จำนวนผู้เข้าชม |
ขณะนี้มี 166 บุคคลทั่วไป ออนไลน์ |
ขอบคุณทุกท่าน
ที่แวะเข้ามาค่ะ
|
แนะนำสื่อ ฉบับล่าสุด |
วารสารผู้ไถ่
ฉบับที่ 123
สารวันสันติสากล
1 มกราคม 2024
ปัญญาประดิษฐ์
และสันติภาพ
น้ำแห่งชีวิต
(Aqua fons vitae)
สมณกระทรวงเพื่อ
ส่งเสริมการพัฒนา
มนุษย์แบบองค์รวม
แอมะซอนที่รัก
(QUERIDA AMAZONIA)
สมณลิขิตเตือนใจ...
ของสมเด็จ-
พระสันตะปาปาฟรังซิส
หนังสือแปล
จงสรรเสริญพระเจ้า...
การก้าวออกไป
อย่างต่อเนื่องของเอเชีย
หนังสือแปล
Compendium...
ประมวลหลักคำสอน
ด้านสังคมของ
พระศาสนจักร
ภาคที่ 2 และ3
หนังสือแปล
Compendium...
ประมวลหลักคำสอน
ด้านสังคมของ
พระศาสนจักร ภาคที่ 1
หนังสือแปล
Jesus CEO : พระเยซูเจ้า
นักบริหารชั้นนำ
หนังสือ เส้นทางสู่
สิทธิมนุษยชนศึกษา
หนังสือแปล
Caritas in Veritate :
พระสมณสาสน์
ความรักในความจริง
โปสเตอร์
อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก
แห่งสหประชาชาติ
พ.ศ.2532
|
|
ทุ่นระเบิดสังหาร |
|
Monday, 22 May 2006 |
1. ทุ่นระเบิดสังหารคอลัมน์ วิเทศวิถี วันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10257 http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01for05100449&show=1§ionid=0104&day=2006/04/10
วรรัตน์ ตานิกูจิ
จะมีใครสักกี่คนที่ทราบว่าวันที่ 4 เมษายนที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็น "วันรณรงค์การดำเนินงานด้านทุ่นระเบิดสากล" หรือ "International Day for Mine Awareness and Assistance in Mine Action" ครั้งแรกของโลก หลังจากที่ที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติได้ให้การรับรองข้อมติที่ประกาศให้วันดังว่ากลายเป็นวันสำคัญของทุกประเทศทั่วโลกตั้งแต่เมื่อวันที่ 8 ธันวาคมปีที่ผ่านมา
หากพิจารณาการเก็บรวบรวมเกี่ยวกับจำนวนผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บเนื่องจากทุ่นระเบิดจะเห็นได้ว่า ตัวเลขของผู้ได้รับผลกระทบลดน้อยลงจากที่ราว 26,000 คนต่อปีในช่วงทศวรรษที่ 90 เหลือเพียงแค่ 15,000-20,000 คนต่อปีในปัจจุบัน อย่างไรก็ดี ตัวเลขดังกล่าวยังถือว่าน่าวิตกกังวล เพราะนั่นหมายถึงว่ายังคงมีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตเนื่องจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคลราว 40-50 คนต่อวัน โดยกองทุนสงเคราะห์เด็กแห่งสหประชาชาติ (ยูนิเซฟ) ระบุว่ามีเด็กที่ได้รับผลกระทบจากทุ่นระเบิดสังหารจนต้องพิการหรือเสียชีวิตราว 3,000-4,000 คนต่อปีเลยทีเดียว
ปัจจุบันนี้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลยังคงกระจัดกระจายไปในพื้นที่ของประเทศต่างๆ รวม 82 ประเทศ และแน่นอนว่าสภาพการณ์เช่นนี้ทำให้ผู้คนในประเทศเหล่านั้นไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้เช่นปกติ เพราะคงไม่มีใครจะมีชีวิตที่เป็นสุขได้หากต้องกังวลใจทุกครั้งที่สมาชิกในครอบครัวออกไปทำมาหากินในพื้นที่ที่ยังคงมีทุ่นระเบิดฝังอยู่ใต้พื้นดิน แม้แต่ลูกเล็กเด็กแดงที่ออกไปวิ่งเล่นนอกบ้าน ก็อาจตกเป็นเหยื่อของอาวุธสังหารนี้ได้ไม่ต่างกัน
ประเทศไทยเองก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ยังคงมีทุ่นระเบิดสังหารบุคคลอยู่ในพื้นที่เช่นกัน ทั้งนี้ จากข้อมูลของกองสันติภาพ ความมั่นคง และการลดอาวุธ กรมองค์การระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคลของไทยกินบริเวณกว้างถึง 2,556.7 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ถึง 27 จังหวัด ใน 84 อำเภอ 185 ตำบล หรือ 531 ชุมชน แน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นเขตที่อยู่ติดหรือใกล้กับชายแดน
แม้ว่าไทยจะเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ลงนามในอนุสัญญาที่เกี่ยวข้องกับการห้ามใช้ สะสม ผลิต โอน และทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลตั้งแต่เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2540 และได้ทำการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (ศทช.) ขึ้นมาหลังจากนั้น แต่ต้องยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าการเก็บกู้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในอดีตที่ผ่านมายังเป็นไปอย่างล่าช้าจนน่าวิตก
นับตั้งแต่ปี 2543-2548 ประมาณการว่าการเก็บกู้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในไทยเพิ่งจะดำเนินการไปได้เพียงร้อยละ 0.15 ของพื้นที่ที่มีปัญหา หรือราว 3.89 ตารางกิโลเมตร จากพื้นที่รวม 2,556.7 ตารางกิโลเมตร
แน่นอนว่าการเก็บกู้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลนั้นไม่ได้ทำได้โดยง่าย แน่นอนว่าเราจำเป็นต้องทุ่มเททั้งงบประมาณและเวลามากมายไปเพื่อการนี้ แน่นอนว่าเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องก็ได้ทุ่มเทความสามารถเพื่อปฏิบัติหน้าที่ให้ได้ผลดีที่สุดตามกำลังที่มี แต่ก็เป็นเรื่องแน่นอนอีกเช่นกันที่ว่าเราจำเป็นต้องเก็บกู้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลทั้งหมดให้แล้วเสร็จ
เหตุผลไม่ใช่เพียงเพราะเรามีพันธกรณีที่ต้องปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ ที่บังคับให้ต้องเก็บกู้และทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่ถูกฝังไว้เหล่านี้ให้หมดไปภายในวันที่ 10 เมษายน 2552 หรืออีกเพียง 3 ปีนับจากนี้ไปเท่านั้น แต่เพราะการดำเนินการดังกล่าวจะช่วยให้คนไทยราว 500,000 คนในพื้นที่เสี่ยงสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขตามสิทธิที่เขาควรจะมี
คำถามจึงอยู่ที่ว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาผู้บริหารที่มีอำนาจในการตัดสินใจในระดับนโยบายรวมไปถึงการจัดสรรงบประมาณ ได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังเพียงไร
หากเราต้องใช้เวลาเกือบ 6 ปีเพื่อการเก็บกู้ระเบิดสังหารบุคคลในพื้นที่เพียงไม่ถึงร้อยละ 1 ของพื้นที่ที่มีปัญหา แล้วเวลาอีกเพียง 3 ปีเราจะเก็บกู้ระเบิดได้อีกมากเท่าใด
อย่าลืมว่าการแสดงให้เห็นว่าเราตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ไม่ได้พิสูจน์ด้วยตรรกะเพียงว่า เราเป็นประเทศแรกๆ ที่ได้ร่วมลงนามเป็นภาคีในอนุสัญญาฯใดๆ ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น
Powered by AkoComment 2.0! |
|