาจการปกครองสู่ท้องถิ่นและชุมชน ที่สำคัญการปฏิรูปการเมืองต้องนำไปสู่การแก้ไขปัญหาความยากจนของประชาชนในระดับรากหญ้า ความยั่งยืนของฐานทรัพยากร หลุดพ้นจากโครงสร้างความขัดแย้ง คุ้มครองสิทธิชุมชนและสิทธิมนุษยชนในมิติต่างๆ และเพื่อการพัฒนาประเทศอย่างมั่นคงและยั่งยืน ๕
ธงปฏิรูปการเมืองครั้งใหม่โดยภาคประชาชนจึงถูกนำมาออกมาปักเคียงคู่ไปกับธงปฏิรูปฯ ของภาครัฐ เพื่อนำข้อเสนอและประเด็นต่างๆ ที่เป็นเสียงและความต้องการของประชาชนจากทุกภาคส่วนเพื่อให้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ดังมาตรา ๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กำหนดไว้ว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย” ได้อย่างแท้จริง
หลากหลายข้อเสนอต่อการปฏิรูปการเมืองรอบสอง
พระไพศาล วิสาโล เจ้าอาวาสวัดป่ามหาวัน จ.ชัยภูมิ : การปฏิรูปการเมืองอย่าจำกัดเฉพาะคำว่า คนดี ระบบดีเท่านั้นแต่ต้องทำไปพร้อมกันทั้งสามเส้า คือ การเขียนกฎหมายที่ดี สร้างสังคมที่ดีงาม และการทำให้คนในสังคมมีคุณธรรม จริยธรรมและเป็นคนที่มีคุณภาพ สามารถตรวจสอบระบอบการเมืองไม่ให้คนชั่วมีโอกาสเข้ามาทำให้ระบอบการเมืองที่ดีอยู่แล้วนั้นเสียหาย นั่นคือต้องกระจายอำนาจลงสู่ภาคประชาชนมากขึ้นและต้องทำอย่างจริงใจมากกว่าที่ผ่านมา ด้านการศึกษาต้องส่งเสริมให้เกิดการสร้างสังคมที่ดีงาม สื่อต่างๆ ต้องสร้างวัฒนธรรมในการตรวจสอบระบบการเมือง ทำอย่างไรให้กลไกมันเดินไปได้ด้วยดี
อ.จอน อึ้งภากรณ์ รักษาการณ์สมาชิกวุฒิสภา กทม. : ภารกิจในการปฏิรูปการเมือง เรื่องแรก กลไกการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจ อันนี้อาจจะเน้นที่รัฐธรรมนูญก็ได้ เป็นเรื่องของการคิดใหม่ในเรื่ององค์กรอิสระ เพราะว่าทำไมองค์กรอิสระใน รัฐธรรมนูญปี ๔๐ คิดว่ามันจะอิสระ แต่จริงๆ แล้วไม่อิสระเลย วุฒิสภาก็ไม่อิสระ องค์กร กกต. ศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ตรวจการแผ่นดินก็ไม่อิสระ ถูกแทรกแซงหมด และก็เลวร้ายทั้งหมด เพราะฉะนั้นก็ต้องคิดใมห่เรื่องระบบการตรวจสอบถ่วงดุลกันไม่ให้มีอำนาจ เรื่องที่สอง การมีส่วนร่วมของประชาชนหรือการที่ประชาชนมีสิทธิและอำนาจของชุมชน ต้องพัฒนาให้ได้ และการมีส่วนร่วมก็คือ การเมืองของภาคประชาชน การตรวจสอบนโยบายต่างๆ การมีสิทธิมีเสียงของชุมชนที่จะบอกว่าโครงการอะไรที่จะให้ทำหรือไม่ให้ทำในชุมชน สิ่งเหล่านี้ต้องทำให้เป็นจริง เรื่องที่สาม การสร้างสังคมให้เป็นธรรม คือ การปฏิรูประบบเศรษฐกิจ การนำระบบการเก็บภาษีก้าวหน้าในลักษณะที่จะนำระบบสวัสดิการสังคมหรือรัฐสวัสดิการ ทุกคนต้องเข้าถึงระบบการศึกษาได้ ทุกคนเข้าถึงการรักษาพยาบาล การดูแลสุขภาพได้จริงจัง ต้องมีความมั่นคงในชีวิตในที่ดินต้องปฏิรูปที่ดิน ๖
ทิชา ณ นคร เครือข่ายผู้หญิงกับรัฐธรรมนูญ : สิ่งที่องค์กรผู้หญิงอยากเห็นภายใต้การปฏิรูปการเมืองก็คือ ความเสมอภาคในกฎหมายและความเสมอภาคในทางโอกาส การเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งความแตกต่างที่รัฐธรรมนูญมาตรา ๓๐ วรรค ๓ ๗ บอกเอาไว้ปรากฏอยู่ เพราะว่าเรื่องนี้เป็นรากเหง้าเป็นปัญหาเชิงทัศนคติ และการปฏิรูปการเมืองในมิติทางการศึกษา จะต้องไม่ลืมเนื้อหาของหลักสูตรการศึกษาที่จะต้องตอบโจทย์สังคมไทยได้บ้าง เพื่อที่จะให้เด็กไทยได้วิเคราะห์วิจารณ์ ได้สังเคราะห์ ได้ทำอะไรก็แล้วแต่ที่มันเป็นต้นทุนที่จะนำมาสู่ เป็นประชาชนผู้ไม่พ่ายแพ้ง่าย ๘
อ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.เชียงใหม่ : ข้อที่หนึ่ง การปฏิรูปการเมืองต้องไม่ใช่การปฏิรูปการเมืองโดยคนชั้นนำ ต้องเป็นกระบวนการการมีส่วนร่วมโดยคนในสังคม โดยองค์กรกลุ่มต่างๆ มากมายอย่างกว้างขวาง ข้อที่สอง เนื้อหาที่จะเข้าไปต้องไม่เน้นเฉพาะการปฏิรูปการเมืองของนักการเมือง ตอนนี้ถ้าพูดถึงการปฏิรูปการเมืองชอบพูดถึง การปลดล็อค ๕๐ วัน ส.ส.ต้องลงสมัครได้โดยไม่สังกัดพรรคการเมือง ๙๐ วัน แบบนี้มันเป็นการปฏิรูปด้วยชนชั้นนำและนักการเมือง สิ่งสำคัญคือ จะทำอย่างไรให้สังคมมีพลังในการกำกับรัฐ เช่น หนึ่งแสนชื่ออภิปรายนายกฯ ได้ หรือการกำหนดนโยบายสำคัญของรัฐต้องผ่านประชามติ ๙
ดร.ฉลาดชาย รมิตานนท์ อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ ม.เชียงใหม่ : ประเด็นปฏิรูปการเมืองนั้น ผมคิดว่าการปฏิรูปการเมืองต้องลึกซึ้ง ละเอียด มองกลับไปที่ปัญหารากเหง้า ไม่ใช่มองแค่มาตรา ๓๑๓ ที่ทักษิณเสนอว่าหากจะปฏิรูปการเมืองต้องปลดล็อคมาตรา ๓๑๓ ก่อน ซึ่งผมมองว่ามันตื้นเกินไป ระบบในที่นี้ผมอยากให้มองว่าเราต้องการสร้างสังคมแบบไหน สร้างชีวิตแบบไหนให้ประชาชน เราต้องการสังคมที่มั่งคั่งร่ำรวยแต่ขณะเดียวกันก็มีความเป็นธรรม ไม่สร้างปัญหาช่องว่างระหว่างชนชั้นคนรวยคนจนที่ห่างออกไปเรื่อยๆ ไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เราต้องการสังคมที่ยังมีศีลธรรมจริยธรรม ไม่ถูกครอบงำด้วยผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว เราต้องการสังคมที่เคารพในสิทธิมนุษยชน มันต้องคิดให้ลึกถึงระดับนี้ ไม่ใช่คิดเพียงว่าจะปลดล็อคการเมืองโดยปรับแก้มาตราใดมาตราหนึ่งเท่านั้น ๑๐
นายคำเดื่อง ภาษี ปราชญ์ชาวบ้าน จ.บุรีรัมย์ : การเขียนรัฐธรรมนูญต้องเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้เสียทุกสาขาอาชีพเข้ามาระดมความคิดเห็น อย่าบอกว่า พระไม่เกี่ยวกับการเมือง ถือว่าทุกคนที่เป็นคนไทยเกี่ยวข้องหมด ไม่ว่าเด็ก คนพิการ ต้องมีส่วนร่วม และอย่าไปยึดติดว่าคนร่างรัฐธรรมนูญต้อง ๙๙ หรือ ๑๐๐ คน เอามาเป็น ๕๐๐ เป็น ๑,๐๐๐ คนมาช่วยกัน เวลาในการร่างก็อย่าจำกัดแค่ ๑ – ๒ ปี ต้องร่างกันยาวๆ เฉพาะหน้าอาจร่างฉบับบังคับใช้ชั่วคราวก่อน ส่วนฉบับจริงอาจจะต้องใช้เวลาร่าง ๘ - ๑๐ ปี ก็ต้องทำเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด ให้เป็นรัฐธรรมนูญสายพันธุ์ไทยแท้ๆ อย่าไปคิดว่าต้องเอาตัวอย่างจากอเมริกาเท่านั้นถึงจะถือว่าเป็นที่สุดของโลก แต่เราต้องร่างของเราขึ้นมาให้เป็นที่สุดของโลก ใครไม่เอากับเราก็ช่างเขา ขอให้เป็นความภูมิใจของเราเอง ๑๑
.......................................................................
ข้อเสนอการปฏิรูปการเมือง ของ สมัชชาคนจน
“สร้างประชาธิปไตยที่กินได้ การเมืองที่เห็นหัวคนจน” ๑๒
เป้าหมายและหัวใจสำคัญต่อการปฏิรูปการเมือง
๑. ต้องเอาความจริง ความยุติธรรม และจารีตประเพณีเป็นที่ตั้ง และสำคัญกว่ากฎหมาย
๒. ประชาชนต้องกำหนดอนาคตตนเอง ต้องพึ่งตนเอง และเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองนำเสนอ
๓. กฎหมายที่เกิดขึ้นต้องเป็นกฎหมายที่รับใช้ประชาชนอย่างแท้จริง
๔. รัฐธรรมนูญต้องมีชีวิต มีจิตวิญญาณ กินได้ และจับต้องได้
...................................................................................
เครือข่ายสลัม ๔ ภาค และเครือข่ายการปฏิรูปที่ดิน ๑๓
ที่ดินทางการเกษตรถูกรุกโดยอุตสาหกรรม เกษตรล่มสลายแล้วเข้ามาอยู่ในเมือง แออัดในสลัมซึ่งเป็นที่ดินรัฐ การเข้าถึงที่ดินเป็นองค์ประกอบสำคัญของความมั่นคงทางอาหารและวัฒนธรรม ศักดิ์ศรีของชุมชน
-
การกำหนดนโยบายสาธารณะ (เช่น การแปรรูป , FTA , การประกาศสงคราม) ที่ส่งผลต่อคนทั้งประเทศต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมโดยผ่านประชามติ
-
การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ รัฐบาลต้องดูแลสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน จะขายออกไปไม่ได้
-
การกำหนดนโยบายสาธารณะ โครงการขนาดใหญ่ที่มีผลกระทบต่อประชาชน ต้องทำประชาพิจารณ์ และสอบถามประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ไม่ใช่การแจ้งให้ทราบ
-
การตรวจสอบ การถอดถอน ส.ว. ส.ส. ผ่าน ปปช. ให้มีการตรวจสอบหลายๆ ช่องทาง ประชาชนสามารถยื่นต่อศาลฎีกา แผนกคดีอาญาทางการเมืองได้
-
การเปิดอภิปรายนายกฯ ในสภาให้ลดจำนวน ส.ส.ลงเหลือ ๑ ใน ๕ ของสภาผู้แทนราษฎร
-
กระจายการถือครองที่ดิน เก็บภาษีอัตราก้าวหน้าในพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ จัดสรรพื้นที่เหล่านี้ให้คนจนได้มีที่อยู่อาศัยอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับวิถีชีวิต ไม่ใช่ไร่รื้อ
-
การศึกษา การศึกษาฟรี ๑๒ ปี ที่ไม่เสียค่าเทอม แต่กลับมีรายจ่ายอื่นแฝงซึ่งมากกว่าค่าเทอม รัฐต้องสนับสนุนการศึกษาจนถึงระดับอุดมศึกษา
-
รัฐวิสาหกิจพื้นฐานที่จำเป็น ต้องไม่ขาย / แปรรูป ให้เอกชนดำเนินการ
..........................................................................
ข้อเสนอการปฏิรูปการเมืองภาคประชาชนกับการแก้ไขปัญหาความยากจน
เชิงโครงสร้าง เศรษฐกิจ สังคม การเมือง
(ข้อเสนอจากกลุ่ม ๒ ประกอบด้วย สมาพันธ์ประมงพื้นบ้านภาคใต้, เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย, เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก, กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน, เครือข่ายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ฯลฯ) ๑๔
แนวคิดการปฏิรูปการเมืองภาคประชาชน
-
เป็นขบวนการสร้างการเรียนรู้และสร้างอำนาจของภาคประชาชน ลดอำนาจรัฐและนำไปสู่การกำหนดอนาคตของตัวเอง การปฏิรูปการเมืองจะต้องมีการปฏิรูปกฎหมายควบคู่กันไปด้วย เพราะกฎหมายหลายๆ ส่วนเป็นปัญหาและทำให้ภาคประชาชนไม่สามารถเข้าถึง หรือสร้างความเป็นธรรมให้กับสังคมได้ เช่น กฎหมาย ๑๑ ฉบับ, กฎหมายลูกภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ
-
สร้างความสมานฉันท์ของคนในสังคมท่ามกลางความขัดแย้งที่เกิดขึ้น แนวทางปฏิรูปการเมืองที่จะนำไปสู่การสร้างความสมานฉันท์ สร้างสังคมที่ดีร่วมกัน และอยู่บนฐานของจารีตและวัฒนธรรมของชุมชน
แนวทางการแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงโครงสร้าง
-
สิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน ต้องคำนึงถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรม ชาติพันธุ์ รวมถึงความหลากหลายทางภูมิประเทศในแต่ละพื้นที่
-
สิทธิในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ดิน น้ำ ป่า ชายฝั่งทะเล และทรัพยากรชีวภาพ
-
สิทธิและอำนาจของประชาชนในการมีส่วนร่วมพิจารณา และตัดสินใจต่อโครงการขนาดใหญ่ ตามนโยบายของรัฐ อาทิ ข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศ (FTA / WTO) หรือการกำหนดพื้นที่ใดๆ เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ เป็นต้น
-
สิทธิและการมีส่วนร่วมของชุมชนในท้องถิ่น ต่อกรณีการจัดการศึกษาทางเลือก และกระบวนการในการสรรหาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
-
สิทธิในที่อยู่อาศัย กรณีขอบเขตและกรรมสิทธิ์ของกลุ่มชุมชนแออัด ต้องแก้ไข พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร ปี ๒๕๔๒ ในมาตราที่เกี่ยวข้องกับการเว้นวรรคพื้นที่ / เว้นที่ว่าง
-
การปฏิรูปสื่อ ให้มีความอิสระในการนำเสนอ และให้กระจายไปสู่ท้องถิ่นได้อย่างทั่วถึงจริง เพื่อเป็นกลไกกลางในการสร้างกระบวนการเรียนรู้ร่วมของคนในสังคม
-
สิทธิของผู้บริโภค ในมาตรา ๕๗ และกฎหมายลูกที่เกี่ยวข้องกับองค์กรอิสระ ที่ควรแก้ไขให้มีความเป็นอิสระจริง ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมโดย สคบ.
-
การตรวจสอบอำนาจรัฐ และการถ่วงดุลอำนาจ
-
การจำกัดคุณวุฒิของผู้ลงสมัคร ส.ส. และ ส.ว. ควรแก้ไขระเบียบการกำหนดวุฒิการศึกษาขั้นต่ำปริญญาตรี ด้วยเป็นการกีดกันประชาชนกลุ่มต่างๆ ผู้ไม่ได้รับหรือด้อยโอกาสทางการศึกษาในทางอ้อม เสนอให้ระบุเรื่องคุณสมบัติเป็นเกณฑ์ในการรับสมัคร เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกภาคแรงงานเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น
-
การระบุคุณสมบัติ หรือเกณฑ์ในการวัดจริยธรรมของนักการเมือง
-
การพัฒนาการรับรู้ทางการเมืองของประชาชน เช่น การสร้างองค์ความรู้เฉพาะ สนับสนุนการสร้างโรงเรียนการเมือง รวมถึงการสร้างกลไกการเรียนรู้ผ่านระบบสื่อพร้อม
-
กลไกการดำเนินงาน และกระบวนการสรรหาองค์กรอิสระ ต้องมีภาคประชาชนเข้าร่วมเป็นหนึ่งในองค์ประกอบ และองค์กรอิสระนี้ต้องมีความเป็นอิสระอย่างแท้จริง
-
การสร้างโอกาส หรือช่องทางในการผลักดันให้กลุ่มเยาวชนเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง
-
กระบวนการสรรหาตัวแทนในระบบการเลือกตั้ง ชุมชนและประชาชนควรเป็นผู้กำหนดและตัดสินใจร่วมว่า ภาครัฐควรดำเนินการจัดเลือกตั้งหรือไม่
-
การบริหารราชการแผ่นดิน ทีมผู้บริหารประเทศต้องให้ความสำคัญกับการกระจายอำนาจ และการใช้อุดมคติในการบริหารงานมากกว่าการยึดมั่นแบบฉบับ CEO
แนวทาง และจังหวะก้าวในการดำเนินงานในอนาคต
หลักการทำงาน
กระบวนการปฏิรูปจะต้องสร้างการเรียนรู้ในมิติทางการเมืองภาคประชาชน และต้องสร้างกระบวน การมีส่วนร่วมจากประชาชนที่เป็นรากหญ้า หรือจากฐานของชุมชนอย่างแท้จริง
กระบวนการ
๑. การสร้างกลุ่ม / สร้างทีม เพื่อเสริมการเรียนรู้ การเติมเต็มข้อมูลในระดับพื้นที่ โดย จัดกลุ่ม จัดเวที เพื่อรณรงค์ข้อมูล การวิเคราะห์ภาพรวม และลงรายละเอียดในแต่ละประเด็น ซึ่งประกอบด้วย ผลกระทบของประชาชนจากระบอบทักษิณ การใช้ช่องว่างของตัวกฎหมาย หรือรัฐธรรมนูญ ในการตักตวงผลประโยชน์ของกลุ่มนักการเมือง กลุ่มนายทุน หรือกลุ่มเครือญาตินักการเมือง การเมืองของชุมชน หรือประชาธิปไตยของชุมชนกับประสบการณ์ที่ผ่านมา และนำไปสู่การวิเคราะห์ภาพกว้างขึ้น การแลกเปลี่ยนประเด็น และดึงเป็นข้อเสนอร่วม
๒. รวบรวม และประมวลข้อเสนอจากชุมชน / รากหญ้า
กลไกในการดำเนินงาน
๑. กลไกระดับจังหวัด : มีบทบาทในการเชื่อมประสานกลุ่ม เครือข่ายภาคประชาชน และพันธมิตรในจังหวัด เพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และระดมข้อเสนอในภาพรวม ทั้งนี้ ระบุสร้างข่ายประเด็นต่างๆ ด้วย เช่น แรงาน เกษตร หรือ สลัม เป็นต้น
๒. กลไกระดับพื้นที่ : การรณรงค์ความรู้ และข้อมูลให้เข้าถึงกลุ่มรากหญ้า
๓. กลไกระดับภาค และส่วนกลาง : สนับสนุนข้อมูล องค์ความรู้ วิทยากร และเป็นตัวเชื่อมประสานกลางในแต่ละส่วน
....................................................................................
นโยบายพรรคการเมืองต่างๆ ต่อการปฏิรูปการเมือง ๑๕
พรรคไทยรักไทย
ข้อเสนอของ "โภคิน พลกุล" รองหัวหน้าพรรค เริ่มจากแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา ๓๑๓ เพื่อให้คณะบุคคลที่เป็นกลางและมาจากทุกภาคส่วนของสังคม รวม ๑๒๐ คน ใช้ชื่อว่า "สภาปฏิรูปการเมือง" เข้ามาทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ประชาชนลงประชามติ เมื่อเสร็จแล้วก็ให้สภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงภายใน ๓๐ วัน แล้วเลือกตั้งใหม่ ทั้งหมดนี้ใช้เวลา ๑ ปี
พรรคประชาธิปัตย์
เสนอแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา ๓๑๓ เช่นกัน เพื่อให้บุคคลที่มีความเป็นกลางทางการเมือง มีที่มาหลากหลาย และต้องมีส่วนร่วมจากประชาชน ยกร่างรัฐธรรมนูญ จากนั้นนำเข้าสู่รัฐสภา โดยสภาทำหน้าที่เห็นชอบหรือไม่เท่านั้น หากไม่เห็นชอบก็ให้ทำประชามติ ประเด็นที่ต้องการแก้ไขคือ การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ทั้งจากองค์กรอิสระ ฝ่ายนิติบัญญัติ และภาคประชาชน เรื่องคุณสมบัติผู้สมัครในเรื่องวุฒิการศึกษา เมื่อยกร่างเสร็จแล้วก็ยุบสภาแล้วให้เลือกตั้งใหม่
พรรคชาติไทย
เริ่มจากแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา ๓๑๓ เพื่อให้ประชาชนหรือคนกลางเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไข โดยจะแก้เรื่องการสรรหาองค์กรอิสระให้ปราศจากการแทรกแซง แก้ไขสัดส่วนบัญชีรายชื่อ จากอย่างน้อยร้อยละ ๕ เป็นร้อยละ ๑ ได้ ส.ส. ๑ ที่นั่ง คุณสมบัติผู้สมัคร และกระบวนการตรวจสอบฝ่ายบริหาร ซึ่ง "บรรหาร ศิลปอาชา" หัวหน้าพรรค บอกว่าใช้เวลา ๖ เดือน
พรรคมหาชน
แก้รัฐธรรมนูญ มาตรา ๓๑๓ ให้ประชาชนมีส่วนร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญ แก้ให้รัฐสภาต้องหยิบยกกฎหมายที่เสนอโดยประชาชนมาพิจารณา ลดจำนวน ส.ส. ให้สามารถตรวจสอบนายกรัฐมนตรีได้ง่ายขึ้น (จากเดิมใช้เสียง ๒๐๐ เสียงขึ้นไป) และให้มีองค์กรภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมเป็นคณะกรรมาธิการในสภาได้
มาตรา ๓๑๓ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจะกระทำได้ก็แต่โดยหลักเกณฑ์และวิธีการ ดังต่อไปนี้ ๑) ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมต้องมาจากคณะรัฐมนตรี หรือจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) มีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีของสภาฯ หรือจากสมาชิก ส.ส.และ ส.ว.จำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา ส.ส.จะเสนอหรือร่วมเสนอญัตติดังกล่าวได้เมื่อพรรคการเมืองที่ ส.ส.นั้นสังกัดมีมติให้เสนอได้ ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปของรัฐ จะเสนอมิได้ ...
๒ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวไว้ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๔๙ เมื่อมีการเรียกรัองให้ลาออกจากตำแหน่ง ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๔๙ ( น.ส.พ.กรุงเทพธุรกิจ วันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๔๙)
๓ บทความเรื่อง การเมืองภาคประชาชน กับภารกิจ ๘ ประการ โดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี จาก Manager Online วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๔๙
๔ แถลงการณ์ผ่าทางตัน เว้นวรรคทักษิณ ปฏิรูปการเมือง โดย มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนและนักวิชาการทั่วประเทศ จาก http://www.prachathai.com/ วันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๔๙
๕ แถลงการณ์เครือข่ายองค์กรภาคประชาชนเพื่อปฏิรูปการเมืองและสังคม ๒๖ เครือข่าย
๖ สัมมนาการปฏิรูปการเมืองไทย วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๔๙ ณ ห้องประชุม ๑๐๑ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
๗ การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรมหรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญจะกระทำมิได้
๘ สัมมนาการปฏิรูปการเมืองไทย วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๔๙ ณ ห้องประชุม ๑๐๑ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
๙ เวทีอภิปรายปฏิรูปการเมือง ๒๐ มีนาคม ๒๕๔๙ ณ อนุสรณ์สถาน ๑๔ ตุลา
๑๐ มองสังคมไทยหลังเลือกตั้ง จาก สำนักข่าวประชาธรรม
๑๑ มองสังคมไทยหลังเลือกตั้ง จาก สำนักข่าวประชาธรรม
๑๒ เอกสารประกอบ สัมมนาการปฏิรูปการเมืองไทย วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๔๙ ณ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
๑๓ ข้อเสนอเครือข่ายสลัม ๔ ภาค และเครือข่ายการปฏิรูปที่ดิน ในการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อการปฏิรูปการเมืองครั้งที่ ๒
๑๔ การประชุมเชิงปฏิบัติการ ข้อเสนอเพื่อการปฏิรูปการเมืองไทยครั้งที่ ๒ วันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๔๙ ณ ห้องประชุมเปรมปุรฉัตร สถาบันภาษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดโดยเครือข่ายองค์กรประชาชนเพื่อการปฏิรูปการเมืองและสังคม ๒๖ เครือข่าย และเครือข่ายนักวิชาการเพื่อประชาธิปไตย เครือข่ายสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมือง พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
๑๕ เทียบนโยบาย "ปฏิรูปการเมือง" จุดขาย" ของทุกพรรค จาก น.ส.พ.มติชนรายวัน วันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๔๙
ความคิดเห็น |
เขียนความคิดเห็น |
Powered by AkoComment 2.0!
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|