หน้าหลัก
หน้าหลัก
รู้จักยส
อยู่กับปวงประชา
ข่าวย้อนหลัง
เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน
ผู้ไถ่ : รายงานสถานการณ์
การศึกษาเพื่อสิทธิ&สันติภาพ
สื่อสิ่งพิมพ์ ยส.
มุมมองสิทธิฯ ในหนัง
กิจกรรม ยส.
คลังภาพ ยส.
เว็บบอร์ด ยส.
เว็บเพื่อนบ้าน
Facebook ยส.

ยส. (ยุติธรรมและสันติ)

จำนวนผู้เข้าชม
ขณะนี้มี 108 บุคคลทั่วไป ออนไลน์

คลิก เขียนสมุดเยี่ยมคลิก เขียนสมุดเยี่ยม
ขอบคุณทุกท่าน
ที่แวะเข้ามาค่ะ

แนะนำสื่อ ฉบับล่าสุด


วารสารผู้ไถ่ ฉบับที่ 123: ชีวิต การต่อสู้ เพื่อความดีของกันและกัน กำลังใจ ความรัก และความหวัง
 วารสารผู้ไถ่
ฉบับที่ 123


วันสันติสากล 1 มกราคม 2024
 สารวันสันติสากล
1 มกราคม 2024
ปัญญาประดิษฐ์
และสันติภาพ


น้ำแห่งชีวิต (Aqua fons vitae)
 น้ำแห่งชีวิต
(Aqua fons vitae)
สมณกระทรวงเพื่อ
ส่งเสริมการพัฒนา
มนุษย์แบบองค์รวม


สมณลิขิตเตือนใจ...แอมะซอนที่รัก (QUERIDA AMAZONIA)
 แอมะซอนที่รัก
(QUERIDA AMAZONIA)
สมณลิขิตเตือนใจ...
ของสมเด็จ-
พระสันตะปาปาฟรังซิส


จงสรรเสริญพระเจ้า... การก้าวออกไปอย่างต่อเนื่องของเอเชีย
หนังสือแปล
จงสรรเสริญพระเจ้า...
การก้าวออกไป
อย่างต่อเนื่องของเอเชีย


ประมวลหลักคำสอนด้านสังคมของพระศาสนจักร ภาคที่ 2 และ3
หนังสือแปล
Compendium...
ประมวลหลักคำสอน
ด้านสังคมของ
พระศาสนจักร
ภาคที่ 2 และ3
 


ประมวลหลักคำสอนด้านสังคมของพระศาสนจักร ภาคที่ 1
หนังสือแปล
Compendium...
ประมวลหลักคำสอน
ด้านสังคมของ
พระศาสนจักร ภาคที่ 1



หนังสือ Jesus CEO :  พระเยซูเจ้า นักบริหารชั้นนำ
หนังสือแปล
Jesus CEO :
พระเยซูเจ้า
นักบริหารชั้นนำ



หนังสือ เส้นทางสู่สิทธิมนุษยชนศึกษา
หนังสือ เส้นทางสู่
สิทธิมนุษยชนศึกษา


พระสมณสาสน์ความรักในความจริง : Caritas in Veritate
หนังสือแปล
Caritas in Veritate :

พระสมณสาสน์
ความรักในความจริง



โปสเตอร์ อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติ พ.ศ.2532
โปสเตอร์
อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก
แห่งสหประชาชาติ
พ.ศ.2532


เว็บเพื่อนบ้าน

แวดวงต่างประเทศ

Pax Christi International - PCI

ACPP - Hotline Asia


ดูเว็บอื่นๆ ในหมวด

เว็บน่าสนใจ

เว็บด้านสิทธิฯ

ข่าวสาร/บันเทิง

หน่วยงานองค์กรคาทอลิก


ความรัก ความจริง ความยุติธรรม จากมุมมอง ๓ ศาสนา : ศาสนาพุทธ พิมพ์
Tuesday, 10 August 2010

Image

ความรัก ความจริง ความยุติธรรม : ในห้วงเวลาฟื้นฟูสังคม

จากมุมมอง ๓ ศาสนา


พระไพศาล วิสาโล เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต จ.ชัยภูมิ

Imageความรัก ความจริง ความยุติธรรม เป็นหัวข้อที่น่าสนใจมาก เพราะเป็นสิ่งที่ขาดแคลนมากในปัจจุบัน และเพราะว่ามันขาดแคลนจึงเกิดความรุนแรงขึ้นในเดือนพฤษภาคม และก็ความรุนแรงต่างๆ มากมายก่อนหน้านี้ จริงๆ แล้วอาตมามองว่าเหตุการณ์เมื่อเดือนพฤษภาคม มันไม่ใช่เป็นเหตุการณ์โดยตรง แต่มันเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ความรุนแรงของเมืองไทยที่เกิดขึ้นมาตลอด ๗ ปี ที่ผ่านมา อันนี้ยังไม่ต้องพูดไปถึงพฤษภาคม ๓๕ ที่มีความรุนแรงอย่างที่เราทราบกัน เอาแต่ว่าในช่วง ๗ ปีที่ผ่านมา เริ่มตั้งแต่วันที่ปล้นปืนจากค่ายทหารที่เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อ ๔ มกราคม ๔๗ ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า "โจรกระจอก" ที่ทักษิณให้สัมภาษณ์ไว้ นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาสังคมไทยจะเต็มไปด้วยข่าวคราวความรุนแรง และความร้าวฉานในบ้านเมือง กรณีปี ๔๗ ดูเผินๆ ก็คือความปริร้าวระหว่างชุมชนไทยพุทธกับไทยมุสลิม หรืออาจจะมองว่าเป็นแค่ความขัดแย้งที่จำกัดแค่ สามจังหวัดภาคใต้ แต่ที่จริงแล้วมันมีรากเหง้า สาเหตุเรื่องเดียวกันมาจนถึงกรณีการชุมนุมคนเสื้อแดง แล้วก็จนกระทั่งมาลงเอยที่ความรุนแรงเมื่อเดือนพฤษภาคม มันเป็นเรื่องเดียวกันอย่างไร ทั้งๆ ที่สถานที่เกิดเหตุก็ต่างกัน แล้วก็ตัว actors หรือตัวผู้คนที่เกี่ยวข้องก็แทบจะไม่เหมือนกันเลย เพราะว่าผู้ที่ก่อความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ขบวนการ นปช. ถ้าเราไม่ติดที่ตัวบุคคล เรามองไปจนถึงรากเหง้าของปัญหา ก็จะเห็นว่าเป็นเรื่องเดียวกันก็คือ ๑. เรื่องของความยากจน ความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจ หรือความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และข้อที่ ๒ ก็คือ ความไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะจากคนของรัฐ

อาตมาตอนที่เป็นกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์ (กอส.) เราได้มีการศึกษากันมาเกือบปี และเราก็สรุปว่า สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จริงอยู่มันมีขบวนการผู้ก่อความไม่สงบ ซึ่งเราจะเรียกเป็นผู้หัวรุนแรงทางชาติพันธุ์ ทางศาสนา หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ว่าขบวนการเหล่านี้ไม่สามารถจะมีผู้คนมาสนับสนุนเป็นหมื่นเป็นแสนได้ ถ้าหากว่าขาด ๒ เหตุปัจจัย ปัจจัยที่หนึ่งคือ ความยากจน สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประชาชนยากจนมาก เฉลี่ยแล้วยากจนกว่าภูมิภาคใดในทุกภาคของประเทศ นี่กำหนดถึงอัตราเฉลี่ยในเชิงระดับภูมิภาค แถวภาคใต้จะต่ำมาก และก็ประมาณเกือบครึ่งหนึ่งของคนจนในภาคใต้ก็อยู่ที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และประการที่สอง กอส. สรุปพบว่า มีปัญหาความไม่เป็นธรรมที่เกิดจากเจ้าหน้าที่ ซึ่งทำให้ชาวบ้านรู้สึกว่าเขาเป็นพลเมืองชั้นสอง ซึ่งสองประการนี้เป็นที่มาแห่งการเกิดขบวนการคนเสื้อแดง หรือว่าทำให้คนจำนวนไม่น้อยทางภาคอีสาน ภาคเหนือ แล้วก็ในเขตยากจนหรือว่าในเขตเมือง เช่น กรุงเทพฯ หันมาสนับสนุนคนอย่างคุณทักษิณ ซึ่ง อ.อคิน ได้พูดถึงระบบอุปถัมภ์เมื่อสักครู่นี้ การที่ประชาชนต้องการผู้นำที่เป็นผู้อุปถัมภ์ ต้องการ ส.ส.ที่ไม่ใช่ตัวแทน แต่เป็นผู้อุปถัมภ์ก็เพราะว่าเขาไม่สามารถที่จะเข้าถึงทรัพยากร หรือบริการของรัฐด้วยระบบปกติได้ ก็เพราะเขาเป็นคนยากจน เมื่อเขาไม่มีวิธีการเข้าถึง นอกจากนั้นก็ยังไม่สามารถปกครองตนเองจากการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรมของเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ว่าที่เป็นตำรวจ ป่าไม้ ไม่ว่าจะเป็นนายอำเภอ และสิ่งเดียวที่จะคุ้มกันเขาได้ก็คือ ส.ส. ใครก็ตามที่มีเส้นหรือมีเครือข่าย เช่น เป็นหัวคะแนนของ ส.ส.ก็จะได้รับความเกรงใจจากนายอำเภอ โดยเฉพาะในสมัยของคุณทักษิณ ใครที่เป็นเครือข่ายหัวคะแนนของพรรคไทยรักไทย นายอำเภอก็กลัว เพราะนายอำเภอ หรือข้าราชการกลัว ส.ส.ไทยรักไทย เพราะว่าสมัยนั้น ส.ส.มีอำนาจมากกว่าข้าราชการ สามารถจะสั่งย้ายผู้ว่าราชการจังหวัดได้ด้วยซ้ำ นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ประชาชนเทใจไปให้คุณทักษิณ เพราะว่าสามารถจะเป็นผู้อุปถัมภ์ให้แก่เขาในการที่จะเข้าถึงทรัพยากร บริการของรัฐ และรับการปกป้องจากการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ที่ไม่เป็นธรรม สภาพเช่นนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะว่ามันมีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และมันมีความไม่เป็นธรรมของสังคมซึ่งทำให้ผู้คนโหยหาผู้อุปถัมภ์ ในเมืองไทยเราจะทำอะไรสำเร็จได้ต้องมี ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง ๑.เงิน ๒.เส้น คนใช้การมีเงินและมีเส้น แต่ชาวบ้านไม่มีเงินและไม่มีเส้น เพราะฉะนั้น เขาก็ต้องอาศัยหาเส้นกันไป คือ ส.ส. นักการเมือง รัฐมนตรี และชื่อคุณทักษิณก็สามารถใช้ตอบสนองตรงนี้ได้

Imageอาตมาพูดมาทั้งหมดนี้ เพื่อชี้ให้เห็นว่าความรุนแรงตั้งแต่ ๔ มกราคม ๔๗ ถึง ๑๙ พฤษภาคม ๕๓ ถึงแม้ว่า actors และสถานที่เป็นคนละอันแต่ว่าจริงๆ แล้ว หากเรามองในเชิงโครงสร้างและปัจจัยในทางสังคม เป็นเรื่องเกี่ยวกับปัญหาของเมืองไทยก็คือว่า เรามักจะมองปัญหาในเชิงตัวบุคคล เราก็เลยไม่สามารถที่จะมองให้ลึกถึงปัญหาในเชิงโครงสร้างได้ และเราก็คิดว่าที่คนเสื้อแดงเกิดขึ้นมามากมาย เป็นเพราะคนอย่างคุณทักษิณ แต่เราไม่ได้มองว่ามันมีปัจจัยเบื้องหลังทางสังคม ทำให้มีคนแบบนี้ ทำให้ประชาชนจำนวนมากมาเทใจให้คุณทักษิณ แต่สังคมแบบนี้ถึงแม้ว่าไม่มีคุณทักษิณ เมื่อคุณทักษิณเกิดมีอันเป็นไปขึ้นมา และถ้ามีคนแบบคุณทักษิณ ประชาชนก็หันมาเทใจให้อีกเหมือนกับกรณีในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ถึงแม้ว่าจะจับผู้ก่อความไม่สงบได้ แต่วันพรุ่งนี้ ถ้ารากเหง้าแบบนี้ยังคงมีอยู่ มันก็ต้องมีปัญหาอย่างที่เกิดขึ้นอีก เพราะรากเหง้าในเชิงโครงสร้างมันยังอยู่ อย่างนี้ก็เลยโยงมาถึงเรื่องที่อาตมาพูดไว้ตั้งแต่ต้นว่า ความรักก็ดี ความจริงก็ดี ความยุติธรรมก็ดี มันเป็นสิ่งที่ขาดหายไปในสังคมไทย เพราะว่าโครงสร้างปัญหาที่เกิดขึ้น รวมทั้งกรณีเกิดโครงสร้าง กระแสทุนนิยม หรือบริโภคนิยม อย่างที่ อ.อคิน พูดถึง มันไม่เพียงแต่ทำให้ ส.ส. หรือผู้นำ หาคนซื่อสัตย์ได้ยากเท่านั้น แต่มันทำให้ความรักในสังคมไทยหายไปมาก ผู้คนต่างมองซึ่งกันและกัน ถ้าไม่เป็นปฏิปักษ์ก็เป็นเหยื่อ นี่เป็นอิทธิพลของทุนนิยมที่ทำให้การมองอะไรเป็นศัตรู เป็นคู่แข่ง หรืออาจจะเอาเปรียบกันและกัน

อาตมาคิดว่า ปัจจุบันนี้ เราไม่ได้มองซึ่งกันและกันเป็นเหยื่อที่จะเอาเปรียบเท่านั้น แต่ที่หนักไปกว่านั้นคือ มีความโกรธเกลียดเกิดขึ้นมาในสังคมไทย ซึ่งอันนี้อาตมาคิดว่าเป็นอิทธิพลของอุดมการณ์หลายๆ อย่าง โดยเฉพาะอุดมการณ์ชาตินิยมแบบเก่าๆ ด้วยที่ทำให้เราไม่สามารถจะยอมรับความแตกต่างทางความคิดเห็นได้ เพราะเรานิยมแบบไทยๆ ที่เรียกว่า ชาตินิยมแบบราชการ นี่ก็คือการมองว่าทุกคนต้องคิดเหมือนกัน จะเป็นคนไทยต้องพูดภาษาเดียวกัน ถ้าพูดภาษายาวีแสดงว่าไม่ใช่ไทย พูดภาษากะเหรี่ยงไม่ใช่ไทย เป็นคนต้องมีชื่อและนามสกุล ถ้ามีแซ่ อย่างอาตมาสมัยก่อนไม่ใช่ไทย ที่อาตมาเปลี่ยนแซ่ก็เพราะกลัวว่าจะไม่ใช่ไทยและต้องทำหลายๆ อย่างให้เหมือนกัน คุณต้องใส่กางเกงไปราชการ ถ้าใส่โสร่งไป คุณก็ไม่เป็นไทย มีปัญหามากในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะว่าเขาไม่เป็นไทย ความเป็นไทยคือว่าต้องเป็นเหมือนกัน ไอ้ความคิดที่ว่าเป็นไทยต้องเป็นเหมือนกัน มันก็รวมว่าต้องคิดเหมือนกันด้วย เมื่อคิดเหมือนกันก็หมายความว่าต้อง ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เหมือนกัน ในแบบแผนที่เขากำหนดไว้ ตรงนี้มันมีปัญหาเพราะว่าปัจจุบันสังคมไทยเป็นโลกาภิวัตน์ ซึ่งมีความแตกต่างหลากหลายมาก การที่จะคิดเหมือนกันจึงยาก แต่ว่าเราไม่ยอมรับความคิดที่แตกต่างกันทำให้เกิดความโกรธ เกลียด เกิดอคติกัน คือว่าขาดขันติธรรม พอขาดขันติธรรม ความแตกต่างจึงกลายเป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้ง และเกิดความรังเกียจเดียดฉันท์ และเวลาที่เราทะเลาะกัน เราเกลียดกัน เพราะว่าคิดไม่เหมือนกัน เพียงแค่ใส่เสื้อคนละสีก็สามารถทำให้ผัวเมีย พี่น้อง พ่อแม่ ทะเลาะกัน ไม่เผาผีกัน อันนี้เป็นตัวอย่างของความโกรธเกลียดที่มีในสังคมไทย

Imageอาตมาไม่ได้คิด ไม่ได้หวังว่าจะให้ทุกคนมารักกัน ขอให้คนไทยเคารพกันก็พอ เคารพสิทธิประชาชนก็พอ มันต่างกันนะ ระหว่างการเคารพสิทธิกับความรัก ความรักเป็นสิ่งที่ดี แต่ตอนนี้อาตมาคิดว่าเราเรียกร้องมากไป เอาแค่ว่าเคารพสิทธิกัน สิทธิที่จะเห็นต่าง ถ้าเรามีความเคารพสิทธิที่เห็นต่าง อาตมาคิดว่าเมืองไทยจะน่ารักกว่านี้ แต่เราไม่ได้เคารพสิทธิที่จะเห็นต่าง ใครที่คิดต่างจากเรา เราก็นึกด่าในใจ แล้วก็จะป้ายสีซะด้วยซ้ำว่า ไอ้นี่เป็นศัตรูของเรา และที่น่ากลัวคือเรามีความเชื่อมีความคิดเรื่องอำนาจเงียบทางศีลธรรม หมายความว่า ถ้าเราเห็นหรือคิดว่าใครผิดศีลธรรม หรือผิดกฎหมาย เราสามารถใช้อำนาจกับเขายังไงก็ได้ ในความคิดแบบนี้ คนผิดมีสิทธิเป็นศูนย์ ในสังคมไทยตอนนี้เรามีความคิดแบบนี้มากนะ คนผิดมีสิทธิเป็นศูนย์ ผู้ต้องหาฆ่าข่มขืน ถ้ามาทำแผนประทุษกรรมกลางกรุง มีสิทธิถูกกระทืบตายได้ ถูกประชาทัณฑ์บ่อยครั้งเลย และคนประชาทัณฑ์ไม่ผิดนะ ไอ้คนผิดคือผู้ต้องหาในสังคมไทย เรามองว่าผู้ต้องหาฆ่าข่มขืนไม่มีสิทธิ ไม่มีสิทธิที่จะอยู่ด้วยซ้ำ ถือเป็นศูนย์ เวลาคนคุกเขาประท้วง เมืองไทยมักจะจบด้วยว่า คนคุกที่ประท้วงตาย ไม่ตายเดี๋ยวนั้นก็ตายในวันหลัง แขวนคอตาย ฆ่าตัวตาย แต่เราก็รู้ว่าเขาไม่ได้ตายในลักษณะนั้น และคนไทยเห็นด้วยเพราะเห็นว่าคนในคุกมีสิทธิเป็นศูนย์อยู่แล้ว ไม่มีสิทธิประท้วง ไม่มีสิทธิแม้จะมีชีวิตด้วยซ้ำ คนที่เป็นพ่อค้ายาเสพติดก็สมควรตาย ด้วยการวิสามัญฆาตกรรม ฆ่าตัดตอน เราก็ไม่รู้สึกอะไร เพราะว่าคนผิดมันสมควรตาย อันนี้ไม่ต้องพูดคำว่าตัดสินกันโดยกระบวนการยุติธรรมหรือเปล่า เพียงแค่เราสรุปว่าเขาผิดเขาก็สมควรตายแล้ว ซึ่งมันไม่ควรในสังคมที่มีนิติธรรม ไม่ต้องพูดถึงสังคมที่มีศาสนานะ เป็นแค่ผู้ต้องหาก็ควรจะมีสิทธิตามกฎหมาย หรือแม้แต่เป็นนักโทษแล้ว คุณก็มีสิทธิในชีวิต มีสิทธิในหลายสิ่งหลายอย่าง ไม่ใช่มีสิทธิเป็นศูนย์ อย่างที่เชื่อกันในหมู่สังคมไทยในเวลานี้ เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกว่าทำไมคนไทยจำนวนมาก พอเชื่อว่าพวก นปช.เป็นผู้ก่อการร้ายจึงสมควรตาย ก็จะมีเสียงคนสนับสนุนว่าต้องใช้ความรุนแรงปราบให้เหี้ยน เพราะมันคือผู้ก่อการร้าย ซึ่งอันนี้อาตมาคิดว่าถ้าเรามีความคิดแบบนี้ สังคมไทยจะหาความสงบสุขไม่ได้ เพราะว่าเรามีการตัดสินคนผิดอยู่ตลอดเวลา ไม่ผิดกฎหมายหรือผิดศีลธรรม หรือว่าผิดเพียงแค่เห็นต่างจากเรา แต่พอเห็นผิดเขาก็มีสิทธิเป็นศูนย์ เขาก็สมควรตาย กฎหมายไม่มีความหมาย รัฐธรรมนูญไม่มีความหมาย ไม่ต้องพูดถึงหลักศาสนา หลักศีลธรรม ที่พูดถึงเรื่องความรัก อาตมาคิดว่ายังไม่ต้องพูดถึงเรื่องความรักมากไป แต่ถ้าได้ก็ดี เอาแค่ว่าเคารพสิทธิ แม้เขาจะผิด เขาก็ยังมีสิทธิในความเป็นมนุษย์ เขามีสิทธิในชีวิต เขามีสิทธิที่จะมีตัวแทน เขามีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็น เพราะว่าถ้าจะผิดบางเรื่องแต่ก็จะถูกบางเรื่องก็ได้


ความจริง

อาตมาคิดว่าเป็นสิ่งที่ขาดหายไปในสังคมไทย เพราะเวลานี้ความจริง โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับตัวบุคคลนะ มันจะมีความเป็นสีเทา แต่เวลานี้เรามักจะมองความจริงเป็นขาวและดำ ทั้งสองฝ่าย ในความขัดแย้ง ต่างมองเห็นอีกฝ่ายหนึ่งเป็นดำ และพวกตัวเองเป็นขาว ฝ่ายรัฐบาลก็มองว่ารัฐบาลถูก ส่วนฝ่าย นปช.นี่ดำ ฝ่าย นปช.ก็บอกว่า ฉันน่ะถูก รัฐบาลน่ะดำ และเพราะฉะนั้น สังคมไทยก็เลยแตกขั้วกันเป็น ๒ ฝ่าย สมัยก่อนเวลาเรามีประท้วงกัน ๑๔ ตุลาก็ดี พฤษภาก็ดี มันไม่เคยมีความแตกขั้วกันมากขนาดนี้ ก็เพราะชัดว่าใครขาวใครดำ สมัย ๑๔ ตุลานี้ก็ชัดว่า รัฐบาลถนอม-ดำ ศูนย์นิสิต-ขาวเป็นพวกบริสุทธิ์ พฤษภาทมิฬก็ชัดว่า รัฐบาล รสช.- ดำ ทหารเผด็จการ ฝ่ายประชาชนเรียกร้องประชาธิปไตย เรียกร้องนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นพลังบริสุทธิ์ - ขาว คนก็เทมาให้ฝ่ายศูนย์นิสิต เทใจมาให้ฝ่ายผู้เรียกร้องประชาธิปไตย มันยังไม่มีการแบ่งเป็นขั้วเป็นข้าง เป็นครึ่งอย่างเมืองไทยที่ผ่านมา

Imageปัญหาก็คือว่า ในเมืองไทยปัจจุบันนี้ มันไม่มีอะไรที่ขาวและดำขนาดนั้น มันเป็นสีเทา ความจริงเป็นสีเทา แต่เราไม่สามารถจะเห็นความจริงเป็นสีเทาได้ ความจริงถูกสร้างภาพขึ้นมาว่าฝ่ายหนึ่งขาว ฝ่ายหนึ่งดำ แต่ทั้งสองฝ่ายก็จะมองซึ่งกันและกัน จะมองอีกฝ่ายหนึ่งว่าเป็นดำ ทั้งๆ ที่ในฝ่ายที่มองว่าดำก็มีขาวอยู่ด้วย และในฝ่ายตัวเองที่มองว่าขาว มันก็มีดำอยู่ด้วย มันเทา ฉะนั้นคนที่มองว่า เออ มันไม่มีอะไรที่ดำและขาวชัดเจน มันเป็นสีเทา แต่ละฝ่ายมองขาวและดำ มันก็จะแบ่งเป็น ๒ ขั้ว ฝ่ายรัฐบาลก็จะมองเห็นว่า นปช.มีคุณทักษิณอยู่โจ่งแจ้งก็ดำ แต่ฝ่าย นปช.มองว่ารัฐบาลมีทหารหนุนหลัง พวกนี้ดำ แต่ในความเป็นจริงคือว่า มันมีทั้งขาวและดำอยู่ด้วยกัน ความจริงเป็นอย่างนั้น แต่ว่าเราไม่สามารถจะมองเห็นได้ และสื่อต่างๆ ก็พยายามสร้างภาพให้เห็นว่า โลกนี้ ขบวนการต่างๆ นี่เป็นขาวและดำ อาตมาคิดว่า ทำอย่างไรจึงจะสามารถเห็นความจริงว่ามันไม่ใช่ขาวและดำอย่างนั้น มันไม่ใช่เป็นการต่อสู้ระหว่างเทพกับมารอย่างที่เราเคยมองเคยคิดในสมัยพฤษภาทมิฬ ฉะนั้น ในสมัยที่มองว่าอะไรเป็นขาวและดำ มันจะไม่มีที่ให้กับคนที่อยู่ตรงกลาง แต่ที่ จอร์ช บุช บอกว่า ถ้าคุณไม่อยู่ข้างผม คุณก็อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับผม ถ้าคุณไม่อยู่ข้างผม คุณก็อยู่ฝ่ายผู้ก่อการร้าย เพราะเขามองว่ากรณี ๑๑ กันยายน เป็นเรื่องของขาวกับดำ มันไม่มีที่ว่างให้ตรงกลางอยู่ แต่ในความเป็นจริง กรณี นปช. กรณีการประท้วง ๒ ปีที่ผ่านมานี้ อาตมามองว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น อาตมาคิดว่านี่คือความจริงที่มันหายไป ความจริงที่ผู้ที่เกี่ยวข้องในความขัดแย้งเป็นสีเทาทั้งคู่ ไม่ใช่ขาวและดำ และทำยังไงถึงจะมองให้ได้ อันนี้ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง

ความจริงอีกประเด็นหนึ่งที่อาตมาคิดว่าได้พูดไปนิดหน่อยก็คือว่า เราจะต้องไม่มองความจริงในลักษณะของปัจเจกบุคคล คือเรามักจะมองปัญหาต่างๆ ว่าเกิดจากตัวบุคคล เรามองกันแบบนี้ตลอด และจะมีอิทธิพลของศาสนาด้วย คือเรามองว่าปัญหาสังคมเกิดขึ้นเพราะมีคนไม่ดีบางคนหรือหลายคน ถ้าจัดการคนไม่ดีนั้นเสีย บ้านเมืองก็สงบสุข เพราะฉะนั้นก็ใช้ความรุนแรงจัดการ แต่เราไม่สามารถจะมองเห็นว่าปัญหาสังคมนี้ มีคนไม่ดีอยู่ มีนักการเมืองที่ไม่ซื่อสัตย์อยู่ มีนักการเมืองที่คอร์รัปชั่นอยู่ แต่ว่ามันมีสาเหตุรากเหง้าที่ลึกไปกว่านั้นที่ทำให้คนที่เป็นนักการเมืองไม่ซื่อสัตย์ ทำไมถึงขึ้นมาเป็นใหญ่ได้ มันต้องมีปัจจัยทางสังคมที่ทำให้คนที่ไม่เข้าท่าขึ้นมาเป็นใหญ่ได้ ซูสีไทเฮาจะไม่สามารถขึ้นมาเป็นใหญ่ในประเทศจีนได้ ถ้าระบบจักรพรรดิและระบบการปกครองมันไม่ตกต่ำ คนเรานี่จะแป้ก ถ้าระบบมันดีเนี่ย แป้กตั้งแต่ตอนที่เป็นนางสนมแล้ว จะไม่ขึ้นมาเป็น ๑ ใน ๔ ฮองเฮา และเข้ามาเป็นอันดับ ๑ ได้ เพราะระบบมันเละ ระบบขุนนางกังฉินกันหมด ทำให้มีการซื้อขายกันอย่างมากมาย อาตมาคิดว่าเราไม่มองว่า การที่คนไม่ดีขึ้นมาเป็นใหญ่ได้มันมีปัญหาจากรากเหง้าของสังคม รวมทั้งวัฒนธรรมที่มันมีปัญหา มีความผิดพลาด ฉะนั้นอาตมาคิดว่า ความจริงในเชิงโครงสร้างเป็นสิ่งที่มักจะมองไม่เห็น และเราก็เห็นแต่ความจริงในเชิงบุคคล และเราคิดแต่จะไล่ส่ง กำจัดบุคคล เพราะคิดว่ากำจัดคุณทักษิณไปทุกอย่างจะเรียบร้อย ถ้าเอานักการเมืองคอร์รัปชั่นออกไป บ้านเมืองจะเรียบร้อย แต่มันไม่มีทาง เพราะว่าระบบนี้มันจะสร้างคนแบบคุณทักษิณ สร้างนักการเมืองแบบนี้ขึ้นมาเรื่อยๆ ไม่มีจบไม่มีสิ้น และคนแบบนี้ก็จะเป็นที่นิยมของประชาชน ฉะนั้นนี่คือความจริงที่ถูกมองข้ามไป


ความยุติธรรม

อาตมาได้พูดไปแล้วว่า ตอนนี้มันมีความเหลื่อมล้ำ มีสองมาตรฐาน สองมาตรฐานก็ดี ความเหลื่อมล้ำในเชิงกฎหมายก็ดี ในเชิงเศรษฐกิจก็ดี เป็นเรื่องเดียวกันที่สะท้อนถึงความไม่เป็นธรรมและที่จริง สองมาตรฐานนี้ อาตมาก็มองว่า มันเป็นปัญหาในเชิงโครงสร้างของสังคมไทย เป็นปัญหาในเชิงวิธีคิดของคนไทยด้วย สองมาตรฐานมันอยู่ในโครงสร้าง อยู่ในใจคน อาตมาชอบที่จะชั่งและคิด ยกตัวอย่าง ชาวบ้านในชนบท เวลาชาวบ้านจะมีการทำกิจกรรม อย่างการขุดบ่อน้ำ ชาวบ้านทุกคนทุกหมู่บ้านก็ต้องการเข้าถึงบ่อน้ำเท่าเทียมกัน แต่เวลาบ่อน้ำเสีย จะจ่ายเนี่ย ต้องจ่ายไม่เท่ากันถึงจะเป็นธรรม บ้านไหนอยู่ใกล้จ่ายมาก บ้านไหนอยู่ไกลจ่ายน้อย เวลามีโครงการวิจัยโครงการได้ทุนมาก้อนหนึ่ง หัวหน้าโครงการก็ต้องการเอาเงินที่เหลือมาแบ่งให้ลูกน้องที่อยู่ในโครงการ แต่ก็มีคนท้วงว่าทำอย่างนั้นไม่ได้ ถ้าจ่ายให้เฉพาะพนักงานพิมพ์ดีดที่อยู่ในโครงการนั้น คนอื่นก็จะไม่พอใจ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีส่วนในโครงการนั้นเลย คำตอบคือ ต้องแบ่งให้ทุกคนเท่ากัน ทำงานไม่เท่ากัน แต่เวลาได้ผลประโยชน์ต้องได้ผลประโยชน์เท่ากันถึงจะเป็นธรรม เวลาจ่าย ถึงแม้ว่าเวลาทำงานไม่เท่ากันเราถือว่าเป็นธรรมนะ แต่ถ้าได้นี่ต้องได้เท่ากัน ถ้าได้ไม่เท่ากันไม่เป็นธรรมนะ เวลาเราได้เงินเดือนน้อยกว่าคนอื่น เรารู้สึกว่าไม่เป็นธรรมใช่มั๊ย แต่ถ้าเราได้เงินเดือนมากกว่าคนอื่น เราเคยคิดมั๊ยว่ามันไม่เป็นธรรม ความไม่เป็นธรรม เกิดขึ้นเมื่อเรารู้สึกว่าเราได้น้อยกว่าคนอื่น แต่ถ้าเราได้มากกว่าคนอื่นไม่ใช่เรื่องของความไม่เป็นธรรม อันนี้เป็นเรื่องของความเสน่หาและโชค และนี่คือสองมาตรฐานที่อยู่ในใจคน ไม่ได้อยู่ในโครงสร้าง


ความไว้วางใจ

Imageถ้าไม่มีความไว้วางใจแล้ว ตอนนี้สิ่งที่เราจะสร้าง ความรัก เป็นเรื่องยากมาก เพราะว่าตอนนี้มีความไม่ไว้วางใจสูงมาก เมื่อไม่มีความไว้วางใจ ก็มีความโกรธ ความเกลียด ความอคติ ความรักเกิดขึ้นไม่ได้ เมื่อไม่มีความไว้วางใจ การใส่ร้ายป้ายสี การใส่ไข่กัน ก็เกิดขึ้นได้ง่าย เมื่อต้องพูดถึงความยุติธรรม ซึ่งต้องใช้ความร่วมแรงร่วมใจกัน อาตมาคิดว่าการที่เราจะสร้างความรักได้ เริ่มต้นจากต้องสร้างความไว้วางใจให้เกิดขึ้นให้ได้ อาตมานึกถึงประเทศแอฟริกาใต้ เนลสัน แมนเดลา ติดคุกมา ๒๗ ปีแล้วระหว่างนั้นแอฟริกาถูกกดดันจากนานาชาติเพื่อให้ยกเลิกลัทธิเหยียดผิว ประธานาธิบดี เดอ เคลิร์ก ซึ่งเป็นคนขาวรู้ว่าถ้าไม่เจรจากับคนดำ บ้านเมืองจะเกิดสงครามกลางเมืองเพราะมีการทะเลาะกันมาก เดอ เคลิร์ก เริ่มหันหน้ามาเจรจากับแมนเดลา แต่ลึกๆ ทั้งสองมีความระแวงกัน เพราะแมนเดลาเป็นหัวหน้าผู้ก่อการร้าย สนับสนุนการใช้ความรุนแรง แต่ที่จริงเขาไม่ได้จับอาวุธเลยนะ แต่เขาเห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรง ถ้าหากว่าประชาชนลุกขึ้นด้วยสันติวิธีแต่ถูกปราบ ถูกทำลาย ไม่มีทางเลือกต้องจับอาวุธ แมนเดลาถูกจับข้อหาใช้ความรุนแรง ๒๗ ปี แต่ถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ใช้ความรุนแรง เป็นผู้ก่อการร้าย แต่ เดอ เคลิร์ก ในสายตาแมนเดลาเป็นใกล้ๆ อาชญากร แล้วทั้งสองคนมาคุยกันได้อย่างไร ครั้งแรก เดอ เคลิร์ก เชิญแมนเดลาไปคุยที่ทำเนียบ ก็เพิ่งรู้จักกัน เดอ เคลิร์ก เพิ่งขึ้นเป็นประธานาธิบดี คุยกันได้เพียงไม่ถึงชั่วโมง ครั้งต่อมา เดอ เคลิร์ก มาหาแมนเดลาถึงในคุก คุยกันได้นานหน่อย ความประทับใจของแมนเดลาเขียนในสมุดบันทึกว่า "เดอ เคลิร์ก เป็นคนที่ตั้งใจฟังในสิ่งที่ควรจะฟัง ไม่ใช่เพราะในสิ่งที่อยากฟัง คนเช่นนี้เราสามารถคุยด้วยได้" และ เดอ เคลิร์ก ได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ในเวลาต่อมาว่า เขาได้เอาเรื่องราวหลังจากที่ได้คุยกับแมนเดลาไปคุยกับคณะรัฐมนตรี เขาว่าแมนเดลาเป็นคนที่ตั้งใจฟังเขา และเขาคิดว่าสามารถจะมีข้อตกลงกับแมนเดลาได้ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการเจรจาปรองดอง จนกระทั่งทำให้กลายเป็นแบบอย่างของโลกได้

ประเด็นคือว่า การเจรจา ความปรองดอง จนกระทั่งนำไปสู่การยกเลิกลัทธิเหยียดผิว และมีการผ่องถ่ายอำนาจจากคนขาวไปสู่คนดำ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่ใหญ่มาก เริ่มต้นมาจากการที่คน ๒ คน มีความไว้วางใจ และความไว้วางใจเกิดขึ้นได้เมื่อทั้ง ๒ ฝ่ายต่างแสดงให้เห็นว่าเขาตั้งใจฟัง เขาตั้งใจฟังอีกฝ่ายหนึ่ง มันทำให้เกิดความรู้สึกว่า เฮ้ย! ไอ้หมอนี่มันคุยกันรู้เรื่องนะ น่าจะเจรจากันต่อไปได้ อาตมาคิดว่านี่คือสิ่งที่ขาดไปในสังคมไทย ความไว้วางใจ เราต้องสร้างขึ้นมา และถ้าเราสร้างไม่ได้ ความรักซึ่งเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่กว่ามากก็จะเกิดขึ้นไม่ได้


ความจริงกับความยุติธรรม : ๒ สิ่งสำคัญสำหรับ "การปรองดอง"

ตอนนี้อาตมาคิดว่า เมื่อมีความรุนแรงเกิดขึ้นแล้ว การที่จะหลงลืม หรือไม่รับรู้ มันก็คงจะไม่ใช่ จะต้องทำให้ความจริงปรากฏว่า ความสูญเสียเกิดขึ้นจากอะไร จากใคร สิ่งเหล่านี้ต้องใช้ขันติธรรม ใช้วุฒิภาวะพอที่จะยอมรับความจริงได้ เพราะเมืองไทย เราไม่ค่อยจะยอมรับความจริง เหตุรุนแรงมันเกิดยังไงนั้น เราก็คิดว่าให้มันผ่านเลยไป เรามักจะให้ลืมๆ ไปซะ แต่ที่จริงแล้วเป็นเพราะเราชอบลืมกันนั่นแหละ มันถึงเกิดความรุนแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ได้แปลว่า เมื่อเรารู้ว่าความจริงเป็นอย่างไรแล้วจะนำไปสู่ความโกรธเกลียดเสมอไปทุกครั้ง ความจริงก็สามารถช่วยยกจิตใจผู้คนได้ โดยเฉพาะเมื่อผู้ที่เจ็บปวดสามารถที่จะรู้ว่า ความจริงความเจ็บปวดของเขาได้เป็นที่รับรู้กัน

เมื่อตอนที่แอฟริกาใต้จะตั้งกรรมการสัจจะและความสมานฉันท์ขึ้นมา มีการตั้งเงื่อนไขว่า ใครที่ต้องการได้รับการนิรโทษกรรมให้มาสารภาพว่าได้ทำผิดอะไรบ้าง ใครที่สารภาพก็จะได้รับการนิรโทษกรรม แต่ใครที่ไม่รับสารภาพก็จะต้องดำเนินคดี ถ้ามีผู้ฟ้องร้องก็จะมีการไต่สวน กระบวนการนี้ ในแง่หนึ่งก็ช่วยเยียวยาผู้ที่เจ็บปวด สูญเสีย เพราะว่าผู้ที่เจ็บปวด สูญเสีย เขาก็อยากจะรู้ว่าเขาเจ็บปวดเพราะอะไร ใครทำ มีคนหนึ่งเขาเป็นคนผิวดำถูกทรมานจนตาบอด และเมื่อได้ไปให้การในศาลว่าใครเป็นคนทำ แม้ว่าศาลยังไม่ได้มีการตัดสินลงโทษตำรวจคนขาวที่ทรมาน แต่เขาบอกว่า เพียงแค่การได้พูดได้เล่าถึงความทุกข์ของเขาให้สาธารณชนได้รับรู้ในศาล ก็เหมือนกับตาได้มองเห็นอีกครั้งหนึ่ง เหมือนกับได้เห็นโลกอีกครั้งหนึ่ง เพราะว่าได้พูดได้เล่าเรื่องราวความทุกข์ เพราะแต่ก่อนไม่คิดว่าความทุกข์ของตัวเองจะสามารถเล่าให้ใครฟังได้ แต่เมื่อได้เล่าในศาลแล้วก็รู้สึกเหมือนกับได้รับการเยียวยา เหมือนกับว่าตาเปิดอีกครั้งหนึ่ง อันนี้การเยียวยาเกิดขึ้นได้ เมื่อความจริงและความยุติธรรมปรากฏโดยที่ไม่จำเป็นต้องมีการลงโทษก่อนด้วยซ้ำ ถึงจะเกิดความรู้สึกดีขึ้นมา

Imageและบางครั้ง ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งขอโทษ มันก็จะทำให้การเยียวยาสมานได้มากขึ้น มีผู้หญิงคนหนึ่งโดนระเบิดจนกระทั่งพิการเป็นเวลา ๒๐ กว่าปีที่ไม่รู้ว่าใครทำ แต่ว่าหลังจากนั้นไม่นาน ได้จับมือระเบิดได้ เป็นคนขาว มือระเบิดนั้นก็ติดคุกไปประมาณเกือบ ๒๐ ปีได้ และต่อมาเขาก็สำนึกผิดว่า เหตุการณ์ที่เขาไปทำเช่นนั้น ผิด และการที่เขาเหยียดผิว มันผิด และสิ่งหนึ่งที่เขาอยากทำคือ อยากจะขอโทษคนที่เป็นเหยื่อ ก็มีการสืบหาจนมาพบผู้หญิงคนนี้ที่พิการเพราะระเบิด ทีแรกผู้หญิงคนนี้ก็บอกไม่อยากจะฟัง ไม่อยากจะรับรู้ใดๆ ทั้งสิ้น และก็ไม่มีการให้อภัยใดๆ เพราะเกลียดมาก แต่พอได้มาเห็นผู้ที่ทำร้ายตัวเอง เธอบอกว่า นึกไม่ถึงเลย ทีแรกเธอนึกวาดภาพว่า คนอย่างนี้ต้องเป็นปีศาจร้าย แท้ที่จริงเขาก็เป็นคนหนุ่มธรรมดาคนหนึ่ง และเมื่อชายหนุ่มคนนั้นขอโทษเธอ เธอก็รู้สึกว่าให้อภัยได้ แต่สิ่งที่สำคัญคือเธอบอกว่า เมื่อให้อภัย ไอ้ความรู้สึกว่าฉันเป็นเหยื่อ ฉันเป็นผู้เคราะห์ร้าย มันไม่มีความหมายอีกเลย มันหลุดหายไปจากใจเลย ฉันกลับมาเป็นคนใหม่ ในแง่การที่เธอให้อภัยทำให้ตัวเธอเป็นอิสระด้วย อิสระจากความเชื่อว่า ฉันเป็นเหยื่อ นอกจากอิสระจากความกลัวแล้ว ยังอิสระจากความรู้สึกที่ว่าฉันเป็นคนที่ต่ำต้อย ย่ำแย่ น่าสมเพช และตรงนี้เองทำให้คนเราสามารถที่จะเปิดใจรับผู้อื่นได้ เมื่อเราสามารถที่จะลบทำลาย เป็นอิสระจากความโกรธ เป็นอิสระจากความสมเพชตัวเอง ความเชื่อว่าฉันแย่ ฉันถูกกระทำ เราเชื่อว่า ความยุติธรรมในแง่นี้จะนำไปสู่ความรักได้ เป็นความยุติธรรมที่ไม่ใช่เป็นเรื่องของการลงโทษ เพียงแค่การขออภัย เพียงแค่การที่เขาได้ทำความจริงให้ปรากฏว่าเขาทุกข์ทรมานเพราะเหตุใด อาตมาคิดว่า ตรงนี้ก็เป็นสิ่งซึ่งสังคมไทยน่าจะเรียนรู้นะว่า บางทีเรากลัวความจริง เราเชื่อว่าความจริงจะทำให้คนเจ็บปวด เคียดแค้น เราคิดว่าความยุติธรรมจะทำให้คนนั้นเรียกร้องสิทธิ และนำไปสู่การทวงสิทธิกัน แต่บางครั้ง มันกลับนำไปสู่ความรักได้ เพราะอาตมาเชื่อว่า มนุษย์ทุกคนมีความรักอยู่ในหัวใจ มนุษย์ทุกคนมีพลังแห่งความดีในใจ แต่มันถูกกดเอาไว้ เพราะความโกรธ ความเกลียด ความเคียดแค้น แต่ถ้าเราได้ปลดปล่อยความโกรธ ความเกลียด ความเคียดแค้นนั้นไปเสีย ความรักก็จะเกิดขึ้น และในที่สุดเราก็จะเห็นว่า คนที่เป็นศัตรู คนที่ทำลายเรา เขาก็เป็นเพื่อนมนุษย์เหมือนกับเรา และจะเห็นต่อไปว่า ศัตรูที่จริงไม่ใช่มนุษย์ ศัตรูที่จริงคือ ความโกรธ ความเกลียด ความเคียดแค้น


ความรัก

เวลาพูดถึงความจริง อย่ามองในเชิงตัวบุคคลว่า นาย ก นาย ข เป็นคนผิด แต่ให้มองไปถึงปัญหาในเชิงโครงสร้าง เป็นความเลวร้าย ความเอาเปรียบอย่างไรบ้าง แต่อาตมาเชื่อว่าเท่านั้นไม่พอนะ จะต้องมองให้ลึกไปถึงระดับจิตใจว่า จริงๆ แล้ว มนุษย์ไม่ใช่ศัตรู ถ้าเราสามารถจะมองเห็นตรงนี้ได้ เราจะรักกันมากขึ้น หรืออย่างน้อยเราจะไม่เกลียดถึงขนาดจะทำร้ายกัน เพราะเราล่วงรู้ว่าไม่ใช่ศัตรู ศัตรูคือ ความโกรธ ความเกลียด ความเคียดแค้น ความหลงผิด และเราไม่สามารถจะกำจัดได้ด้วยความรุนแรง มันต้องใช้ความรัก พระพุทธเจ้าตรัสว่า "พึงเอาชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ พึงเอาชนะคนตระหนี่ด้วยการให้ พึงเอาชนะความชั่วด้วยความดี เอาชนะคำเท็จด้วยคำสัตย์" ตรงนี้มันต้องใช้ความดีถึงจะชนะเขาได้ มีเกร็ดเล็กๆ ที่น่าสนใจ อาตมาเอามาทิ้งท้ายแล้วกัน หลังจากวันที่ ๑๙ พฤษภา ที่มีการยุติการชุมนุมและมีการเผา มีคนตายเป็นจำนวนมาก ก็มีการเผาอีกหลายที่ในต่างจังหวัดในภาคอีสาน เพื่อแสดงความเคียดแค้น เพื่อแสดงการตอบโต้ ที่จังหวัดหนึ่งคือ ยโสธร มีชุมชนหนึ่งซึ่งคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งคิดจะไปเผาเพราะเห็นว่าชุมชนที่นี่ใกล้ชิดกับสันติอโศก สันติอโศกถูกมองว่าเป็นเสื้อเหลือง คนเสื้อแดงก็จะไปเผา ส่วนคนในชุมชนนั้นพอรู้ว่าคนเสื้อแดงจะเข้ามารุกล้ำในชุมชน แทนที่จะเรียกตำรวจ แทนที่จะเตรียมไม้ เตรียมมีด หรือเตรียมอะไรสักอย่างเพื่อป้องกันตัว คนในชุมชนนั้นก็ถามว่า "นี่! มากันตั้งเยอะแยะเนี่ย กินข้าวมาหรือยัง สงสัยจะยังไม่ได้กินนะ เดี๋ยวจะทำก๋วยเตี๋ยวให้ รอก่อนนะ" แล้วแกก็ทำก๋วยเตี๋ยวเลี้ยง คนเสื้อแดงพอกินเสร็จ อิ่ม ก็เลยเลิก กลับไป คือมาด้วยความโกรธ มาด้วยความต้องการตอบโต้ แต่อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่า เสื้อแดงจะทำร้าย แทนที่จะโกรธ แทนที่จะเอาความโกรธเข้าสู้ กลับเอาความรัก เอาความเมตตา และการให้ ปรากฏว่า มันชนะใจเขาได้ เพราะคนเสื้อแดงเขาก็เป็นมนุษย์ เขาก็มีความรัก เขามาด้วยความโกรธ แต่ถูกตอบโต้ด้วยความรัก ความรักของชุมชนนั้นก็สามารถที่จะดึงเอาความรัก ความปรารถนาดีในใจเสื้อแดงขึ้นมา และสุดท้ายก็รู้ว่า เฮ้ย! เราอย่าทำร้ายเขาเลยดีกว่า ก็เลยล่าถอยกันไป ไม่มีข่าวการเผาในชุมชนนั้น ความรักมันเกิดขึ้นได้

 ความรักเป็นเรื่องยุ่งยาก แต่จริงๆ ถ้าเรามีกำลังพอที่จะสามารถให้ความรักแก่ผู้อื่นได้ ก็จะสามารถดึงเอาความรักของอีกฝ่ายหนึ่งขึ้นมาได้เหมือนกัน แต่น่าเสียดาย ที่ผ่านมาเราคิดจะตอบโต้ความรุนแรงด้วยความรุนแรง เราตอบโต้ความเกลียดด้วยความเกลียด เราไม่คิดว่าเราจะตอบโต้ความเกลียดด้วยความรัก เราไม่คิดจะตอบโต้คำเท็จด้วยคำสัตย์ เราไม่คิดจะตอบโต้คนตระหนี่ด้วยการให้ เราคิดแต่ว่าแรงมาก็แรงไป มึงแรงมากูแรงไป ใช่มั๊ย ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ก็เลยเป็นอย่างนี้ ฉะนั้น กรณี ๑๙ พฤษภา ก็แสดงให้เห็นเป็นบทเรียนว่า เมื่อใดก็ตามที่เราคิดจะใช้ความรุนแรงเข้าแก้ปัญหา มันก็จะพ่ายแพ้ทุกฝ่าย และก็เกิดความเสียหายแก่ส่วนรวมด้วย อาตมาคิดว่าตรงนี้เป็นสิ่งที่อยากจะฝากเอาไว้ว่า ยังไม่สายที่เราจะรวมพลัง เอาความรักขึ้นมา แม้จะเป็นพลังคนเล็กๆ คนไม่กี่คน แต่ว่ามันสามารถที่จะดึงเอาความรักของการให้ ให้ขยายกว้างขึ้นได้ ความรักนี้ก็เหมือนกับสิ่งที่สามารถจะแพร่กระจายไปได้ ความรักแพร่กระจายไปได้ เมื่อคนหนึ่งมีความรักก็ทำให้คนรอบตัวมีความรัก และสามารถจะกระจายไปได้เรื่อยๆ ความโกรธก็เหมือนกัน ความโกรธจะเป็นเหมือนกับสิ่งที่แพร่กระจายเหมือนกับโรคระบาดได้ และเราต้องสู้กับโรคระบาดแห่งความโกรธ ด้วยการให้ความรักเข้าไปแผ่กระจายไปด้วยความเข้มข้นพอๆ กัน มันก็จะสามารถช่วยทำให้บ้านเมืองเรามีความสันติสุขขึ้นได้

ความคิดเห็น

เขียนความคิดเห็น
ชื่อ:
หัวเรื่อง:
BBCode:Web AddressEmail AddressBold TextItalic TextUnderlined TextQuoteCodeOpen ListList ItemClose List
ความคิดเห็น:



รหัส:* Code

Powered by AkoComment 2.0!

< ก่อนหน้า   ถัดไป >