พระไพศาลแนะเปลี่ยนวิกฤตสึนามิให้เป็นโอกาส กระตุ้นจิตสำนึกและขับเคลื่อนสังคมไทยด้วยความดีงามในตัวมนุษย์ และชี้ว่ามนุษย์ควรลดอหังการ อ่อนน้อมถ่อมตน และเคารพธรรมชาติให้มากขึ้น
กรุงเทพฯ l ศูนย์การศึกษาต่อเนื่องด้านสังคม ร่วมกับคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อความยุติธรรมและสันติ จัดเสวนาเรื่อง
“สึนามิ : บทเรียนเรื่องสัญญาณแห่งกาลเวลา” ที่ศูนย์พัฒนาบุคลากรอัสสัมชัญ ซ.ทองหล่อ 25 เมื่อวันที่ 2 มีนาคม ที่ผ่านมา
คุณศิริวรรณ สันติสกุลธรรม ประธานองค์กร SIGNIS เอเชีย ผู้เสนอรายงานข่าวในเหตุการณ์
สึนามิถล่ม นำเสนอมุมมองผ่านภาพการช่วยเหลือของหน่วยงานคาทอลิก โดยกล่าวถึงประสบการณ์ในครั้งนี้ว่า หลังจากพบเห็นภาพความสูญเสีย ความเจ็บปวด และความโศกเศร้า ทำให้รู้สึกเศร้าสลดใจกับภาพที่พบเห็น เด็กและคนชราได้รับผลกระทบจากคลื่นยักษ์สึนามิอย่างน่าเศร้าใจ แม้กระทั่งทุกวันนี้ ผู้คนที่พักอยู่ในบ้านชั่วคราวยังคงมีบาดแผลทางจิตใจอยู่อีกมาก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องใช้ความรัก ความเข้าใจ และการอยู่เคียงข้างเท่านั้นที่จะทำให้พวกเขาดีขึ้นได้
“บทบาทของพระศาสนจักรคาทอลิกในการช่วยเหลือผู้ประสบภัย เน้นที่การช่วยเหลือทางจิตวิญญาณ มากกว่าการช่วยเหลือทางวัตถุ เพราะการบาดเจ็บทางจิตใจนั้นมีมากเกินกว่าการที่จะเอาเงินหรือวัตถุใดๆ มาเยียวยาได้ เหตุการณ์สึนามิสะท้อนในแง่หนึ่งว่ามนุษย์เอาแนวความคิดที่เป็นวัตถุหรือเงินตราเป็นตัวนำในชีวิต สิ่งเหล่านี้นำมนุษย์ไปสู่หายนะอย่างมากมาย เพราะฉะนั้น คำถามก็คือเราน่าจะพยายามสอนคนรุ่นหลังซึ่งเป็นลูกหลานของเราให้เข้าใจจริงๆ ว่าความสุขของชีวิตและคุณค่าชีวิตนั้นอยู่ที่ไหน” คุณศิริวรรณกล่าว
พระไพศาล วิสาโล เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต กล่าวว่า ปรากฏการณ์สึนามิไม่ได้เป็นการตอบโต้
หรือการแก้แค้นของธรรมชาติ หรือการลงโทษมนุษย์ เพราะสึนามิคือปรากฏการณ์ที่ธรรมชาติเพียงแค่จามหรือขยับตัวตามธรรมชาติมาหลายศตวรรษ แต่เป็นเพราะมนุษย์ได้เข้ามาอยู่อย่างผิดที่ผิดทาง ซึ่งเป็นผลพวงจากการพัฒนาที่เน้นในเรื่องเงินตราและทุนนิยมเป็นตัวตั้ง จึงทำให้สถานการณ์รุนแรงมากขึ้น เพราะทำให้ไม่มีการเตรียมตัว ไม่มีการป้องกันภัย และไม่มีสำนึกในด้านความปลอดภัย
“ปรากฏการณ์สึนามิที่เกิดขึ้น ถือเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของคนทั้งสังคม ถ้าจะเรียกก็คือ “กรรมร่วม” ซึ่งการที่พระสงฆ์อธิบายว่าเป็นเพียงกรรมของปัจเจกบุคคล ไม่สามารถจะอธิบายอะไรได้เท่าไหร่ แต่ที่เราปฏิเสธไม่ได้คือเป็น “กรรมร่วมของคนทั้งสังคม” โดยเฉพาะคนในสังคมไทย ที่เราไปเห็นดีเห็นงามไปกับกระแสการพัฒนาทางเศรษฐกิจ จนกระทั่งเราไปเบียดเบียนธรรมชาติ การที่เราไม่เคารพธรรมชาติ ซ้ำยังละเลย ไม่ใส่ใจคำเตือน เพียงเพราะกลัวว่าเม็ดเงินจะลดลง นี่คือความประมาท ความเลินเล่อ และความหลง เพราะเพลิดเพลินในเงินตรา ทำให้เราไม่เตรียมพร้อม และทำให้ภัยพิบัติจากสึนามิรุนแรงมากขึ้น อันนี้ถือเป็นกรรมร่วมของคนทั้งสังคม”
พระไพศาลกล่าวอีกว่า “ในขณะที่ตอนนี้เรากำลังเป็นห่วงเยาวชนว่า เป็นพวกช้อปไว ใช้แหลก แดกด่วน ที่จริงเยาวชนไทยมีความดีอยู่เยอะ มีน้ำใจมาก เราต้องใช้โอกาสนี้ดึงเยาวชนมาทำงานอาสาสมัครอย่างต่อเนื่อง กว้างขวาง และเป็นระบบ ซึ่งอาจจะทำให้สังคมไทยเคลื่อนไปสู่ยุคใหม่ เหมือนกับ 30 กว่าปีที่แล้วคือเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 ได้เปลี่ยนสังคมไทยและเปลี่ยนจิตสำนึกของคนไทย เราอาจจะไม่ต้องมี 14 ตุลา เหมือนในยุคนั้น แต่ถ้าเราใช้สึนามิเป็นจุดขับเคลื่อน ให้เป็นจุดคานดีดคาดงัดให้เกิดการเปลี่ยนจิตสำนึก ไม่แน่อาจจะเกิดความเปลี่ยนแปลงได้ไม่น้อยกว่าคนรุ่น 14 ตุลา เพราะสำหรับคนรุ่นใหม่ เขาอาจจะเปลี่ยนแปลงเพราะเหตุการณ์สึนามิก็เป็นได้” พระไพศาลกล่าว
ด้าน
คุณพ่อสมเกียรติ ตรีนิกร ผู้ช่วยพระสังฆราชฝ่ายบุคลาภิบาล อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ
กล่าวว่า เหตุการณ์สึนามิแท้ที่จริงเป็นกลไกทางธรรมชาติ เป็นรอยร้าวบนเปลือกโลกที่เคลื่อนตัวอยู่เสมอ และส่งผลกระทบต่อชีวิตมนุษย์เสมอมา มนุษย์นั้นเล็กมากเมื่อเทียบกับธรรมชาติ และมนุษย์ไม่สามารถที่จะทัดทานพลังของธรรมชาติได้ ซึ่งในพระคัมภีร์เผยตั้งแต่แรกว่ามนุษย์ไม่ได้ยิ่งใหญ่กว่าธรรมชาติ แต่สิ่งสำคัญคือมนุษย์สามารถใช้สรรพสิ่งด้วยความเคารพและรับผิดชอบ
“ปรากฏการณ์สึนามิ ทำให้ไตร่ตรองและคิดได้ว่า รอยร้าวบนผิวโลกอาจคาดการณ์ล่วงหน้าได้และเตือนภัยได้ แต่มีรอยร้าวอีกหลายชนิดที่คร่าชีวิตคนและซัดโถมยิ่งกว่าสึนามิ นั่นคือ ความแตกแยก สงคราม เศรษฐกิจที่เอารัดเอาเปรียบ ระบบเสรีนิยม ทุนนิยม ที่อาจจะมีรอยร้าวเข้าใส่กันและกัน และโถมซัดเข้าใส่ชีวิตมนุษย์ทุกวัน ที่สำคัญคือรอยร้าวประเภทหลังนี้เป็นเหตุการณ์ที่ควบคุมได้ รู้ก่อนได้ เจรจากันได้ รอยร้าวของสงคราม ความเกลียดชัง สามารถที่จะแก้ไขได้ แต่ทำไมมนุษย์เราไม่คิดจะแก้ไข เหตุการณ์สึนามิเป็นสัญญาณแห่งกาลเวลา ที่บอกกับมนุษย์ว่า ถึงเวลาแล้วที่มนุษยชาติจะต้องอ่านเครื่องหมาย อ่านชีวิตปัจจุบัน อ่านสภาพทางเศรษฐกิจ อ่านรอยแตกร้าวที่เกิดจากสงคราม รอยร้าวที่เกิดขึ้นในหมู่คณะ หรือในหน่วยย่อยอย่างสถาบันครอบครัว เราน่าจะตื่นตัวที่จะปกป้องชีวิตจากรอยร้าวที่เกิดขึ้นในอณูที่เล็กที่สุดของสังคม เพื่อความยุติธรรม เพื่อสันติสุข เพื่อจะไม่เกิดรอยร้าวและความแตกแยก ทำให้มีการสูญเสียมากกว่าภัยธรรมชาติ” คุณพ่อสมเกียรติกล่าว