Life Style
วันที่ 21 กรกฎาคม 2554
เรื่องเล่านอกกะลา
โดย : สมสกุล เผ่าจินดามุข
บรรยากาศการเรียน
โรงเรียนนี้ไม่มีการสอบ ไม่มีค่าแป๊ะเจี๊ยะ ไม่มีแบบเรียน ไม่มีการท่องสูตรคูณ และเป็นโรงเรียนที่ไม่ยอมให้เด็กล้มเหลวแม้แต่คนเดียว
- 4 -
หน้าเสาธง โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา มีแท่งปูนสี่เหลี่ยมสูงราวหนึ่งเมตร แต่ละด้านสลักเป็นปริศนาว่า
"ในน้ำต้องเลี้ยงปลา
ในนาต้องปลูกข้าว"
พรรณทิพย์พา ทองมี หรือที่นักเรียนมักเรียกกันว่า ครูต๋อย หนึ่งในกลุ่มครูผู้บุกเบิกโรงเรียนลำปลายมาศ โรงเรียนที่ถือว่าเป็นต้นแบบของโรงเรียนทางเลือกขยายความให้ฟังว่า
"ทุกวันนี้โลกเปลี่ยน ปลาไม่ต้องเลี้ยงแล้ว แต่ต้องรู้วิธีให้ได้มาซึ่งอาหาร เรารอธรรมชาติไม่ได้แล้ว ตรงนี้อยากบอกว่า ไม่ใช่แค่รอให้มันมาหาเรา แต่บางอย่างต้องสร้างขึ้นมาเอง สร้างโอกาสขึ้นมา"
บ้านเกิดของครูต๋อยอยู่ร้อยเอ็ด เธออยากเป็นครูสอนเด็กประถมวัยตั้งแต่เริ่มจำความได้ อาจเป็นเพราะได้แรงบันดาลใจจากพ่อและแม่ ซึ่งเป็นครูทั้งคู่
พอเรียนจบเธอสอบเข้าบรรจุเป็นครูได้สมใจหลังสอบผ่านรอขึ้นบัญชีเรียกบรรจุ 3 แห่งด้วยกัน
ระหว่างรอเรียกบรรจุ เธอเห็นโฆษณาประกาศรับสมัครครูสำหรับโรงเรียนใหม่ของอำเภอลำปลายมาศ จึงตัดสินใจสมัครและสัมภาษณ์ร่วมเป็นครูบุกเบิกตั้งแต่ยุคที่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนายังเป็นที่โล่ง อาคารยังสร้างไม่เสร็จ ดินยังไม่ถม เสาธงไม่มี อาคารยังไม่ก่อ
ผ่านมาหนึ่งปี ครูต๋อยได้รับจดหมายเรียกตัวให้ไปบรรจุเป็นครูรัฐบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี แต่เธอตัดสินใจอยู่ลำปลายมาศต่อ แม้จะมีเสียงไม่พอใจจากพ่อแม่ก็ตาม
เธอผัดผ่อนพ่อแม่ที่คะยั้นคะยอให้เข้าบรรจุโรงเรียนรัฐมาตลอด จนสุดท้ายมีจดหมายเรียกบรรจุเข้าโรงเรียนในกรุงเทพฯ ซึ่งดูเหมือนเธอจะหมดทางผัดผ่อนแล้ว เธอเล่าว่าวันนั้นร้องไห้ทั้งคืน พยายามบอกพ่อแม่ว่าไม่อยากไป เพราะรักและผูกพันกับโรงเรียนลำปลายมาศ และเป็นผู้ร่วมอุดมการณ์ทำให้เป็นโรงเรียนตัวอย่างที่หลายแห่งเริ่มเอาอย่าง สุดท้าย ถึงแม้จะนั่งรถมาถึงหน้าโรงเรียนที่กรุงเทพฯแล้ว เธอเปลี่ยนใจไม่ลงจากรถ และโทรอ้อนวอนพ่อแม่อีกครั้ง ขอกลับมาเป็นครูต๋อยของนักเรียนลำปลายมาศ และรับผิดชอบกับการตัดสินใจสำคัญของตัวเอง
"เรามีอำนาจในการเลือก ชีวิตเป็นของเรา" ครูต๋อยบอก
- 3 -
ย้อนกลับไป 9 ปีที่แล้ว มันเป็นเรื่องท้าทายอย่างยิ่งสำหรับข้าราชการวัย 32 ปีที่กำลังเติบโตในสายงานได้ดี และไต่ระดับขึ้นมาเป็นผู้บริหารโรงเรียนรัฐเพื่อมาร่วมปั้นฝันสร้างโรงเรียนทางเลือกที่เขาเรียกว่า โรงเรียนนอกกะลา
วิเชียร ไชยบัง ครูใหญ่โรงเรียนลำปลายมาศเล่าว่า จุดเริ่มต้นของการสร้างโรงเรียนแนวใหม่มาจากเจตนารมณ์ของชาวอังกฤษหนุ่มคนหนึ่ง เจมส์ คลาร์ก ที่มาอยู่เมืองไทยและหลงรักประเทศนี้ เจมส์ คลาร์ก คนนี้ยังเป็นคนเดียวที่ช่วยส่งเสริมซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส สุริยัน / จันทรา ระบบปฏิบัติการและโปรแกรมประยุกต์ เพื่อเป็นทางเลือกแทนการซื้อซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์ และติดตั้งซอฟต์แวร์เถื่อน
เขาและมูลนิธิ เจมส์ คลาร์ก ได้มอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียนภาคอีสานอยู่หลายปี จนเมื่อผ่านไประยะหนึ่งจึงเริ่มปรับแนวทางใหม่ โดยเห็นว่าหากต้องการส่งเสริมการศึกษาให้ยั่งยืน น่าจะมีโรงเรียนตัวอย่างขึ้นมาสักแห่ง
ก่อนมีโรงเรียนก็ต้องมีครูใหญ่ เป็นผู้บริหารโรงเรียนและหลักสูตร เจมส์ จึงมองหาอาสาสมัครและคนร่วมอุดมการณ์เพื่อสร้างโรงเรียนทางเลือก โดยรับบทบาทเป็นผู้สัมภาษณ์งานด้วยตัวเอง สัมภาษณ์ไปจนถึงรอบสามถึงได้ครูใหญ่ชื่อ วิเชียร ไชยบัง มาช่วยกันปั้นโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา
"ตอนนั้น ที่ดินโล่งเปล่า มีต้นยางใหญ่สองต้นยืนอยู่ พอเจมส์เขารับผมเข้าทำโครงการ ผมกับเจมส์ทำข้อตกลงกันวันแรกว่า เขาสามารถไล่ผมออกทุกเวลา แต่เขาต้องให้อิสระผมทำงาน ซึ่งเจมส์ตอบตกลง และบอกว่าเขาไม่รู้เรื่องการศึกษา แต่ต้องการโรงเรียนที่ดีที่สุด" ครูใหญ่โรงเรียนนอกกะลา เล่าต้นเรื่อง
ช่วงปีแรกเป็นช่วงท้าทายมาก เพราะเขาต้องเริ่มหลายอย่างพร้อมกัน ตั้งแต่การออกแบบสร้างอาคาร รับสมัครครู และถ่ายทอดปรัชญาการศึกษาตามที่เขาออกแบบ ซึ่งใช้เวลาราว 6 เดือน ก่อนเปิดรับนักเรียนรุ่นแรก ค่อยๆ ถ่ายทอดปรัชญาความรู้ให้จนสุดท้ายหล่อหลอมครูต้นแบบสำเร็จตามที่วิเชียรมองหา
"พอโรงเรียนเป็นรูปร่างก็มาดูว่าเราต้องการบรรยากาศแบบไหน เราต้องการให้ครูมีท่าทีอย่างไร เราต้องการกิจกรรมอย่างไร ต้องการหลักสูตรแบบไหน ค่อนข้างชัดขึ้นในช่วง 2-3 ปี พอปีที่ 4 เริ่มมีการประเมินภายนอก มาจากสองที่ ได้แก่ สมส. เป็นส่วนของประเทศไทย การประเมินครั้งนั้นเขามาประเมินปกติ ปรากฏเขาให้เราดีมาก 13 ข้อ และดี 1 ข้อ ซึ่งไม่มีที่ไหนได้"
ต่อมา ยังได้รับการประเมินจากหน่วยงานการศึกษาต่างประเทศ โดยมหาวิทยาลัย ทัสมาเนีย โดยเจ้าหน้าที่มาอยู่โรงเรียน 10 วัน เขียนรายงานยาว บรรทัดสุดท้ายของรายงานระบุว่า "นี่คือโรงเรียนระดับ World class"
แรกก้าวเข้ามาโรงเรียนลำปลายมาศ สิ่งที่แทบมองไม่เห็นเลยคืออาคารเรียนที่ซ่อนตัวอย่างกลมกลืนกับร่มไม้ และบรรยากาศร่มรื่นที่ถูกจัดสภาพแวดล้อมอย่างเหมาะสม
ชุดนักเรียนของโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาออกจะแตกต่างจากโรงเรียนละแวกนี้ มีกลิ่นอายกระเดียดไปทางโรงเรียนนานาชาติด้วยซ้ำด้วยเสื้อผ้าลายสก็อตแบบพื้นบ้านชาวอีสานที่ตัดเย็บโดยพ่อแม่ของนักเรียนเอง เสื้อนักเรียนหญิงมีให้เลือกทั้งคอบัว และคอปก เหตุที่ใช้ผ้าลายพื้นบ้านตัดเย็บเป็นเสื้อนักเรียนแทนเสื้อสีขาวก็เพราะจะดูไม่ออกว่านักเรียนคนไหนเสื้อขาวกว่า ใหญ่กว่า รวยหรือจนกว่า
โรงเรียนนอกกะลาของครูนอกกะลามีเสาธงอยู่หน้าอาคาร แต่ไม่ได้เป็นจุดรวมพลที่ทุกเช้านักเรียนต้องมาเข้าแถวเคารพธงชาติ และฟังครูอบรมปากเปียกปากแฉะ
โรงเรียนนอกกะลาไม่ได้ใช้ตำราเรียนของกระทรวงศึกษา แต่ยังอิงอยู่กับหลักสูตรของกระทรวงศึกษา
โรงเรียนนี้ไม่มีสอบเข้า ไม่มีค่าแป๊ะเจี๊ยะ แต่ใช้การจับฉลากเข้าตามหลักการสุ่ม
โรงเรียนนี้นักเรียนเรียนฟรี และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด คือ
โรงเรียนนี้ไม่ยอมให้เด็กล้มเหลวแม้แต่คนเดียว
"หลักสูตรเราอิงกับหลักสูตรกระทรวงศึกษา แต่ไม่ใช้แบบเรียนของกระทรวงศึกษา กิจกรรมต่างๆ ไม่มีอบรมหน้าเสาธง เพราะจะทำอะไรสักอย่างต้องมีเหตุผล เราต้องการสอนคนให้มีเหตุผล เราไม่เชื่อว่าการเข้าแถวเคารพธงชาติทำให้คนรักชาติมากขึ้น แต่มันเป็นพิธีกรรมสำหรับการเริ่มต้นที่ดี ความนอบน้อม ความเคารพต่ออะไรสักอย่างเท่านั้นเอง ไม่มีบทที่ต้องมาว้ากกัน" ครูใหญ่ ช่วยเติมคำให้ช่องว่างของคำถาม
รูปแบบที่นอกกรอบ นอกกะลา นอกขนบทำให้เปิดเรียนปีแรกผู้ปกครองบางคนถึงกับช็อค เพราะส่งนักเรียนเข้าเรียนอนุบาล ต่างเข้าใจกันโดยปริยายว่า นักเรียนต้องได้เขียน ก. ไก่ ตามรอยประ
วิเชียร บอกว่า นอกจากเด็กนักเรียนเรียนรู้ ผู้ปกครองต้องเรียนรู้ด้วย เมื่อผู้ปกครองเรียนรู้แล้วจะเข้าใจและเห็นเป้าหมายของเด็ก ไม่กดดันเด็ก
"เขาจะรู้ว่าความงอกงามของคนมีหลายด้าน ลูกเขาก็งอกงาม"
- 2 -
ชื่อเสียงของโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาถูกพูดถึงอย่างมากในฐานะโรงเรียนทางเลือก มีผู้บริหารและครูจากโรงเรียนหลายแห่งเข้าเยี่ยมชมการเรียนการสอน หลายคนมักมาพร้อมกับคำถามถึงหลักการที่ประกาศว่า "ไม่ละทิ้งเด็กแม้แต่คนเดียว " ว่าเป็นจริงได้แค่ไหน
ครูวิเชียร อธิบายว่า ระบบการวัดที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันค่อนข้างบิดเบี้ยว และไม่สามารถใช้วัดความเป็นมนุษย์ได้ เนื่องจากถูกออกแบบให้โฟกัสที่ความรู้มากเกินไป ระบบดังกล่าวเขามองว่าไม่ใช่ความผิดสำหรับยุค 100-200 ปี ซึ่งเป็นยุคที่มนุษย์จำเป็นต้องแสวงหาความรู้
"ดูเหมือนการแสวงหาความรู้ของมนุษย์จะไม่มีวันสิ้นสุด แต่พอหาแล้วกลายเป็นว่ามนุษย์ตีกรอบความคิดลึกลงถึงยีนมนุษย์ และรู้สึกว่ายังต้องแสวงหาอยู่ ทั้งที่ความรู้ล้นเหลือไปแล้ว กรอบมันยังสลัดไม่ออก ผู้ปกครองทุกคนก็ยังมีกรอบติดอยู่กับความเชื่อว่า ความรู้ฉันมีน้อย เราอาจอยู่ในช่วงเปลี่ยนถ่ายจากกรอบนี้ไปสู่อีกกรอบหนึ่ง การสลัดให้ได้ การช่วยให้คนสลัดจากสิ่งนี้ให้ได้คือความหวัง " มุมมองของครูใหญ่
เขาเสนอให้คนหลุดจากกรอบเดิมในการมองเป้าหมายของการศึกษาไปสู่กรอบใหม่ เป็นกรอบที่ ผู้ให้การศึกษา ผู้ปกครอง และนักเรียนร่วมตั้งคำถามกันว่า มนุษย์ควรมีชีวิตอย่างไรให้มีความสุข กรอบใหม่ไม่ใช่แค่เรียนหนังสือสอบเอนทรานซ์ได้ และมีงานทำ เขาชวนเชิญให้ตั้งคำถามว่า มนุษย์จะมีความสุขได้อย่างไร จะพอใจบางอย่างง่ายๆ ได้อย่างไร จะจัดการความสัมพันธ์ที่ยุ่งเหยิงอย่างนี้ได้อย่างไร จะบริหารอารมณ์ตัวเองได้อย่างไร หากได้คำตอบเมื่อนั้น คนนั้นจะเข้าใจว่าอยู่มาเพื่ออะไร
แนวคิดการสร้างโรงเรียนตัวอย่างของครูวิเชียรถูกถ่ายทอดลงในหนังสือโรงเรียนนอกกะลาที่เขาจัดทำเมื่อปี 2550 เนื้อความหนึ่งกล่าวถึงโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาว่า เป็นโรงเรียนที่ไม่มีการสอบ โรงเรียนที่ไม่มีเสียงออด เสียงระฆัง โรงเรียนที่ไม่มีแบบเรียน โรงเรียนที่ครูส่งเสียงสอนเบาที่สุด ซึ่งล้วนขัดกับสิ่งที่ทุกคนพบเห็น และทุกคนก็พยายามหาว่า มันคืออะไร เมื่อได้มาเห็นจริง ต่างเข้าอกเข้าใจกันดีว่า รูปแบบของโรงเรียนนอกกะลาไม่ได้หนีไปจากความปรารถนาของการศึกษา แต่อยู่กับเป้าหมายของพรบ. อยู่ในความต้องการของหลักสูตร เป็นเป้าหมายเดียวกัน แต่วิธีต่างกัน
เรื่องท้าทายที่สุดในตลอด 9-10 ปี ของโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาคือการเดินสู่เป้าหมายที่ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่แรกคือ การเป็นโรงเรียนตัวอย่าง ที่ต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระดับประเทศ ไม่ใช่แค่บุรีรัมย์ และเป็นสิ่งที่กดดันให้คณะครูต้องทำกิจกรรมถ่ายทอดแนวทางให้กระจายออกไปให้เร็วที่สุด
"ลมหายใจเราก็สั้น คำว่าลมหายใจหมายถึง ทุนเราไม่ได้ยาว ช่วงเวลาที่มีอยู่ นอกจากทำที่นี่ให้ดีที่สุด ทำให้เด็กดีที่สุด ต้องให้ผลขยายออกไปให้เร็วที่สุด เพื่อให้เกิดมวลวิกฤติพอที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ให้กระทบทั้งข้างบน และข้างล่าง"
เพื่อสร้างผลกระทบให้เกิดขึ้น โรงเรียนได้เปิดประตูรับคณะครู และเจ้าหน้าที่การศึกษาจากทั่วประเทศให้เดินทางมาเยี่ยมชมโรงเรียน หรือที่เรียกว่า "ดูงาน" และยังจัดทำคอร์สอบรมระยะสั้นที่โรงเรียนด้วย อย่างไรก็ตาม ระยะหลังโรงเรียนลดระดับของการดูงานน้อยลง และเพิ่มน้ำหนักการอบรมมากขึ้น
"แต่ก่อนมาดูงาน 100 คน อาจมีแรงบันดาลใจ 2 คนออกไปทำ ซึ่งประโยชน์ที่ได้ทันทีคือ เด็กที่อยู่ในห้องเขา และถ้าเขาคลิกเปลี่ยน ครูคนนั้นเปลี่ยนคนเดียว ไม่รู้เด็กกี่คนกว่าที่เขาจะเกษียณจะผ่าน และเด็กพวกนั้นได้ประโยชน์ไหม" ครูใหญ่ตั้งคำถาม
เมื่อมองดูรายชื่อโรงเรียนที่มาดูงาน และอบรมเพื่อนำโมเดลของโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาไปขยายผลพบว่า โรงเรียนในภาคอีสานและภาคตะวันออกทุกจังหวัดที่ได้มาสัมผัสด้วยตา และรับแนวทางไปปรับใช้กับโรงเรียนของตน หลายโรงเรียนสามารถยกระดับเป็นต้นแบบ อาทิ โรงเรียนในศรีสะเกษ อุบลราชธานี นครพนม มุกดาหาร ขอนแก่น และภูเก็ต ซึ่งสามารถเป็นศูนย์อบรมแทนโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาได้
วิเชียรยอมรับว่า วิธีการที่พวกเขาทำอยู่ ยากที่จะเปลี่ยนแปลงครู หรือสร้างแรงบันดาลใจให้ครูจากโรงเรียนอื่นนำไปใช้ แต่อย่างน้อยเขาคิดว่าการทำงานของโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาได้เปลี่ยนมุมมองและวิธีจัดการเด็ก เปลี่ยนครูบางคนที่เคยเข้าใจว่าเป็นครูที่สอนเด็กได้เก่งที่สุดให้มองเห็นอีกด้านหนึ่งของเด็กด้วย
"บางคนมาดูงาน กลับไปเขียนลงเฟซบุ๊คว่า ตลอดชีวิตที่ทำมาอีกสองปี รู้สึกว่าทำผิดมาตลอด"
-1-
แม้เด็กที่จบระดับประถมศึกษาด้วยแนวทางการเรียนการสอนแบบใหม่จะกลับเข้าสู่โรงเรียนมัธยมในกะลาอีกครั้ง ครูวิเชียรมองว่า สิ่งที่นักเรียนได้ไปตลอดช่วง 6 ปีที่เรียนอยู่ลำปลายมาศพัฒนาช่วยให้เด็กจัดการกับชีวิตตัวเองได้ง่ายขึ้น
"เขาจัดการตัวเองได้ง่าย ไปสอบไปแข่งก็ติด คะแนนก็ใช้ได้ เราไม่ได้แบ่งเป็นโลกใหม่หรือโลกเก่า จริงๆ แล้วเราให้เวลาเขาอยู่ในชุมชนและครอบครัวมากกว่าอยู่โรงเรียน แบบจำลองของเราเป็นแบบนี้ คุณอยู่ห่างไกลจากสิ่งรบกวน คุณอยู่กับชุมชนและคนที่เอื้ออาทรต่อคุณ ให้ความรักและโอกาสคุณตลอดเวลา สุดท้ายเขาจะเป็นคนเลือก เวลาเขาออกนอกสังคมเขาจะเลือกแบบไหน เราเลือกให้เขาไม่ได้ สุดท้ายเขาต้องเลือกเองว่า ฉันชอบแบบนี้ เราจะสร้างสังคมเราแบบนี้ ฉันจะเป็นอย่างนี้ " วิเชียรพูดถึงผลผลิต
ไม่ว่าจะเป็นการเรียนการสอนในช่วงชั้นไหน และวิชาไหน พื้นฐานหลักของการสอนของครูโรงเรียนลำปลายมาศประกอบด้วย 3 ส่วนหลักได้แก่ หลัก 3 ช.
ชง - เชื่อม - ใช้
ชง คือกระบวนการที่ครูให้เด็กแต่ละคนปะทะกับข้อมูลปฐมภูมิ ทุติยภูมิ หรืออะไรก็ตาม และให้นักเรียนแสวงหาค้นหาคำตอบเอง เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตัวเอง
เชื่อม คือกระบวนการเข้าไปดูว่านักเรียนแต่ละคนค้นคว้าและหาคำตอบอะไรมา ทุกคนจะเห็นว่าคำตอบของบางคนไม่เหมือนกัน กระบวนการเชื่อมจะทำให้โครงสร้างของความรู้คมชัด แต่เป็นโครงสร้างที่ใหญ่ขึ้น และเห็นข้อเท็จจริงมากขึ้นกว่าเดิม กระบวนการเชื่อมยังทำให้เกิดโครงสร้างองค์ความรู้ในสมอง เกิดการเรียนรู้ด้วยตัวเองว่าสิ่งที่รู้มาผิดหรือถูก โดยเปรียบเทียบจากคนอื่น
ใช้ เป็นกระบวนการนำเอาสิ่งเร้าใหม่ใส่เข้าไป อาทิ ใบงาน แบบฝึกหัดเพื่อดูว่านักเรียนสามารถนำโครงสร้างองค์ความรู้ใช้ได้จริงหรือไม่
"ในอนาคตเราหวังว่ากระบวนการนี้จะแข็ง แล้วไม่ทำให้คนอหังการ สิ่งที่ฉันรู้ยังไม่พอ อ่านหนังสือมาหมด ยังไม่พอ เพื่อนค้นอินเทอร์เน็ตได้มากกว่า เข้าใจมากกว่า เพื่อนไปถามครู มาเล่า ถามพ่อแม่มาเล่า หรือฉันได้ลองทำเอง มันได้ผลแบบนี้"
ที่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนายังไม่มีเสียงนักเรียนท่องสูตรคูณแม่ต่างๆ เหมือนหลายโรงเรียนที่ถูกบังคับให้ท่องก่อนเลิกเรียน
ครูวิเชียรเล่าอย่างขบขันว่า หลักสูตรคณิตศาสตร์ในประเทศไทยตลกมากเรื่องจำนวน และตัวเลข นักเรียนประถม 1 และ 2. ห้ามบวกลบเกิน 100 นักเรียนประถม 3 ห้ามบวกลบเกิน 1,000 สำหรับโรงเรียนนอกกะลา ไม่ว่า ป.1 หรือ ป2. ครูจะทำตัวเลขให้น้อย แต่มุ่งให้นักเรียนเข้าใจ
"ถ้าเราเข้าใจกระบวนการของการนับเพิ่มหรือ การคูณ โดยไม่ต้องท่อง ถ้าเราเข้าใจมันเราสามารถสร้างแม่สูตรคูณได้โดยไม่ต้องท่อง แม่ไหนก็ได้ แต่ถ้าท่อง สมองควรจำส่วนที่มีค่า เวลาเราสอนเนื้อหาอะไรก็ตาม เราเน้นความเข้าใจ สุดท้ายแล้วความเข้าใจจะนำไปสู่การเห็นความสัมพันธ์ พอเห็นความสัมพันธ์ถึงจะรู้ว่า ผมกินองุ่น องุ่นกลายเป็นผม ถ้าเข้าใจจะเห็นความสัมพันธ์ พอเห็นความสัมพันธ์ก็จะเห็นคุณค่าของมัน พอเห็นคุณค่าของมัน จะพอใจที่มันเป็น พอใจแล้วก็จะยินดี"
โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา ซึ่งดูแลบริหารงานโดย 2 มูลนิธิได้แก่ มูลนิธิ เจมส์ คลาร์ก และมูลนิธิลำปลายมาศพัฒนา ยังได้เปิดสอนระดับมัธยมต้นเป็นปีแรก หลังจากเปิดสอนเฉพาะระดับประถมมา 9 ปี เหตุผลที่ครูวิเชียร เพิ่มระดับชั้นมาจากเขามองเห็นปรากฏการณ์บางอย่างที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ทั่วประเทศ
"มัธยมทั่วประเทศเหมือนกันคือ ทิ้งเด็กบางกลุ่ม ใครที่อ่อนใครพฤติกรรมไม่ดี ถูกทิ้ง โดยไม่เข้าใจพฤติกรรมเขา เพราะเราเอาเกณฑ์เราไปวัด ฮอร์โมนแบบนั้นเราไม่ได้หลั่งแล้ว เราควบคุมตัวเองได้แล้ว เราคิดว่าเขาควบคุมตัวเองได้เหมือนเรา ใครที่เรียนไม่เก่ง ใครที่พฤติกรรมไม่ดีก็ทิ้ง ครึ่งหนึ่งของประเทศไทยเป็นแบบนั้น เด็กติด ศูนย์ ติด "ร" มากที่สุดถูกละทิ้ง"
ครูวิเชียรมองไปที่อาคารเรียนระดับมัธยมซึ่งปลูกเป็นเรือนไม้สองชั้นที่ได้ไม้มาจากวัดที่รื้อทิ้ง ก่อนหันมาบอกว่า
"ผมจะทำให้ดูว่า มัธยมที่ไม่ทิ้งใครเลยเป็นอย่างไร"
----------------------
ที่มา...กรุงเทพธุรกิจ : http://www.bangkokbiznews.com
Powered by AkoComment 2.0! |