My Freezer…Since 19 Dec 2006
ที่พักของบทความอายุสั้นและสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นในทุกวันของชีวิต
เรื่องไม่เล็กของ “อิเล็ก”
แม้ “The Story of Stuff” จะเรียกยอดคลิกของผู้เข้าชมไปแล้วมากกว่า 12 ล้านครั้ง
เจ้าแม่คลิปรณรงค์สิ่งแวดล้อมอย่างแอนนี่ เลนนาร์ด (Annie Leonard) ยังคงเดินหน้าสร้างสรรค์สื่อรณรงค์สุดเจ๋ง
โดยล่าสุดปล่อย “The Story of Electronics” ออกมาเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว
คราวนี้เธอเลือกตีแผ่วงจรพ่นพิษของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
รวมถึงเล่ห์การตลาดที่ผู้ผลิตกำหนด ซึ่งเมื่อผู้บริโภคเดินตามด้วยความไม่เท่าทัน
มันเลยกลายเป็นพฤติกรรมทำร้ายโลกขนานใหญ่และกำลังเกิดขึ้นด้วยอัตราทวีคูณอยู่ในขณะนี้
แอนนี่เปิดเรื่องพร้อมสารพัดสายชาร์จที่พันกันจนยุ่งเหยิงอยู่ในมือ
นี่ขนาดไม่ได้วิ่งตามเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด นี่ขนาดใช้งานอุปกรณ์ทุกชิ้นจนเจ๊งคามือ
หรือกระทั่งมันล้าสมัยถึงขีดสุดชนิดที่ใช้งานร่วมกับใครไม่ได้แล้ว ยังมีสายชาร์จปลดระวางเยอะถึงเพียงนี้
ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะยุทธศาสตร์สำคัญของผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งแอนนี่เรียกมันว่า “designed for the dump”
หรือการออกแบบข้าวของต่างๆ ให้มีอายุการใช้งานลดลงและถูกทิ้งขว้างเร็วขึ้น ด้วยกลยุทธ์…
อัพเกรดแทบไม่ได้
– คอมพิวเตอร์เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมาก
เจ๊งกะบ๊งง่าย
– อย่างทีวีแบนบางรุ่นใหม่ที่มักออกอาการเดี้ยงแทบจะทันทีที่หมดอายุการรับประกัน
ผิดกับทีวีจอตู้หนาหนักรุ่นเก่าๆ ที่ใช้จนเบื่อหน้าก็ยังภาพชัดเสียงดังอยู่
และเพลียใจจะซ่อม – เมื่อซื้อชิ้นใหม่ได้ในราคาถูกกว่าส่งซ่อม ใครจะยอมจ่ายแพง
จากนั้นแอนนี่ก็พาผู้ชมไปรู้จักกับกอร์ดอน มัวร์ (Gordon Moore)
วิศวกรผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทอินเทลและคร่ำหวอดในแวดวงคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่ยุคบุกเบิก
โดยในช่วงทศวรรษ ๑๙๖๐ เขามองเห็นแนวโน้มการเติบโตของเทคโนโลยีถึงขนาดทำนายไว้ว่า
ความเร็วของระบบประมวลผลจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในทุกๆ ๑๘ เดือน
…ทฤษฎีดังกล่าวถูกขนานนามว่า “กฎของมัวร์” (Moore’s Law) และยังคงเป็นจริงมาจนบัดนี้
อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีเดียวกันนี้ถูกบิดไปใช้เพื่อกอบโกยกำไรในนัยยะที่ว่า
ผู้ใช้จะต้องโยนทิ้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ตัวเก่าและซื้อชิ้นใหม่ภายใน ๑๘ เดือน!
ระยะเวลาปีครึ่งเหมือนจะนาน ทว่าช่างสั้นนักเมื่อเทียบกับวงจรทั้งชีวิตของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ส่งผลกระทบมหาศาล
นักออกแบบสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ไม่เพียงกระชากเงินออกจากกระเป๋าผู้ซื้อได้ว่องไว
แต่ยังสร้างภาวะมลพิษขั้นฉุกเฉินขึ้นทั่วโลก
นับตั้งแต่ต้นทางวัตถุดิบมากกว่า ๑,๐๐๐ ชนิดจากเหมืองและโรงงานที่กระจายอยู่ตามส่วนต่างๆ ของโลก
หลายแห่งผลาญทรัพยากรธรรมชาติแบบทำลายล้างและเบียดเบียนชีวิตอื่นๆ
กรณีตัวอย่างสุดคลาสสิคคงหนีไม่พ้นแร่โคลแทน
ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของโทรศัพท์มือถือ เครื่องเล่นดีวีดี คอมพิวเตอร์ เพลย์สเตชั่น
ด้วยเคยมีรายงานว่า การตามล่าแย่งชิงโคลแทนซึ่งมีอยู่มากในประเทศคองโก
คือต้นเหตุของสงครามนองเลือดและการคร่าชีวิตกอริลลา
จากนั้นชิ้นส่วนทั้งหมดจะถูกส่งข้ามน้ำข้ามทะเลมายังโรงงานประกอบ
อันเป็นขั้นตอนที่คนงานต้องสัมผัสสารพิษร้ายแรงจำนวนมาก พีวีซีเอย ปรอทเอย สารหน่วงการติดไฟเอย
ผลลัพธ์ชัดเจน…อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ผลักให้ซิลิกอนวัลเลย์เป็นหนึ่งในชุมชนที่ปนเปื้อนสารพิษมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา
แอนนี่เพิ่มความน่าเชื่อถือด้วยข้อมูลสุขภาพที่เปิดเผยโดยไอบีเอ็มว่า
มากกว่าร้อยละ ๔๐ ของคนงานในส่วนการผลิตชิปคอมพิวเตอร์ต้องแท้งลูก
ทั้งยังพบอัตราการเสียชีวิตด้วยมะเร็งในเม็ดเลือด มะเร็งสมอง และมะเร็งไตอย่างมีนัยสำคัญ
ชีวิตของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ไม่ได้จบลงที่การลับไปจากสายตาของผู้ใช้งานคนล่าสุด
เพราะการโยนทิ้งเพียงหนึ่งชิ้นก็มีส่วนสร้างภูเขาขยะอิเล็กทรอนิกส์ให้สูงขึ้น…สูงขึ้น…สูงขึ้น
ร้ายกว่านั้น ต้องไม่ลืมว่าสารพิษนับไม่ถ้วนถูกเพิ่มเติมเข้าไปในขั้นตอนการผลิต
ทั้งหมดไม่ได้อันตรธานไปไหน บางส่วนปล่อยออกมาทีละน้อยระหว่างการใช้งาน ที่เหลือรอแผลงฤทธิ์ตอนตกกระป๋อง
ดังนั้น เมื่อขยะอิเล็กทรอนิกส์หรือเรียกที่สั้นๆ ว่า อี-เวสต์ (E-waste) เดินทางด้วยเรือสินค้า
ไปยังเมืองกุ้ยอี๋ว์ (Guiyu) ในประเทศจีน ซึ่งเป็นแหล่งรวมอีเวสต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
สารพิษก็ตามติดไปสร้างปัญหาที่นั่นด้วย
กลางดงขยะอิเล็กทรอนิกส์ คนงานมักนั่งรื้อแงะแกะชิ้นส่วน
โดยปราศจากอุปกรณ์ป้องกันการสัมผัสหรือสูดดมไอระเหยของสารพิษ
เมื่อค้นเจอโลหะมีค่าก็จะโยนซากที่เหลือเข้ากองไฟ
ซูเปอร์สารพิษจากการเผาไหม้จึงอ้อยอิ่งตกค้างอยู่ละแวกนั้นและลอยอบอวลไปถึงบริเวณใกล้เคียง
คาดประมาณกันว่า ในแต่ละปียอดรวมการทิ้งอี-เวสต์ทั่วโลกสูงถึง ๒๕ ล้านตัน
จึงเป็นปัญหาใหญ่บิ๊กเบิ้มที่ผู้ผลิตผู้ใช้ต้องร่วมกันรับมือ
แอนนี่เริ่มอธิบายถึงค่าใช้จ่ายในการดูแลสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของคนงาน
ที่บริษัทผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เลือกตัดทิ้งไปจากงบดุลบัญชี
โดยปล่อยให้เป็นภาระของดิน น้ำ อากาศ คนงานเคราะห์ร้าย หรืออะไรก็ได้ที่บริษัทเองไม่ต้องแบกรับ
เมื่อต้นทุนการผลิตไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง
ผู้ผลิตก็เลยยังเดินหน้าโกยกำไรจากการออกแบบสินค้าเพื่อทิ้งขว้างต่อไปได้เรื่อยๆ
ความสงสัยก่อตัวขึ้น…ในเมื่อคุณผลิตข้าวของที่เต็มไปด้วยสารพิษ
ทำไมพอเป็นขยะแล้วกลายเป็นพวกเราที่ต้องมารับมือกับปัญหาขยะอันตราย
แอนนี่จึงเสนอไอเดียที่ดูเข้าท่ามากกว่าในสายตาเธอ “คุณผลิตมัน คุณก็ต้องรับมือปัญหาของมันด้วย”
ซึ่งผู้ผลิตบางรายก็เริ่มแสดงความรับผิดชอบด้วยการรับภาระกำจัดอี-เวสต์ของตัวเองบ้างแล้ว
ตามกลไกที่เรียกว่า “Product Takeback” รายจ่ายที่เพิ่มขึ้นส่วนนี้อาจบีบให้ผู้ผลิตเลิกออกแบบสินค้าเร่งทิ้งแล้ว
หันมาออกแบบสินค้าเพื่อความยั่งยืน อาทิ ใช้งานทนทาน สารพิษน้อยลง และส่งรีไซเคิลได้มากขึ้น
กฎหมายรับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์คืนกลับไปกำจัดกำลังผุดขึ้นในหลายแห่งทั่วยุโรปและเอเชีย
ตัวอย่างในบ้านเราพอมีให้เห็นบ้างจากกรณีรับรวมซากแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือไปกำจัด
ซึ่งเอาเข้าจริง ผู้เขียนเองก็ยังไม่รู้ว่าเขานำไปกำจัดต่อด้วยวิธีการใด
แอนนี่คิดว่า ถึงเวลาแล้วที่ผู้ผลิตควรจะแสดงความเป็นอัจฉริยะ
ด้วยการแข่งกันออกแบบสินค้าปลอดสารพิษและใช้งานได้ยาวนาน
เพราะหากยังยึดตามกฎของมัวร์ที่กล่าวไปในตอนต้น
สารพิษในกระบวนการผลิตที่ลดลงครึ่งหนึ่งทุก ๑๘ เดือน
ก็น่าจะส่งผลให้จำนวนคนงานที่ได้รับสารพิษลดลงฮวบฮาบด้วยเช่นกัน
ก่อนอำลา แอนนี่ยังฝากข้อคิดถึงผู้ใช้อีก ๓ ประการ
หนึ่ง…ส่งมอบอี-เวสต์ให้โรงงานรีไซเคิลที่มั่นใจว่าจะไม่โยนขยะอันตรายเหล่านี้ไปยังประเทศกำลังพัฒนา
สอง…เลือกซื้อชิ้นใหม่โดยพิจารณาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่า
และสาม…ช่วยกันสร้างกฎหมายที่เข้มแข็งในการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์และห้ามเคลื่อนย้ายอี-เวสต์ออกนอกประเทศ
แม้คลิปนี้จะนำเสนอในบริบทของอเมริกันชน แต่เนื้อหาส่วนใหญ่ก็สะท้อนภาพรวมในระดับโลกได้พอสมควร
มีเพียงข้อเสนอแนะช่วงท้ายๆ ที่ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าจะเทียบเคียงใช้กับสังคมไทยได้อย่างไร
ด้วยยังไม่เห็นผู้ผลิตรายใดออกนโยบายเรียกคืนขยะมือถือ คอมพิวเตอร์ เครื่องเล่นดีวีดี ฯลฯ กลับไปกำจัดเสียที
ครั้นจะเหลียวหาโรงงานรีไซเคิลซากอิเล็กทรอนิกส์ที่มั่นใจว่าจัดการอย่างระมัดระวังผลกระทบสิ่งแวดล้อมก็ไม่เจออีก
เหลือก็แต่ “คู่มือสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สีเขียว” ของกรีนพีซ
ที่พอจะเป็นแสงสว่างริบหรี่ประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อได้บ้าง
เขาตรวจสอบและจัดอันดับความเขียวกันอยู่เป็นระยะ
เห็นว่างวดนี้ Philips ได้รับคำชมเชยกระบุงโกยหลังจากเปิดตัวโทรทัศน์ปลอดพีวีซี
และสารหน่วงการติดไฟประเภทโบรมีนได้เป็นรายแรก แซงหน้าโทรทัศน์ยี่ห้ออื่นไปหลายก้าว
ขณะที่ Acer และ HP ก็เริ่มปล่อยคอมพิวเตอร์พกพาที่ปลอดพีวีซีและสารหน่วงการติดไฟออกมาจำหน่ายด้วยเช่นกัน
ระหว่างที่อะไรอะไรยังไม่มีให้เห็นเป็นรูปธรรมในประเทศไทย
พวกเราสามารถช่วยกันชะลอความมหาศาลของอี-เวสต์ได้
ด้วยการใช้สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในครอบครองให้นานเท่าที่อายุขัยของมันจะเอื้ออำนวย
แทนที่จะขยันซื้อชิ้นใหม่ตามเทคโนโลยีหรือโมเดลล่าสุด
ของแถมฝากท้าย…“Life Psycycle-ology”
อีโคคลิปเรื่องแรกภายใต้โครงการ The Secret Life of Things (SLOT) ของประเทศออสเตรเลีย
ซึ่งเล่าถึงโทรศัพท์มือถือรุ่นเก่าที่นอนนิ่งอยู่ในลิ้นชักมาเป็นปีจนมีอาการซึมเศร้าและรู้สึกไร้ค่าจนต้องไปปรึกษาจิตแพทย์
บทสนทนาของทั้งคู่ค่อยๆ พาผู้ชมไปรู้จักกับวงจรชีวิตของโทรศัพท์มือถือ
และทางออกดีๆ เมื่อมันไม่เป็นที่พึงใจของผู้ใช้งาน
รับรองว่า…นอกจากได้ความรู้แล้ว ยังดูไปอมยิ้มไปเลยเชียว
หมายเหตุ-บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกผ่านทางคอลัมน์รากของโลกบนเว็บไซต์โอเพ่นออนไลน์
---------------------------
จากเว็บ http://myfreezer.wordpress.com/
Powered by AkoComment 2.0! |