บทความล่าสุด |
---|
ศีลธรรมจะกลับมาไหมหนอ | พระวิชิต ธมฺมชิโต |
Wednesday, 18 May 2011 | ||||
ศีลธรรมจะกลับมาไหมหนอ
Post today ฉบับวันที่ 20 มีนาคม 2554 ไม่นานมานี้มีข่าวต่างประเทศเล็กๆ ข่าวหนึ่ง ที่หลายคนอาจไม่ได้สนใจ คือข่าวที่ทางการจีนกำลังเตรียมออกกฏหมายให้การไปเยี่ยมพ่อแม่ถือเป็นหน้าที่ทางกฏหมายของประชาชน พูดง่ายๆ ว่ากำลังจะต้องใช้กฎหมายบังคับให้ลูกกลับไปเยี่ยมพ่อแม่ น่าแปลกตรงที่ว่าเรื่องนี้ทำไมจึงเกิดขึ้นได้ในเมืองจีนที่เรารู้กันดีว่าความกตัญญูนั้นฝังรากแน่นอยู่ในสายเลือดพวกเขามาโดยตลอด ข่าวได้ให้ข้อมูลด้วยว่าทุกวันนี้ประเทศจีนมีประชากรผู้สูงอายุมากขึ้น โดยผู้อายุมากกว่า 60 ปี มีถึงหนึ่งในแปดของประชากรทั้งหมด มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้สูงอายุเหล่านี้อาศัยอยู่เพียงลำพัง และมีไม่น้อยที่เสียชีวิตไปอย่างโดดเดี่ยว เรื่องความกตัญญู ความรักใคร่กลมเกลียวกันในหมู่ญาติพี่น้องนั้นเป็นวัฒนธรรมที่โดดเด่นมากของคนจีน คนไทยเราซาบซึ้งเรื่องนี้ดีในช่วงเทศกาลเซ่นไหว้ต่างๆ โดยเฉพาะวันเชงเม้งที่รำลึกถึงบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปของเขา การที่ประเทศอันเป็นจุดต้นกำเนิดของวัฒนธรรมอันโดดเด่นนี้ถึงจุดที่ต้องออกกฎหมายบังคับให้ลูกๆ กลับไปเยี่ยมเยียนดูแลบรรพบุรุษ จึงเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา แสดงให้เห็นผลกระทบจากการพัฒนาประเทศว่าสามารถบั่นทอนทำลายรากฐานของวิถีชีวิตและวัฒนธรรมดั้งเดิมได้อย่างถอนรากถอนโคน คงไม่มีใครปฏิเสธว่าการพัฒนาประเทศและสังคมตามแบบตะวันตกนั้นไม่มีส่วนดีเลย แต่ท่ามกลางความสะดวกสบาย รวดเร็ว ทันสมัยที่เราได้มานั้น ไม่ได้แลกด้วยความเคร่งเครียด การทำงานที่หนักขึ้น และสภาพแวดล้อมที่ทรัพยากรที่ร่อยหรอเสื่อมโทรมลงเท่านั้น เรายังแลกมาด้วยความสัมพันธ์กับคนรอบข้างที่เหือดแห้งลง แม้เทคโนโลยีจะทำให้เรารู้จักผู้คนมากขึ้น ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางขึ้น และเดินทางไปมาหาสู่กันได้เร็วขึ้น แต่เรามีคนที่สนิทสนมกันจริงๆ น้อยลง มีเพื่อนซี้ มีญาติสนิทน้อยลง รวมทั้งมีเวลาดูแลพ่อแม่ลดลงด้วย สิ่งที่สูญเสียไปนั้น แม้ดูเหมือนว่าเป็นเรื่องธรรมดาง่ายๆ อย่างเช่นเรื่องของความรักใคร่ผูกพันกตัญญูของคนในครอบครัว แต่หากสูญเสียไปแล้วแทบจะไม่มีโอกาสได้ฟื้นกลับมาอีกเลย การออกกฎหมายมาบังคับ ดูเหมือนจะเป็นวิธีแก้ไขง่ายๆ ของสังคมยุคนี้ แต่ผู้ที่เกี่ยวข้องคงรู้ดีว่าเป็นเรื่องยากมากในการนำมาปฏิบัติ เพราะสาระมันไม่ได้อยู่ที่การกลับไปให้ได้เห็นหน้ากันเท่านั้น แต่อยู่ที่ความรู้สึกผูกพันห่วงหาอาทรของกันและกันมากกว่า ซึ่งเป็นเรื่องที่กฎหมายบังคับกันไม่ได้กับส่วนสำคัญอีกด้านหนึ่งอยู่ที่ ‘เวลา' ที่ถูกแย่งชิงไปกับการทำงาน และการเสพบริโภคสินค้าหรือบริการสารพัดชนิด ซึ่งเป็นสองกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ก้าวหน้า ที่แม้กฎหมายก็เข้าไปแตะต้องได้ยาก เรื่องนี้แทบไม่ต่างอะไรกับปัญหาการทำแท้งในสังคมไทยขณะนี้ ทั้งในด้านที่เป็นผลพวงของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างไม่รอบคอบ และความพยายามที่จะแก้ปัญหานี้โดยอาศัยช่องทางของกฎหมาย ไม่มีใครปฏิเสธว่าเด็กที่เกิดมาโดยที่พ่อแม่ไม่พร้อมนั้นก่อให้เกิดปัญหาสังคมมากมายตามมา พ่อแม่เด็กซึ่งอยู่ในวัยเรียนก็พลอยหมดอนาคต ส่วนการทำแท้งเถื่อนก็เป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้หญิง แต่การออกกฎหมายให้การฆ่าเด็กผู้บริสุทธิ์ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลยว่าเป็นเรื่องถูกกฎหมายนั้น นอกจากจะเป็นเรื่องโหดร้ายผิดศีลธรรมแล้ว ยังเป็นการสร้างมาตรฐานในการมองชีวิตมนุษย์และสรรพชีวิตใหม่ที่ไม่สอดคล้องกับ "ธรรม" การทำเช่นนี้ยังแก้ปัญหาไม่ได้อย่างแท้จริง เพราะแก้ไม่ตรงจุดที่เป็นต้นเหตุของปัญหาซึ่งเป็นเรื่องทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมอันซับซ้อน เปรียบเสมือนการเย็บปิดปากแผลที่ภายในเต็มไปด้วยหนองและเชื้อโรคร้ายไว้ แน่นอนที่สุดว่าปัญหาที่ใหญ่กว่าจะติดตามมาอีกหลายเรื่อง แต่ที่ดูเหมือนง่าย แก้ปัญหาได้เร็ว เฉียบขาด เพราะมีผู้ได้อำนาจและผลประโยชน์จากเรื่องนี้ จึงมีเจ้าภาพที่ร่วมแรงกันผลักดันอย่างเต็มที่ แต่ใครล่ะจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิด ไม่เฉพาะความรู้สึกผิดที่อาจติดตัวผู้เป็นแม่ หรือผู้ที่มีส่วนช่วยทำแท้งที่เป็นตราบาปคอยทำร้ายเขาไปชั่วชีวิตเท่านั้น ที่สำคัญกว่านั้นคือมาตรฐานใหม่นี้อาจทำให้ขอบเขตความหมายของชีวิตมนุษย์หดแคบลงเหลือเฉพาะผู้ที่มีสิทธิ์ มีเสียง มีความสามารถในการทำงานรับใช้สังคมนี้เท่านั้น คราวนี้เคราะห์กรรมอาจตกอยู่กับเด็กที่อยู่ในท้อง ในอนาคตไม่แน่ว่าใครจะเป็นเหยื่อรายต่อไป อาจเป็นผู้ป่วยที่เป็นเจ้าชาย/เจ้าหญิงนิทรา คนพิการซ้ำซ้อน ผู้ป่วยเรื้อรัง หรือคนชรา ท่านอาจารย์พุทธทาสเฝ้าเตือนอยู่เสมอว่า "ศีลธรรมไม่กลับมา โลกาจะวินาศ" แต่ทุกวันนี้แทนที่จะช่วยกันนำศีลธรรมกลับคืนมาสู่สังคม มีแต่คนพยายามผลักไสเอาเรื่องศีลธรรมให้ห่างไกลไปจากชีวิตและสังคม แล้ววันข้างหน้านี้โลกเราจะอยู่กันอย่างไร โดย.....พระวิชิต ธมฺมชิโต ที่มา คอลัมน์ มองย้อนศร : http://www.budnet.org/
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|