บทความล่าสุด |
---|
อนึ่ง บทความ หรือข้อเขียนทั้งหมดที่นำลงเว็บไซต์ jpthai.org เป็นทัศนะเฉพาะของผู้เขียน
ทางเว็บไซต์ jpthai อนุญาตให้คัดลอกบทความ/ข้อมูล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้
Donation / สนับสนุนการดำเนินงาน
|
ไฟสร้างฝัน : ชัยณรงค์ กิตินารถอินทราณี |
Wednesday, 05 February 2014 | ||||
Life Style วันที่ 22 มกราคม 2557 ไฟสร้างฝัน โดย : ชัยณรงค์ กิตินารถอินทราณี
ทศวรรษที่โชนไฟความรุนแรงคุกรุน ปลายด้ามขวาน กลายเป็นเชื้อไฟให้เด็กๆ ที่นั่นรวมตัวลุกขึ้นมาแก้ปัญหาในบ้านเขา ถึงจะมีเสียงตัดพ้อถึงความฝัน และความหวังในสันติสุขที่จะเกิดความสงบบนแผ่นดิน 3 จังหวัดชายแดนใต้ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ยอดผู้เสียชีวิตเรือนหมื่น (และยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด) ความรุนแรงของสถานการณ์หนักข้อขึ้นทุกวัน เมื่อเทียบกับงบประมาณที่เฮโลลงไปเพื่อจะอุดช่องว่างให้เกิดสันติ จนทำให้เกิดคำถามถึงเม็ดเงินที่ลงมานั้นมันคือการ "ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ" หรือเป็นช่องทางทำกินของ "พ่อค้าความรุนแรง" กันแน่ ภาพสะท้อนหนึ่งที่ชัดเจนก็คือ การก้าวออกมาเรียกร้องของเด็ก และเยาวชนถึงความสงบสุขในบ้านของพวกเขา อย่างภายในงานมหกรรมสันติภาพ "Voices from Thailand's Deep South : เสียงเรียกจากเยาวชนจังหวัดชายแดนใต้" เมื่อปลายปีพ.ศ.2556 ถึงบรรดาผู้ใหญ่ในประเทศ ไม่ว่าจะเป็น... การปรับปรุงประสิทธิภาพการปฏิบัติงานด้านเด็กและเยาวชนในพื้นที่ สนับสนุนงบประมาณกับเด็กและเยาวชนอย่างจริงจัง การส่งเสริมการเรียนรู้ทั้งใน-นอกระบบ ส่งเสริมสังคมการอยู่ร่วมกันระหว่างเด็กต่างศาสนา รวมทั้งเปิดพื้นที่เสรีในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของพวกเขา นอกจากตัวแทนคาราวานเยาวชนกว่า 120 ชีวิต จากปัตตานี ยะลา และนราธิวาสในวันนั้นแล้ว ล่าสุดยังมีการประกาศเจตนารมณ์ของเด็ก และเยาวชนภายในงาน "มหกรรมเยาวชนหัวกะทิชายแดนใต้" ที่จัดขึ้นเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านอีกด้วย ทั้งหมดเพื่อเป็นการตอกย้ำ และยืนยันว่า ตั้งแต่วันนี้ เยาวชนจะไม่ได้เป็นเพียงแค่ "กลุ่มเป้าหมาย" ของโครงการต่างๆ อีกต่อไป แต่พวกเขาจะเข้ามาช่วยนำความสุขกลับคืนบ้านอีกแรงหนึ่ง กร่อน และกลวง ไม่ว่ารายงานผลการวิเคราะห์สถานการณ์ของสตรีและเด็กในจังหวัดชายแดนภาคใต้โดยองค์การยูนิเซฟทั้งปี 2548 และ 2556 ตัวเลขจะต่างกันอย่างมีนัยยะสำคัญหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่ตารางบอกเอาไว้ก็ยังคงขีดเส้นใต้ความท้าทายของเด็กและสตรีในพื้นที่ทั้งพุทธและมุสลิมอยู่เสมอมา การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก สภาพเศรษฐกิจ สังคม สภาพร่างกายและจิตใจที่ถูกบั่นทอนมาโดยตลอดซึ่งเป็นปัญหาทางตรง กับคลื่นใต้น้ำที่ "ซุก" ไปกับสถานการณ์ รายงานฉบับดังกล่าวระบุว่า ปัญหายาเสพติดจัดเป็นปัญหาหลักที่ทำให้เหล่านักเรียนขาสั้นคอซองกว่า 53 เปอร์เซ็นต์ต้องไปจบอนาคตตัวเองอยู่ในห้องขัง ยิ่งไปกว่านั้น ในกลุ่มเดียวกันนี้ยังถูกรวบเข้าไปอยู่ใต้ร่มของคดีความมั่นคงโดยไม่ได้รับความคุ้มครอง หรือการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมสำหรับพวกเขาก็ยังถือว่าเป็นปัญหาสำคัญ ยังไม่นับเรื่องคุณภาพชีวิตกับเด็กโดยตรงที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ อาทิ การมีเด็กเกือบครึ่งแสนอยู่นอกระบบการศึกษา ปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศ และความรุนแรงในครอบครัว หรือแม้แต่สวัสดิการที่จะช่วยสนับสนุนกลุ่มเด็กพิการก็ไม่ได้มีนโยบาย กระทั่งภาพปฏิบัติที่ชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้น งานด้านการส่งเสริม หรือพัฒนาเด็กในพื้นที่หลายๆ โครงการกลับถูก "เว้น" ไว้อย่างน่าเสียดาย ด้วยเหตุผลที่ผูกโยงกับความปลอดภัย และความอ่อนไหวของสถานการณ์ในพื้นที่ "หลายโครงการของหลายหน่วยงาน เวลามีโครงการทำนองนี้ออกมาก็มักจะเว้นพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ไป หรือคนจากส่วนกลางเองไม่กล้าลงมาติดตามนิเทศเขาก็เลยงด" ผู้สันทัดกรณีที่ทำงานด้านเยาวชนในพื้นที่บางคนให้ความเห็น ยังไม่นับกรณี "คอร์รัปชั่น" ในโครงการต่างๆ ที่พากันเอามาลงในพื้นที่ ซึ่งกลายเป็นข้อสังเกต "คลาสสิค" ของคนทำงานไปแล้ว "ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ องค์กรเอกชน หน่วยงานระหว่างประเทศ หรือหน่วยงานธุรกิจ เพื่อที่จะทำกิจกรรมช่วยเหลือเด็ก และเยาวชนในหลายๆ ส่วน ...แต่มันก็เป็นสิ่งที่ไม่มีใบเสร็จน่ะ แต่เราก็รู้ว่าหน่วยงานหนึ่งได้เงินทำโครงการมา 30-40 ล้าน แต่พอทำงานออกมาจริงๆ มันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น" ส่วนหนึ่งของปัญหานี้ก็มาจากทัศนคติต่อความไม่สงบในพื้นที่เช่นกัน ทำให้เกิดกรณีตัวคนอยากช่วย แต่ไม่กล้าเสี่ยงลงพื้นที่ จึงส่งเงินมาแทน แต่ก็ไม่มีคนติดตามเรื่องการใช้ทุน หรือกรณีของการ "จัดฉาก" ประกอบรายงานติดตามผล ที่สำคัญ ไม่ว่าจะโครงการให้ทุนการศึกษา ช่วยเหลืออุปถัมภ์ สงเคราะห์ ไปจนถึงโครงการพัฒนาศักยภาพในระดับแกนนำล้วน "เข้าข่าย" ทั้งสิ้น "เรื่องเหล่านี้ก็ส่งผลกระทบกับคนทำงานในพื้นที่จริงๆ เหมือนกันนะ เพราะอาจทำให้ผู้ให้การสนับสนุนหลอนได้" ใครคนนั้นมองถึงเรื่องตลกร้ายของเหรียญอีกด้าน ทั้งหมดก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับเด็ก และเยาวชนในพื้นที่ ซึ่งคิดเป็นอัตราส่วนเกือบร้อยละ 50 ของประชากรทั้งหมดในพื้นที่ เสียงเล็กๆ ในความอ่อนไหว ตัวเลขของเด็กที่มีจำนวน "เกือบครึ่ง" ของผู้คนใน 3 จังหวัดชายแดนใต้นั้น สำหรับ ทศพล กฤษณบุตร หนึ่งในคณะทำงานของกลุ่มลูกเหรียงถือว่ามีนัยยะสำคัญอย่างยิ่ง ด้วยจำนวนดังกล่าว ทำให้เวลาพวกเขาขยับตัวทำอะไรก็มักจะเป็นที่จับตามองของทุกฝ่าย "เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขาตื่นตัวขึ้นมามักจะถูกจับตามองจากทุกฝ่าย ไม่ใช่แค่ผู้ก่อการเท่านั้น ทหาร ตำรวจ ความมั่นคง หรือภาครัฐเองก็มีข้อสงสัยอยู่ เพราะตอนนี้ที่นี่มีเรื่องของการทำมวลชนกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน หรือคิดอย่างไรก็ตาม พอเด็กเริ่มมีศักยภาพมากขึ้นก็จะเป็นที่จับตา และตั้งคำถามเสมอว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขานั้น เกิดขึ้นมาได้อย่างไร มีอะไรอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า รับใช้ฝ่ายไหน แล้วมันก็มีกลุ่มที่บางทีนะ อ๋อ เราไม่ได้เทคไซด์ฝ่ายรัฐ ถ้าฝ่ายรัฐทำไม่ดี เราก็ว่า หรือเราไม่ได้อยู่ฝ่ายขบวนการนะ มันไม่มีหรอกพวกที่จะอยู่ตรงกลาง ต้องเอียงซักนิดสิ นี่คือสิ่งที่พวกเขาพยายามแปะให้กับเยาวชนมาโดยตลอด" เขาแบ่งปันถึง "นัยยะ" ดังกล่าว สิ่งที่ยากอีกอย่างหนึ่งก็คือ เรื่องของการบริหารความรู้สึก "สมมติว่าถ้าหน่วยงานภาครัฐรู้สึกว่ากลุ่มนี้น่าจะเอียงไปอยู่อีกฝ่ายก็จะถูกจับตา ไม่ก็เข้าไปป้วนเปี้ยนใกล้ๆ หรือบางทีก็จะมีการจับกุมตรวจค้น หรือถ้ากลุ่มนี้มีโอกาสไปทางรัฐก็จะถูกส่งสัญญาณเหมือนกันว่า ไม่ควรจะเข้าข้างฟากรัฐมากเกินไป" ซึ่งเรื่องเหล่านี้ล้วนเป็น "พื้นที่อ่อนไหว" ที่พวกเขาต้องเผชิญแทบทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะด้วยโอกาส หรือสถานะบนหน้ากระดาษซึ่งเวลาเขียนโครงการพวกเขามักเป็นเพียง "กลุ่มเป้าหมาย" ที่คอยรอรับแต่ความช่วยเหลือเพียงฝ่ายเดียว กลับกลายเป็นข้อสังเกตสำคัญในการกำหนดท่าทีของตัวเองบนพื้นที่สังคม อย่าง ไวไว - สุไวบะฮ์ บากา นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เอกเศรษฐศาสตร์พัฒนาการ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ที่มองความสูญเสียตลอด 10 ปีที่ผ่านมาเพื่อแลกกับอำนาจ หรือผลประโยชน์ของคนบางกลุ่มนั้น ที่สุดแล้วความยุติธรรมอยู่ที่ไหน "เป็นเรื่องยากเหมือนกันนะคะ มันหนักใจ ขมขื่น ที่ต้องถูกปิดหูปิดตาในการทำงานในพื้นที่ สถานการณ์การทำงานเกี่ยวกับเด็ก และเยาวชนก็ยังไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย ซึ่งเด็กและเยาวชนในพื้นที่บ้านเราก็ยังเป็นแค่เครื่องมือในการทดลองโครงการต่างๆ ตามที่ผู้ใหญ่ต้องการในบางเวลาเท่านั้น เด็กก็ยังคงต้องทำตามผู้ใหญ่" ทั้งๆ เธอมั่นใจว่า เด็ก และเยาวชนในพื้นที่มี "ดี" มากกว่านั้น "เราอยากให้ผู้ใหญ่มองเราเป็นหุ้นส่วนทางสังคมที่ขับเคลื่อนไปด้วยกัน เดินไปพร้อมๆ กัน และอยากให้ผู้ใหญ่มองเห็นว่าพลังของเราสำคัญมากแค่ไหนในการเปลี่ยนแปลงบ้านเรา" สิ่งที่ไวไวยืนยันก็คือ บทบาทในสภาเด็กและเยาวชนจังหวัดยะลา ที่เธอและเพื่อนๆ พยายามขับเคลื่อนสร้างเครือข่ายในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นสภาตำบลที่พัฒนาศักยภาพเยาวชนให้เข้าถึงโอกาส และสร้างทัศนคติที่ดีให้กับตัวเอง เพื่อที่จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาชุมชนต่อไปในอนาคต "หนูก็พยายามจะทำงานร่วมกับน้องๆ ให้ได้มากที่สุดน่ะค่ะ" ไวไวเล่าถึงเวลาของรุ่นใหญ่ในสภาเด็กฯ ที่กำลังจะหมดวาระลงในไม่ช้าอย่างด้วยรอยยิ้ม ใต้น่าอยู่ด้วยมือเรา ตัวของไวไวอาจเป็นเพียงหนึ่งตัวอย่างของความพยายามในการแก้ปัญหาบ้านเกิดด้วยมือของตัวเอง เหมือนอย่างคำประกาศเจตนารมณ์และข้อเสนอเพื่อการพัฒนาในนามกลุ่มหัวกะทิชายแดนใต้ที่ยืนยันถึงความพร้อมในการเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหา และสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืน แต่ต้องอยู่ภายใต้การพัฒนาเยาวชน และการมีส่วนร่วมของเยาวชนอย่างจริงจังด้วย ตีตี้-อนิส แมะยะ นักศึกษาในวิทยาลัยชุมชนยะลา สมาชิกศูนย์ฟ้าใสเล่าถึงงานที่เธอและเพื่อนๆ ในเครือข่ายรับผิดชอบว่า ส่วนใหญ่เป็นงานที่ส่งเสริมจิตสาธารณะให้เกิดขึ้นกับเด็กๆ ที่นี่ โดยจะมีงานวันเด็กแห่งชาติที่จัดร่วมกับเทศบาลถือเป็นงานประจำปีของพวกเธอ นอกจากนั้นก็ยังมีคลื่นวิทยุชุมชนเพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนในพื้นที่ได้แสดงออกทางความคิดด้วย "เพราะพื้นที่ 3 จังหวัด เด็ก และเยาวชนยังไม่ค่อยมีโอกาส กิจกรรมบางอย่างเราก็อยากปลูกฝังให้เด็กๆ มีจิตอาสา มีจิตสาธารณะ พอเราลองทำ เขาก็จะเห็นว่ายังมีคนที่ด้อยโอกาสกว่า" ตีตี้เผยความตั้งใจ หรืออย่าง อาลิซ่า สาเมาะ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 จากรั้วราชภัฏยะลา ที่เข้ามาร่วมงานกับกลุ่มหัวกะทิชายแดนใต้ เพราะสนใจทำงานให้กับน้องเยาวชนทั้งในแง่ของกระบวนการทำงาน ซึ่งทำให้เธอได้ทำเรื่องของการสร้างสรรค์สื่อเพื่อถ่ายทอดประเด็นสาธารณะให้เกิดอาสาสมัครเพื่อไปทำงานต่อ ตรงนี้โดยส่วนตัวเธอรู้สึกว่า นี่คือส่วนหนึ่งของการถ่ายทอดสิ่งดีๆ และสร้างทัศนคติที่ดีให้กับเพื่อนๆ ในพื้นที่ "อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้เขารู้ว่ายังมีคนที่คอยเป็นห่วงเป็นใยเขา ไม่ได้ทอดทิ้งให้เขาอยู่ตามลำพัง" ทัศนคติเชิงบวกเหล่านี้ ทศพล คิดว่าถือเป็นสิ่งสำคัญ และมีผลต่อสังคมในพื้นที่โดยตรง "จากการทำกิจกรรมในช่วงที่ผ่านมาเราจะพบว่า เด็กๆ มีการตื่นตัวด้านกิจกรรมมากขึ้น เมื่อพวกเขาได้ผ่านกระบวนการต่างๆ ที่มีการชวนให้คิด ชวนให้วางแผน และร่วมงาน ซึ่งทุกคนตอนแรกๆ ก็เริ่มจากกลุ่มเป้าหมายนั่นแหละ จากนั้นก็พัฒนาตัวเองขึ้นมาเรื่อยๆ จนตอนนี้ เรากล้าพูดได้ว่าเด็ก และเยาวชนที่นี่มีศักยภาพเทียบเท่ากับเยาวชนที่มาจากภาคเหนือ ภาคกลาง หรือภาคอีสานเลย" เขาให้คำตอบจากประสบการณ์ที่เคยได้พากลุ่มเยาวชนขึ้นมาร่วมแลกเปลี่ยนกับเยาวชนจากภาคอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งในความรู้สึกของเขาก็คือ ปริมาณที่เพิ่มมากขึ้นของเยาวชนที่เข้ามาร่วมงานทุกปี "ที่อยากทำอย่างหนึ่งคือ การทำสำรวจกลุ่มเยาวชนใน 3 จังหวัด เพราะผมเชื่อว่าตอนนี้กลุ่มเยาวชนในระดับชุมชนเกิดขึ้นมาก และทำกิจกรรมเพื่อตอบสนองปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละชุมชน ในมิติที่เขาเห็นว่าเป็นปัญหาที่สำคัญ" เหมือนอย่างที่ ไวไว คิดว่า ประเด็นการเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ ทั้งเรื่องราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ราคาสูงขึ้นสวนทางกับสถานการณ์ ขณะเดียวกันก็อาจจะเป็นเรื่องผลประโยชน์ของกลุ่มอิทธิพลในพื้นที่ กระทั่งยาเสพติดก็ยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลง ขณะที่ อาลิซ่า ยืนยันว่า แนวคิดเรื่องความขัดแย้งเกี่ยวกับการแบ่งแยกดินแดน หรือแง่มุมทางศาสนาก็ยังมีอยู่ และยังไม่ได้รับการแก้ไขเท่าที่ควร กระทั่งความไม่เข้าใจในบทบาทของโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามหรือปอเนาะ ที่ถูกยัดข้อหา "ซ่องโจร" สำหรับ เลาะ - อับดุลเลาะ ดือราแม นั่นนอกจากส่งผลให้เกิดความเข้าใจผิดในสังคมพุทธ-มุสลิมแล้ว การขาดครูที่ตรงสายการสอนก็กลายเป็นปัญหาสำรับนักเรียนอย่างพวกเขาด้วย แน่นอนว่า การมองเห็นปัญหา และความกระตือรือล้นเหล่านี้ ส่วนหนึ่งมีต้นทุนมาจากการร่วมกิจกรรม และการเปิดพื้นที่ทางความคิด จนที่สุดกระบวนการต่างๆ ก็ช่วยหล่อหลอมพวกเขาให้ลุกขึ้นมาทำสิ่งดีๆ ให้เกิดกับบ้านเกิดตัวเอง และจะเป็นรากฐานอันมั่นคง และนำมาสู่ความสงบสุขต่อไปในอนาคต เมื่อ ปุ๋ยดี ดินดี อากาศดี ไม้ต้นนี้ก็เติบใหญ่อย่างมั่นคง และแข็งแรงได้ไม่ยาก ...จริงไหม
---------------------- ที่มา...กรุงเทพธุรกิจ : http://www.bangkokbiznews.com
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|