บทความล่าสุด |
---|
คริสตศาสนิกชนกับประชาธิปไตย |
Thursday, 25 May 2006 | ||||
คริสตศาสนิกชนกับประชาธิปไตยโดยคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อความยุติธรรมและสันติ (ยส.) 1. ทำไมพระศาสนจักรต้องเกี่ยวข้องกับสังคมและการเมืองพระศาสนจักรกับการเมือง ก. การเมืองตามความหมายทั่วไปคือ การบริการรับใช้ “เมือง” อันได้แก่กลุ่มชนต่าง ๆ ที่อยู่รวมกันเป็นประชาคมพลเมือง เมื่อทุกคนต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่มและกลุ่มชนต่าง ๆ ก็ต้องอยู่กันเป็นประชาคมพลเมืองก็จำเป็นอยู่เองที่จะต้องมีการเมือง การเมืองเป็นผลสืบเนื่องมาจากธรรมชาติของมนุษย์ การรับใช้ประชาคมหรือพลเมืองหรือการเมืองนี้ ย่อมเป็นหน้าที่ของพลเมืองทุกคน เมื่อพระศาสนจักรคือ ประชากรของพระเจ้า ที่ยังอยู่ในสังคมมนุษย์ มีภาระหน้าที่นำแสงสว่างแห่งพระวรสารเข้าไปฉายในสังคมมนุษย์ “เพื่อส่งเสริมมนุษย์ให้ครบครันในทุกด้าน” ก็จำเป็นอยู่เองที่พระศาสนจักรต้องเกี่ยวข้องกับการเมืองด้วย ข. ในการสัมพันธ์กับการเมืองนั้น พระศาสนจักรก็ยอมรับว่า สังคมการเมืองมีเอกลักษณ์ของคนซึ่งพระศาสนจักรจะไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย ตราบใดที่ไม่มีการละเมิดศีลธรรม สิทธิมนุษยชนและความยุติธรรม“เมื่อพิจารณาหน้าที่และอำนาจของพระศาสนจักรแล้ว ไม่มีทางจะเอาพระศาสนจักรไปปนเปกับประชาคมการเมืองได้ เพราะพระศาสนจักรก็ไม่ผูกมัดตัวเองกับระบอบการเมืองใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะศาสนจักรเป็นทั้งเครื่องหมายและเครื่องคุ้มครองเกียรติอันสูงส่งของมนุษย์” “ประชาคมการเมืองและพระศาสนจักรไม่ขึ้นแก่กัน และปกครองตนเองในเรื่องที่เป็นของแต่ละฝ่ายโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายก็รับใช้มนุษย์คนเดียวกัน ทั้งในทางส่วนตัวและทางสังคม แม้ในฐานะที่ต่างกันไม่เหมือนกัน และถ้าทั้งสองฝ่ายหาทางร่วมมือกันตามกาลเทศะให้ดีขึ้นเพียงไร ทั้งสองก็จะทำการรับใช้ดังกล่าว เพื่อประโยชน์ของทุกคนได้ผลดีเพียงนั้นด้วย” (พระศาสนจักรในโลกสมัยนี้ ข้อ 76) ค. พระศาสนจักรให้คุณค่าของระบบประชาธิปไตยเท่าที่ระบบนั้นประกันการมีส่วนร่วมของพลเมืองในการเลือกทางการเมือง เมื่อระบบนั้นรับรองให้แก่ผู้ที่อยู่ภายใต้การปกครอง สามารถเลือกผู้ที่จะมาปกครองและรับผิดชอบต่อเขา และสามารถเปลี่ยนคณะผู้ปกครองด้วยสันติวิธีเมื่อถึงกาลเวลาที่เหมาะสม ดังนั้นพระศาสนจักรไม่สามารถสนับสนุนการจัดรูปแบบของกลุ่มการปกครองที่ใจคับแคบ ซึ่งนำอำนาจรัฐมาใช้เพื่อประโยชน์ตนหรือเพื่อเป้าหมายที่มีอุดมการณ์ ประชาธิปไตยที่แท้จริงเป็นไปได้เฉพาะในรัฐที่มีกฎหมายและตั้งยู่บนพื้นฐานของแนวคิดที่ถูกต้องเรื่องความเป็นบุคคลมนุษย์ จึงเรียกร้องให้มีเงื่อนไขที่จำเป็นบางประการสำหรับความก้าวหน้า ทั้งของบุคคลโดยการศึกษาและการอบรมในอุดมการณ์อันแท้จริง 2. ภาระหน้าที่ของพระศาสนจักรในทางการเมืองก. เรากำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งการฟื้นฟูโลก กำลังแสวงหาสังคมที่ดีกว่า ในการแสวงหาเช่นนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ “การส่งเสริมมนุษย์” หรือ “การพัฒนามนุษย์ในทุกด้าน” เป็นการส่งเสริมให้มนุษย์มีความเป็นอยู่อย่างมนุษย์ และให้อยู่กันเยี่ยงมนุษย์ ซึ่งในการนี้ย่อมหมายถึงการป้องกันและส่งเสริมศักดิ์ศรีมนุษย์และความยุติธรรม ในเรื่องเช่นนี้ และพระศาสนจักรถือเป็นภาระหน้าที่ของตน ที่จะเสนอตนเข้ารับดังข้อความในเอกสารสมณสาสน์การพัฒนาประชาชาติว่า “เมื่อพิจารณาปัญหาการพัฒนามนุษย์ในทุกด้าน โดยทุกแง่มุม ซึ่งเป็นปัญหาสังคมที่หนักอึ้งในปัจจุบัน พระศาสนจักรในฐานะเป็นผู้สันทัดเกี่ยวกับมนุษยชาติก็มีส่วนช่วยได้มากในทางนี้” “เยี่ยงพระคริสต์ พระศาสนจักรอยู่บนโลกนี้ เพื่อเป็นพยานยืนยันถึงความจริง พระศาสนจักรต้องการช่วยมนุษย์ให้รอด มิใช่ตัดสินลงโทษ อยากรับใช้มนุษย์ มิใช่ให้มนุษย์รับใช้ตน พระศาสนจักรได้รับการสถาปนาขึ้นมา เพื่อสร้างอาณาจักรสวรรค์บนโลกนี้ มิใช่ถูกตั้งมาเพื่อครอบครองโลก ขอบข่ายการดำเนินการของพระศาสนจักรจึงแตกต่างกันมากกับของทางรัฐบาลต่าง ๆ ในโลก” อย่างไรก็ดี พระศาสนจักรอยู่ในโลกนี้ ท่ามกลางมนุษย์ปัจจุบัน กำลังจับตาดูเหตุการณ์ต่าง ๆ ของโลกเพื่อรู้นิมิตหมายแห่งกาลเวลาแล้วพยายามให้ทุกคนเข้าใจความหมายของเหตุการณ์เหล่านี้ ตามหลักพระ คริสตวรสาร พระศาสนจักรมีส่วนร่วมกับมนุษย์ ในความหวังอันสูงสุดของพวกเขา รู้สึกระทมเมื่อเขาประสบความล้มเหลว สิ่งนั้นก็คือ ทัศนะอันกว้างใหญ่ไพศาลของมนุษย์แต่ละคนและของมนุษยชาติ” (พระสมณสาสน์ “การพัฒนาประชาชาติ” ข้อ 13) 3. บทบาทของคริสตชน เป็นต้นฆราวาส ในเรื่องสังคมและการเมือง ก. พลเมืองต้องมีความรักต่อปิตุภูมิอย่างซื่อสัตย์และด้วยจิตใจอันสูงส่ง ต้องไม่มีจิตใจคับแคบ หมายความว่าในขณะเดียวกันให้คำนึงถึงประโยชน์ของครอบครัวมนุษย์ทั้งมวล ซึ่งรวมกันเข้าชิดสนิทด้วยเครื่องผูกพันต่าง ๆ ระหว่างเชื้อชาติ ชนชาติ และประชาชนทั้งหลาย..... เกี่ยวกับเรื่องเลือกระบบจัดระเบียบกิจการ ต่าง ๆ ในโลกนี้คริสตชนต้องรับนับถือความคิดเห็นอันชอบของคนอื่นแม้จะขัดแย้งกัน และต้องเคารพพลเมืองที่รวมกันเป็นหมู่ ป้องกันทัศนะ ความคิดเห็นของเขาด้วยความสุจริตใจ ส่วนพรรคการเมืองต่าง ๆ นั้น มีหน้าที่ต้องส่งเสริมสิ่งที่เขาเห็นว่าจำเป็นต้องทำเพื่อสาธารณประโยชน์ แต่เขาจะถือประโยชน์ส่วนตัวสำคัญกว่าสาธารณประโยชน์ไม่ได้เป็นอันขาด (พระศาสนจักรในโลกสมัยนี้ ข้อ 75) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสังคมที่ยอมให้มีหลายพรรคหลายพวก เป็นการสำคัญมากที่เราจะต้องเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างประชาคมการเมืองกับพระศาสนจักรให้ถูกต้อง และต้องระมัดระวังแยกกิจการที่คริสตชนทำเป็นคน ๆ หรือเป็นหมู่ ๆ ในนามของเขาเองในฐานะเป็นพลเมืองตามมโนธรรมของเขา กับกิจการที่เขาทำในนามของพระศาสนจักรร่วมกับนายชุมพาบาลของเขา (พระศาสนจักรในโลกสมัยนี้ ข้อ 76) ข. คริสตชน เป็นต้นหนุ่มสาว ต้องสนใจรับการศึกษา อบรมหน้าที่พลเมืองและการเมือง การอบรมดังกล่าวนี้ ควรได้รับความเอาใจใส่ควบคุมอย่างกวดขัน เพื่อให้พลเมืองทุกคนมีส่วนร่วมในประชาคมการเมืองการเล่นการเมืองเป็นศิลปะที่ยาก แต่เป็นศิลปะมีเกียรติสูง ผู้ที่มีความสามารถหรืออาจมีความสามารถเล่นการเมืองต้องเตรียมตัวเองและตั้งใจเล่น โดยไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวและคิดหากำไรมิชอบ ต้องมีความฉลาดและมีความประพฤติดีในการต่อสู้กับความอยุติธรรมการกดขี่ต่อสู้ การไม่ยอมให้ผู้อื่นมีความคิดต่างกัน และการปกครองตามอำเภอใจคน ๆ เดียว หรือของพรรค ๆ เดียวต้องอุทิศตนทำประโยชน์แก่ส่วนรวมด้วยความจริงใจ และเที่ยงตรง ด้วยความรักและความกล้าหาญในทางการเมือง (พระศาสนจักรในโลกสมัยนี้ ข้อ 75 และออกตอเยสิมาอัดเวนีแอนด์ ข้อ 46) ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่า คริสตชนจะเล่นการเมืองได้ทุกชนิด การเมืองที่ล่วงเกินสิทธิมนุษยชนชั้นมูลฐาน เช่น ล่วงเกินเสรีภาพ ใช้ไม่ได้ หรือจะใช้เครื่องมือหรือวิธีที่มิใช่แบบพระวรสารสอน เช่น ความรุนแรงก็ใช้ไม่ได้ (การแพร่พระวรสารในโลกสมัยนี้ ข้อ 37) หรือจะเอาอุดมการณ์ที่ไม่เข้ากับหลักพระคริสตธรรมมาใช้ก็ไม่ได้เช่นกัน (ออกตอเยสิมาอัดเวนีแอนด์ ข้อ 26) ค. ฆราวาสในขณะที่ทำงานตามหน้าที่อยู่กับทางโลก ก็สามารถและจำต้องทำงานอันประเสริฐประกาศข่าวดีให้โลก ต้องเต็มใจให้ความร่วมมือในด้านเศรษฐกิจและสังคมแก่ชนชาติต่าง ๆ ที่กำลังพัฒนา การร่วมมือเช่นนี้เป็นสิ่งที่น่าชมเชย โลกจะได้อิ่มเอิบไปด้วยจิตตารมณ์ของพระคริสตเจ้า บรรลุถึงจุดหมายได้สำเร็จในความชอบธรรม ความรักและสันติสุข ฆราวาสต้องสวมบทบาทสำคัญในการทำหน้าที่นี้ทั้งหมด เขาจะต้องร่วมมืออย่างจริงจัง คือ มีการแบ่งปันอย่างเหมาะสม จะได้ช่วยนำความเจริญมาสู่ทุกคนโดยอิสระอย่างมนุษย์และอย่างคริสตชน ยิ่งกว่านั้น ให้ฆราวาสร่วมแรงกันแก้ไขขนบธรรมเนียมและสถานการณ์ของโลกซึ่งอาจเป็นเครื่องนำให้เกิดบาป สิ่งเหล่านี้จะได้สอดคล้องเข้ากับหลักการความยุติธรรม สนับสนุนการปฏิบัติความดีงาม แทนที่จะเป็นอุปสรรคขัดขวาง (พระศาสนจักร ข้อ 35, 36) 4. บทบาทของนักบวชและพระสงฆ์ในเรื่องสังคมและการเมือง ก. พระสงฆ์ได้รับการคัดเลือกจากมวลมนุษย์และแต่งตั้งขึ้นเพื่อมนุษย์ สำหรับทำสิ่งที่เกี่ยวกับพระเป็นเจ้าและถวายแต่พระองค์ ซึ่งของถวายกับเครื่องบูชาสำหรับบาป ดังนั้นพระสงฆ์จึงดำเนินชีวิตอยู่กับมนุษย์อื่น ๆ เหมือนกับอยู่กับพี่น้อง พระเยซูเจ้าก็ทรงปฏิบัติเช่นนี้ พระองค์ทรงประทับอยู่ท่ามกลางชาวเรา และพอพระทัยเป็นเหมือนเราทุกอย่างนอกจากไม่มีบาป พระสงฆ์แห่งพันธสัญญาใหม่เนื่องจากได้รับเรียกและได้รับศีลบวชเหมือนถูกเลือกให้มาอยู่ในหมู่ประชากรของพระเจ้า แต่ไม่ใช่สำหรับแยกไปเสียจากประชากรที่กล่าวนี้ หรือจากมนุษย์คนใดเลย หากสำหรับอุทิศตนอย่างสิ้นเชิงแก่กิจการที่พระเป็นเจ้าทรงเรียกมาให้ทำนั้น พระสงฆ์เป็นผู้รับใช้พระคริสต์เจ้าไม่ได้ ถ้าไม่เป็นพยานและผู้แจกจ่ายชีวิตอย่างอื่นนอกจากชีวิตฝ่ายโลก พระสงฆ์จะรับใช้มนุษย์ไม่ได้เช่นเดียวกัน ถ้าตนออกห่างจากชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน หน้าที่ยังเรียกร้องเป็นพิเศษมิให้พระสงฆ์ปฏิบัติตนตามอย่างในโลก แต่เรียกร้องให้พระสงฆ์ดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางมนุษย์ในโลกนี้กับให้ประพฤติเยี่ยงนายชุมพาบาลที่ดี (ชีวิตสงฆ์ ข้อ 3) พระสงฆ์ในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ประกาศข่าวดี และอภิบาลสัตบุรุษสืบต่อจากพระคริสตเจ้าในพระศาสสนจักร จึงมีหน้าที่สำคัญยิ่งขึ้น ในการทำพระภารกิจของพระคริสตเจ้าที่ได้ทรงมอบให้กับพระศาสนจักรไว้คือ การการประกาศข่าวดี พัฒนามนุษย์ช่วยกอบกู้มนุษย์ให้เป็นอิสระจากบาปโดยช่วยกันปฏิรูปมโนธรรมและชีวิตทั้งของตนเองและทุกคนร่วมทั้งเปลี่ยนแปลงโครงสร้างต่าง ๆ ที่ไม่ยุติธรรมดังกล่าวมาแล้วด้วย ทั้งนี้ ต้องเป็นไปในลักษณะพิเศษของนักบวช คือ เดินตามแบบฉบับของพระคริสตเจ้าตามจิตตารมณ์ของพระ และด้วยความเห็นชอบของผู้ใหญ่ในคณะของตน (ชีวิตนักบวช ข้อ 5)อย่าได้มีผู้ใดคิดเลยว่า เมื่อถวายตัวแด่พระแล้ว นักบวชจะเป็นคนเหินห่างจากเพื่อมนุษย์หรือเป็นพลเมืองที่ไร้ประโยชน์ สำหรับสังคมบนแผ่นดินนี้ ถึงแม้ว่าบางครั้งนักบวชไม่มาปะปนกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันโดยตรง กระนั้นนักบวชเหล่านี้ก็อยู่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับเขาในดวงใจของพระคริสตเจ้า และมุ่งไปหาพระองค์เพื่อมิให้ผู้สร้างสังคมเหล่านี้ทำงานไปโดยไร้ประโยชน์เสียเปล่า (พระศาสนจักรในโลกสมัยนี้ ข้อ 46)
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|