"SLAPP to SLAP" : ฝ่ายสิทธิมนุษยชน (ยส.) |
Monday, 20 November 2017 | ||||
"SLAPP to SLAP"
เจ้าหน้าที่ฝ่ายสิทธิมนุษยชน (ยส.) : เขียน
เมื่อการลงทุนต้องใช้เงินจำนวนมากและอาจนำมาซึ่งกำไรมหาศาลทำให้บริษัทก็ไม่อาจเดินถอยหลัง และชาวบ้านก็ยังยืนยันในเจตนารมณ์เดิมที่ต้องการรักษาทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ให้ยังคงความอุดมสมบูรณ์สืบต่อไปให้ลูกหลาน อันนำมาซึ่งความขัดแย้งที่ไม่อาจหาข้อสรุปได้ ทำให้เราเห็นวิธีการหนึ่งที่บริษัทใช้ในการคุกคามกับชาวบ้านในพื้นที่ นั่นคือ การฟ้องSLAPP เพื่อยับยั้งการเคลื่อนไหวคัดค้านของชาวบ้าน เพื่อให้บริษัทบรรลุจุดประสงค์ได้ง่ายขึ้นโดยปราศจากคนขัดขวาง มีหลายครั้งที่เราเคยเห็นบริษัททุนยักษ์ใหญ่กลั่นแกล้งชาวบ้านโดยการฟ้องSLAPP ผ่านตามหน้าสื่อต่างๆ เช่น กรณีกลุ่มชาวบ้านที่คัดค้านเหมืองทองคำที่ จ.เลย และ จ.พิจิตร หรือกรณีกลุ่มชาวบ้านที่คัดค้านโรงงานน้ำตาลที่ จ.สกลนคร เป็นต้น การฟ้องSLAPP (Strategic Litigation Against Public Participation - SLAPP) หรือการดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อระงับการมีส่วนร่วมของสาธารณชน เป็นการฟ้องคดีเพื่อสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของประชาชน กล่าวคือ เป็นการฟ้องคนหรือกลุ่มคนที่พูดหรือแสดงความคิดเห็นในประเด็นอันเป็นประโยชน์สาธารณะ โดยใช้กระบวนการทางศาลขัดขวางคำพูดหรือการกระทำของบุคคลเหล่านั้นไม่ให้ราบรื่น ที่ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ทนายแสงชัย รัตนเสรีวงษ์ ทนายความอาวุโส ทนายความกรณีเหมืองทองคำ อ.วังสะพุง จ.เลย กล่าวว่า ในภาษากฎหมาย การฟ้องSLAPP มีชื่อเรียกเฉพาะว่า การใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ซึ่งเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตของบริษัทเพื่อการกลั่นแกล้งชาวบ้านที่ลุกขึ้นมาปกป้องผลประโยชน์ของชุมชน การฟ้องSLAPP ส่วนใหญ่ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อการชนะคดี แต่ทำเพื่อให้ชาวบ้านเกิดความยุ่งยากและเกิดความกลัว เนื่องจากในการฟ้องแต่ละครั้งจะมีการเรียกร้องค่าเสียหายในราคาสูง ซึ่งบริษัทเองก็รับรู้ว่าชาวบ้านไม่สามารถจ่ายได้อย่างแน่นอน การฟ้องSLAPP อาจกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับประเทศไทยที่ยังคงต้องทำการศึกษาและร่วมกันหาทางแก้ไขว่าประเทศไทยจะมีมาตรการอย่างไรในการกลั่นกรองคดีที่ถูกฟ้องร้องขึ้นสู่ศาลว่ามิใช่คดีที่เป็นการฟ้องกลั่นแกล้งกัน เพื่อป้องกันไม่ให้บริษัทใช้กฎหมายไปในทางที่ทำให้เสื่อมเสียประโยชน์แก่ชาวบ้าน ไม่ตรงเจตนารมณ์แห่งกฎหมายที่เป็นไปเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้เสียหาย เพราะในทางกลับกันเป็นการใช้กฎหมายเพื่อกลั่นแกล้งผู้เสียหายเสียเอง และไม่เป็นการใช้ทรัพยากรบุคลากรทางศาลอย่างสิ้นเปลือง ในคดีที่เป็นการปกป้องประโยชน์ของสาธารณะ ที่เป็นสิทธิที่ชาวบ้านพึงมีพึงใช้เพื่อรักษาประโยชน์ของตนเอง ซึ่งถือเป็นการใช้กระบวนการทางศาลในการกลั่นแกล้งประชาชน ในการฟ้องSLAPP แต่ละครั้ง ส่วนใหญ่จะเป็นการฟ้องในคดีหมิ่นประมาทและมีการเรียกร้องค่าเสียหายให้ชาวบ้านต้องจ่ายในราคาแพง แม้บางคดีบริษัทจะมีการถอนฟ้องในภายหลัง แต่ช่วงที่อยู่ระหว่างการดำเนินคดีนั้นก็สร้างความยากลำบากให้แก่ชาวบ้านอย่างมหาศาลเช่นกัน เพราะทำให้ชาวบ้านสูญเสียทั้งเวลา ทุนทรัพย์ และส่งผลต่อด้านจิตใจด้วย มูลเหตุแห่งการฟ้องคดีมักมีที่มาจากประเด็นประโยชน์สาธารณะ เมื่อมีการเคลื่อนไหวในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประเด็นสาธารณะ และกลุ่มผู้มีอำนาจไม่ต้องการให้ประชาชนรับทราบข้อมูลหรือวิพากษ์วิจารณ์ ดังนั้น เมื่อมีชาวบ้านออกมาเคลื่อนไหวก็จะถูกฟ้องเป็นคดีขึ้นสู่ศาล โดยผู้ฟ้องคดีไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อการชนะคดี แต่มีจุดมุ่งหมายในการสร้างความยุ่งยากให้แก่ชาวบ้าน ทำให้ชาวบ้านเสียเวลา เสียเงิน เพราะการถูกดำเนินคดีแต่ละครั้งมีค่าใช้จ่ายสูง ทั้งในเรื่องของค่าเดินทาง ค่ากิน ค่าอยู่ ค่าใช้จ่ายในการดูแลทนายความ รวมถึงผลทางด้านจิตใจ คือ เสียสุขภาพจิต เสียกำลังใจ เป็นการข่มขู่ ข่มขวัญ ให้ชาวบ้านเกิดความหวาดกลัวและไม่กล้าออกมาต่อสู้คัดค้านดังเดิม ซึ่งเป็นการทำให้ชาวบ้านเกิดความหวาดกลัวและป้องกันชาวบ้านคนอื่นจะลุกขึ้นมาแสดงการต่อต้าน เนื่องจากเขาเห็นผลเสียจากการถูกดำเนินคดีแล้ว อีกทั้งขัดขวางเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นทำให้ชาวบ้านไม่กล้าพูดหรือแสดงออก ไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์ เพราะกลัวว่าตนเองจะถูกดำเนินคดี กลัวว่าจะติดคุก คล้ายๆ กับเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูนั่นเอง ซึ่งเหล่านี้ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างหนึ่ง เพราะเป็นการขัดขวางไม่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการยืนยันสิทธิของตนเอง
หนึ่งตัวอย่างของความโหดร้ายจากการที่ชาวบ้านถูกฟ้องSLAPP คือ กรณีการขึ้นศาลนัดสืบพยานของชาวบ้านที่ จ.เลย ในคดีที่อัยการเป็นโจทก์โดยมีสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลเขาหลวง
(ส.อบต.เขาหลวง) กล่าวได้ว่า บริษัทมีกลวิธีอันชาญฉลาดที่เลือกใช้กระบวนการดำเนินคดีทางศาลมาใช้เป็นอาวุธในการคุกคามนักปกป้องสิทธิมนุษยชน เพื่อเป็นการระงับไม่ให้นักปกป้องสิทธิมนุษยชนลุกขึ้นมาต่อต้านหรือขัดขวางการดำเนินโครงการของบริษัท สุดท้ายก็ได้แต่ตั้งความหวังว่าประเทศไทยจะมีกฎหมายในการคัดกรองคดีที่ฟ้องนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในลักษณะที่เป็นการกลั่นแกล้งมาบังคับใช้อย่างจริงจัง อย่างน้อยก็เพื่อการคืนสิทธิขั้นพื้นฐานให้แก่พวกเขา ------------------------------- ขอบคุณภาพประกอบจาก http://getcookie.com/p/aopmqlR1b ขอบคุณข้อมูลประกอบจาก ประชาไท
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|