สันติเกิดขึ้นได้หรือไม่ : พระคุณเจ้าบุญเลื่อน หมั้นทรัพย์ |
Thursday, 13 January 2011 | ||||
สันติเกิดขึ้นได้หรือไม่ พระคุณเจ้าบุญเลื่อน หมั้นทรัพย์
จากประวัติศาสตร์ที่เรารู้กันมา มีสงครามน้อยใหญ่กี่พันครั้งแล้วแทบจะนับไม่ถ้วน แม้กระทั่งทุกวันนี้สงครามอาจจะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้ มีสภาพตึงเครียดและเตรียมพร้อมในหลายจุดของโลก การแย่งชิงแหล่งทรัพยากร การแตกพรรคแตกพวกกดขี่ข่มเหงกัน สงครามนอกแบบ การจองล้างจองผลาญข้ามประเทศกัน การจ้องปฏิวัติ พยายามสะสมอาวุธต่างๆ ฯลฯ เหล่านี้เป็นต้น คล้ายกับว่าเรายังไม่เข็ดสงคราม หลายคนถึงกับยินดีบดขยี้สันติเพื่อทำการปฏิวัติโดยพลการรุนแรง ถือเสียว่าเกิดมาเพื่อทำสงคราม จึงมีแต่ความเกลียดชังเคียดแค้นกัน แต่ถ้าจะดูประวัติศาสตร์อีกแง่หนึ่ง ก็จะเห็นว่าในบางที่ บางแห่ง บางสมัย ยังมีสันติบ้าง ซึ่งเรามักจะไม่กล่าวถึง มีผู้ที่พยายามจะทำให้เกิดและรักษาไว้ซึ่งสันติแทบจะนับไม่ถ้วน เช่นกัน มีการเจรจาตกลง ปรองดอง ประชุมขั้นสุดยอด มีโทรศัพท์ "ฮอทไลน์" สายตรง ฯลฯ ซึ่งเรามักจะไม่สนใจเท่าไรนัก
หลายคนจึงบอกว่า โลกเรานี้ ไม่มีสันติเสียแล้ว
พระสันตะปาปา ปอล ที่ 6 ตรัสว่า "สันตินั้นประเสริฐนัก... แต่ทว่า ได้มาด้วยยากเย็นยิ่ง แต่เรามิได้หมายความว่าจะเป็นไปไม่ได้ ทำไมจึงว่าสันตินั้นมีขึ้นได้ เพียงกำลังมนุษย์เท่านั้น จะทำให้เกิดขึ้นและรักษาไว้ได้หรือ... เราใคร่จะให้คำตอบง่ายๆ ด้วยวาจาของพระคริสต์ที่ว่า "ฝ่ายมนุษย์ก็เหลือกำลังที่จะทำได้ แต่พระเจ้าทรงกระทำให้สำเร็จได้ทุกสิ่ง" (มธ 19 : 26)
1. ความเชื่อบอกเราว่า มนุษย์มิได้ถูกปล่อยปละละเลย ให้ไปสู่จุดหมายด้วยลำพังกำลังของตน แต่จะมีพลังอันทรงฤทธิ์และเมตตามาช่วยเหลือ คลี่คลายเหตุการณ์เมื่อถึงยามคับขัน 2. "เราทุกคนต้องถือว่า สันติเกิดขึ้นได้" "เราต้องแสวงหาสันติ" "สันติมิใช่ความเพ้อฝัน แต่มันเป็นหน้าที่ของเราทุกคน" "สันตินั้นหรือ เราทุกคนต้องอยากได้ ต้องรัก และต้องทำให้มันเกิดขึ้นให้ได้" หมายความว่า ถ้าเราดูเหตุการณ์ และพิจารณาตามเหตุผลแล้ว เรายังบอกไม่ได้ว่า สันติจะเกิดขึ้นได้ แต่ความเชื่อนั่นแหล่ะ จะช่วยทำให้เราแน่ใจขึ้น ถ้าเรายังไม่เห็นสันติเกิดขึ้น หรือไม่รู้ว่าทำให้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร เราก็ต้องเชื่อว่า จะมีสันติขึ้นได้ เราต้องเชื่อในสันติ ถ้าทุกคนเชื่อว่าเป็นหน้าที่ของตนที่จะใฝ่หาสันติแล้ว ก็จะต้องได้มันมาสักวันหนึ่ง เพราะไม่มีใครบังคับให้เราทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ 3. เราต้องใช้ความสามารถของเราทั้งหมด ทำให้เกิดสันติขึ้นให้ได้ ที่ว่าต้องทำให้เกิดสันติขึ้นให้ได้นั้น ก็เพราะมิใช่ว่า พอเชื่อแล้วสันติก็เกิดขึ้นเองได้ทันที สันติมิใช่ผลของเหตุบังเอิญ มันจะเป็นพระคุณจากเบื้องบน พระก็ยังให้เป็นไปตามใจอิสระของมนุษย์ สันติไม่ว่าสมัยใด ย่อมแล้วแต่มนุษย์
ปัจจุบันมนุษย์มีอำนาจเหนือโลก ยิ่งนับวันมนุษย์ก็ยิ่งมีความฉลาดรอบรู้ มีเทคนิคและความสามารถมากขึ้น ทำให้มีความสัมพันธ์กันทั่วโลก แตกต่างกันไปจากสมัยก่อน ฉะนั้น สมัยนี้ เราจะพูดถึงสันติแบบที่เราเคยพูดกันสมัยก่อนประมาณ 20 ปีไม่ได้เสียแล้ว โลกสมัยนี้ต้องการสันติแบบใหม่ ปัจจุบันสงครามเป็นสิ่งที่ล้าสมัย เพราะมหันตภัยที่จะเกิดจากสงคราม เนื่องจากอาวุธอันร้ายกาจและแปลกประหลาดที่ประเทศมหาอำนาจแข่งกันสร้างสมไว้ เหล่านี้ล้วนทำให้เห็นว่า การทำสงครามนั้นไร้ความหมาย ทุกวันนี้ ความบ้าระห่ำทำสงครามกลับกลืนตัวมันเอง กลายเป็นปัจจัยอันหนึ่งที่ทำให้มีสันติได้ สงครามสมัยใหม่บังคับเราให้ใฝ่หาสันติ นี่แหละเป็นโอกาสเหมาะที่จะให้มีสันติแก่คนสมัยเราได้ เหตุว่า "เราต้องใช้เหตุผล มิใช่พลการ เพื่อตัดสินโชคชะตาประชาชน"
เราทุกคนต้องใฝ่หาสันติ แต่ไม่ใช่สันติแบบโบราณ เราต้องช่วยกันเปลี่ยน ช่วยกันสร้าง ช่วยกันประดิษฐ์สันติแบบใหม่ขึ้นมาตามโอกาส และปัจจุบันเท่าที่เรามี มนุษย์สมัยนี้ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ย่อมอยากจะมีส่วนร่วมรับผิดชอบในสังคมส่วนรวม จึงควรจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงร่างของสถาบันต่างๆ ตลอดจนถึงสถาบันของชาติ และสถาบันระหว่างชาติ เพื่อให้ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบในความดีส่วนรวมได้จริงๆ ตลอดไป ในการช่วยกันสร้างสันติใหม่นี้ขึ้นมา เราควรใช้หลักการ หรือ "เสาเอก" ที่พระสันตะปาปา ยอห์น ที่ 23 ได้ทรงให้ไว้ในพระสมณสาสน์สันติสุขในโลก นั่นก็คือ ความวางใจกัน ความยุติธรรม ความรัก และเสรีภาพ เสาเอกแต่ละต้นนี้ จะอยู่โดดเดี่ยวไม่ได้ ต้องอยู่พร้อมกันหมดทั้งสี่ต้น จึงจะสร้างสันติขึ้นมาได้ จงช่วยกันทำให้เกิดสันติ
โลกนี้ยังอยู่กันได้โดยสันติ มากบ้าง น้อยบ้าง แต่ก็ยังมีสันติ ทั้งนี้ เนื่องจากเราได้พยายามสร้างองค์การต่างๆ ขึ้นมา ไม่ว่าระดับชาติ หรือระหว่างชาติ มีทั้งองค์การค้า องค์การเมือง องค์การวัฒนธรรม ตลอดจนคณะนักการทูต ที่เจรจากันอย่างเปิดเผยบ้าง อย่างลับๆ เป็นการส่วนตัวบ้าง ฯลฯ ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยกันสร้างและประคับประคองสันติไว้ในโลก แต่ดูเหมือนวิธีนี้ยังไม่พอ เพราะเมื่อจะทำสงคราม เขาต้องรู้จักเทคนิค และมีผู้เชี่ยวชาญในการสงคราม เพื่อจะมีสันติภาพขึ้นได้ เราก็ยิ่งต้องรู้จักเทคนิค และมีผู้เชี่ยวชาญในการสร้างสันติภาพด้วย เมื่อจะมีสันติ เราต้องการคนที่มีจิตใจสูง และนักเทววิทยา
วิธีสำคัญอย่างหนึ่งที่เราต้องนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ก็คือ วิทยาการ เพราะสันติมิใช่สิ่งที่เราจะเนรมิตขึ้นมาได้ในพริบตา แต่ต้องการคนที่มีความรู้ความชำนาญ ต้องมีกำลังคนและกำลังทรัพย์ไว้ให้พร้อม เราต้องช่วยกันเตรียมคน ฝึกหัดคนให้พร้อม และต้อง "ฟิต" เช่นเดียวกับนักวิ่งแข่ง (ความคิดของนักบุญเปาโล) เพื่อจะสามารถคว้าเอาสันติภาพมาเป็นรางวัลได้ เพื่อจะทำให้เกิดสันติภาพขึ้นได้นั้น เราต้องไว้ใจในธรรมชาติมนุษย์ ไว้ใจในความสามารถที่มนุษย์แต่ละคนมี "สันติภาพเกิดขึ้นได้ ทั้งนี้ ก็เพราะมนุษย์นั้นตามหลักการแล้วย่อมดีและใฝ่หาเหตุผล ความมีระเบียบ และความดีส่วนรวม" แม้จะมีมนุษย์ไม่ดีอยู่ไม่น้อย แต่เราก็ควรไว้ใจในน้ำใจดีของมนุษย์ทุกคน เพราะคนเราทุกคน แม้จะบาปหนาสักเท่าไร แม้จะยังไม่รู้จักพระเจ้า ก็ยังเป็นฉายาลักษณ์ของพระองค์และได้รับการไถ่กู้โดยพระบุตร สันติภาพแบบนี้ ดูเป็นการเสี่ยงก็จริง แต่เราอย่าลืมว่า คน นอกจากมี "หัวคิด" แล้วก็ยังมี "หัวใจ" คือ น้ำใจอีกด้วย สันติภาพจะเกิดขึ้นได้ ก็เพราะคนเรามีใจอยากได้มัน ที่อยากได้ ก็เพราะต้องการมันนั่นเอง เหมือนร่างกายต้องการให้มีสุขภาพดี ยิ่งมีสงครามกลางเมือง มีการนัดหยุดงานนานๆ ความต้องการความปลอดภัย ต้องการความสมัครสมานสามัคคี เป็นพี่น้องกัน ก็ย่อมมีมากขึ้นเป็นทวีคูณ พระศาสนจักรสมัยปัจจุบันพร่ำสอนว่า สันติมีพลัง เป็นพลังที่ผลักดัน และเมื่อมีสันติอยู่ สันตินี้ก็กลายเป็นศูนย์ดึงดูด และเป็นเครื่องหมายของความเจริญ พระสันตะปาปา ปอลที่ 6 ทรงเปรียบเทียบไว้ว่า สันติเปรียบได้กับเครื่องบิน ซึ่งหนักกว่าอากาศ แต่จะบินได้ ถ้าหากมันเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างแรงและรวดเร็ว ทั้งนี้ หมายความว่า สันติภาพเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับอนาคต ต้องมุ่งหน้าไปสู่อนาคตเท่านั้น สันติภาพอยู่นอกเหนือประวัติศาสตร์ เพราะสันติภาพนั้น จะครบครันได้ก็ในวาระสุดท้ายเท่านั้น
เช่นเดียวกับสิ่งสร้างทั้งหลาย รวมทั้งมนุษย์และพระศาสนจักรด้วย ฉะนั้น การทำให้เกิดสันติขึ้นในปัจจุบันนี้ จึงหมายความว่า เรายอมรับความจริงดังกล่าวมานี้ และมนุษย์ทุกคน ทุกสังคม ต่างก็จะต้องพยายามปฏิบัติตามความจริงเหล่านี้ด้วย
จงช่วยกันด้วยพลัง "รัก" ทั้งนี้หมายถึงความรักตามแนวตั้งที่มุ่งขึ้นสู่พระ และความรักตามแนวนอนที่จะแผ่ไปยังมนุษย์ทุกคน ทุกชาติ ทุกภาษา ทุกหมู่เหล่า ทุกลัทธิ เพราะมนุษย์ทุกคนเป็นพี่น้องกันนั่นเอง
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|