สึนามิ : สัญญาณแห่งกาลเวลา
พระไพศาล วิสาโล เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ เหตุการณ์สึนามิถล่ม สามารถมองได้หลายอย่าง หลายแง่มุม และทุกคนคงหาความหมายจากวิกฤตการณ์ในครั้งนี้แตกต่างกันไป
ปรากฏการณ์สึนามิไม่ได้เป็นการตอบโต้ การแก้แค้นของธรรมชาติ หรือการลงโทษมนุษย์ และปรากฏการณ์สึนามิไม่ได้เป็นปรากฏการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เพราะปรากฏการณ์คลื่นยักษ์เกิดขึ้นมาโดยตลอดในประวัติศาสตร์ ปรากฏการณ์สึนามิเป็นเหตุการณ์ธรรมชาติ แต่ครั้งนี้ก่อให้เกิดภัยพิบัติที่ร้ายแรงเป็นประวัติการณ์ เพราะมนุษย์เรามาอยู่ผิดที่ ปรากฏการณ์สึนามิ คือ ปรากฏการณ์ที่ธรรมชาติเพียงแค่จามหรือขยับตัวตามธรรมชาติมาหลายศตวรรษ มนุษย์เรามาอยู่ผิดที่ เพราะส่วนหนึ่งเกิดจากการขยายตัวของสังคม และส่วนหนึ่งเกิดจากกระแสทุนนิยมและเงินตรา ที่ทำให้มนุษย์เข้าไปทำลายพัฒนาเศรษฐกิจ เช่น สร้างรีสอร์ท ขยายเมือง ถมที่ ที่สำคัญคือไปทำลายป่าชายเลน ซึ่งป่าชายเลนเป็นตัวกันสึนามิที่ได้ผลมาก ในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา การทำลายป่าชายเลนเกิดขึ้นอย่างมหาศาล นี่คือเหตุผลประการหนึ่งที่ทำให้เกิดความสูญเสียอย่างมากมาย เพราะมนุษย์เริ่มขยายถิ่นฐานเข้าไปอยู่ตามชายฝั่งทะเล ส่วนหนึ่งเกิดจากการกระตุ้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ สร้าง รีสอร์ท สร้างโรงแรม ถมทะเล และทำลายป่าชายเลน ที่บริเวณเขาหลักหรือตะกั่วป่ามีความเสียหายมากเพราะมีการขยายถิ่นฐานเข้าไป ด้วยแรงผลักดันจากการท่องเที่ยว เพื่อจะเพิ่มอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้ขยายตัวสูงขึ้น บริเวณเขาหลักและตะกั่วป่าได้รับผลกระทบเพราะอิทธิพลจากการท่องเที่ยวโดยตรง ธรรมชาติไม่ได้คิดจะแก้แค้นหรือตอบโต้มนุษย์ แต่มนุษย์เราได้อยู่ผิดที่ผิดทาง ปัญหาสำคัญที่ทำให้มนุษย์มาอยู่ผิดที่ผิดทาง เพราะการพัฒนาที่เน้นในเรื่องเงินตรามาก นี่คือเหตุผลหนึ่งที่บอกกับเราได้ว่า ทำไมเมื่อ ดร.สมิทธิ ธรรมสโรช ได้เตือนว่าจะมีสึนามิเกิดขึ้นเมื่อ 6-7 ปีก่อน จึงไม่มีคนสนใจ และยังถูกต่อว่าต่อขานถูกข่มขู่คุกคาม เพราะว่าผู้คนหลงใหลเงินตรา หลงใหลในความเจริญ และที่สำคัญคือ กลัวว่าการออกมาเตือนเช่นนี้จะทำให้คนมาท่องเที่ยวน้อยลง ซึ่งหมายความว่าเม็ดเงินจากการท่องเที่ยวจะลดน้อยลงตามไปด้วย เราเอาเงินเป็นตัวตั้ง ทำให้สถานการณ์รุนแรงมากขึ้น เพราะทำให้ไม่มีการเตรียมตัว ไม่มีการป้องกันภัย ไม่มีสำนึกในด้านความปลอดภัย ปรากฏการณ์สึนามิที่เกิดขึ้น จะว่าไปแล้วต้องถือเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของคนทั้งสังคม ถ้าจะเรียกก็คือ 'กรรมร่วม' ซึ่งการที่พระอธิบายว่าเป็นเพียงกรรมของปัจเจกบุคคลไม่สามารถจะอธิบายอะไรได้เท่าไร แต่สิ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้ คือ เป็น 'กรรมร่วมของคนทั้งสังคม' โดยเฉพาะคนในสังคมไทย ที่เราเห็นดีเห็นงามไปกับกระแสการพัฒนาทางเศรษฐกิจ จนกระทั่งเราไปเบียดเบียนธรรมชาติ การที่เราไม่เคารพธรรมชาติ ซ้ำยังละเลย ไม่ใส่ใจคำเตือน เพียงเพราะกลัวว่าเม็ดเงินจะลดลง นี่คือปัญหา ความประมาท ความเลินเล่อ และความหลง เพราะเพลิดเพลินในเงินตรา ทำให้เราประมาท ทำให้เราไม่เตรียมพร้อม ยิ่งทำให้ภัยพิบัติจากสึนามิรุนแรงเพิ่มมากขึ้น อันนี้ถือเป็นกรรมร่วมของคนทั้งสังคม ประการต่อไปคือ สึนามิแสดงให้เห็นว่า มนุษย์เราตัวเล็กมากเมื่อเผชิญกับธรรมชาติ มนุษย์คิดว่าตนเองรู้จักธรรมชาติเพียงพอ แต่ที่จริงเรารู้น้อยลง และเราคิดว่า เรามีพลังในการควบคุมธรรมชาติได้ แต่อานุภาพของธรรมชาตินั้นยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์มากนัก อันนี้น่าจะทำให้มนุษย์เราอ่อนน้อมถ่อมตนมากขึ้น และเคารพธรรมชาติมากขึ้น มนุษย์จะต้องเจอภัยธรรมชาติอีกกี่ครั้ง ถึงจะทำให้เราตระหนักว่า เราควรจะต้องเตรียมตัวและเห็นแก่ตัวให้น้อยลง หรืออย่างน้อยควรยำเกรงธรรมชาติให้มากขึ้น เรื่องนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ตอกย้ำว่า มนุษย์เราควรลดความอหังการลง เพราะธรรมชาติไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะควบคุมได้ และที่สำคัญคือ สึนามิครั้งนี้เป็นสัญญาเตือนว่ามหันตภัยจากธรรมชาติจะมีมาอีก และจะมีอานุภาพทำลายล้างอย่างกว้างขวาง จนไม่มีใครบนโลกจะหนีพ้นได้ สึนามิครั้งนี้ ทำไมคนทั่วโลกตื่นตัวมาช่วยเหลือ ส่งคน ส่งเงินมาช่วย... ส่วนหนึ่งเพราะว่ามันกระทบแทบทุกทวีป ภัยสึนามิกระทบต่อคนทั้งโลก ภัยสึนามิส่งผลแห่งความสูญเสียและความพลัดพรากแผ่ไปทั่วโลก ซึ่งน่าเป็นห่วงว่าในโลกยุคโลกาภิวัตน์นี้ ภัยธรรมชาติจะรุนแรงกว่านี้ และจะไม่มีใครหนีพ้นจากอิทธิพลของมันเลย ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ซึ่งถ้าเราดูจากสภาพที่เป็นอยู่คงจะปฏิเสธได้ไม่ยาก เพราะตอนนี้ คนในวงการที่ทำงานเกี่ยวข้องกับโรคระบาดกำลังวิตกกันอยู่ว่า ไข้หวัดใหญ่ซึ่งเคยรุนแรงระบาดไปทั่วโลก จะหวนกลับมาหลังจากที่เคยคร่าคน 20 ล้านคน มาแล้วเมื่อปี ค.ศ.1918 สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 สึนามิมีผลดีในแง่ที่ว่า ได้กระตุ้นให้คนเกิดความตื่นตัวมาร่วมกัน การร่วมแรงร่วมใจครั้งนี้ทั้งโลก เป็นไปอย่างไม่เคยมีมาก่อน คนอเมริกัน 1 ใน 3 บอกว่า ได้มีส่วนช่วยผู้ประสบภัยสึนามิด้วยการบริจาค ส่วนคนอังกฤษประมาณ 80 % ได้ช่วยบริจาค เงินบริจาคมากกว่าที่ต้องการถึง 20 เท่าของงบที่ต้องการ แสดงว่ามนุษย์เราพร้อมที่จะร่วมมือและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และสำนึกในความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของมนุษยชาติยังไม่หายไป แม้จะมีสงคราม ความรังเกียจเดียดฉันท์ ด้วยเหตุทางภาษา ศาสนา หรือวัฒนธรรม ปัญหาคือว่า เราจะต้องรอให้สึนามิเกิดขึ้นก่อนหรืออย่างไร ถึงจะทำให้สำนึกในความเป็นหนึ่งเดียวกันของมนุษยชาติเกิดขึ้นได้ สิ่งนี้เป็นเรื่องที่ท้าทายมนุษย์เราว่า เราจะต้องรอให้เกิดภัยธรรมชาติขึ้นมาเสียก่อนในระดับรุนแรงหรือ ถึงจะเกิดสำนึกในการร่วมมือกัน สำนึกที่จะทำความดี สำนึกที่จะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของมนุษยชาติ และกรณีสึนามิยังบอกอีกว่า มีแต่สำนึกในความเป็นหนึ่งเดียวกันของมนุษยชาติเท่านั้นที่เราจะขจัดปัดเป่าภัยอันตรายจากธรรมชาติในระดับนี้ได้ ถือเป็นการซ้อมใหญ่ก็ได้ เพราะว่าถ้าเกิดมีโรคไข้หวัดใหญ่ระบาด ไม่มีทางเลยที่มนุษย์เราชาติใดชาติหนึ่งจะสู้กับภัยนี้ได้ นอกจากเราจะร่วมมือกัน ปัญหาอยู่ที่ว่า ถ้าไข้หวัดใหญ่ระบาดเกิดขึ้น เราจะร่วมมือกันอย่างสุนามิอีกหรือเปล่า เพราะว่าตัวอย่างพอเกิดโรคซาร์สหรือไข้หวัดนกขึ้น ต่างคนต่างปิดพรมแดน ต่างคนต่างเอาตัวรอดก่อน ประเทศของฉัน พอเกิดโรคระบาดบางทีแทนที่เราจะเกิดความร่วมมือกลับเกิดความเห็นแก่ตัว แต่สึนามิตรงกันข้าม เพราะให้ผลที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน นี่เป็นการซ้อมใหญ่ที่ชี้ให้เห็นว่า ถ้าเราร่วมมือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เราจะแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ปัญหาคือถ้าเกิดภัยครั้งใหญ่ หรือปรากฏการณ์เรือนกระจกที่แสดงอานุภาพออกมามากขึ้นเรื่อยๆ เราจะร่วมมือกันได้หรือเปล่า ประการต่อมาชี้ให้เห็นว่า สำนึกของการร่วมมือกันของคนทั้งโลกนี่ ตัวจุดประกายจริงๆ มาจากคนธรรมดาหรือคนเล็กๆ ในขณะที่รัฐบาลหลายประเทศช่วยด้านการเงินให้กับผู้ประสบภัยสึนามิ ขณะที่รัฐบาลหลายประเทศให้คำมั่นสัญญาไว้ ซึ่งหลายครั้งผิดสัญญา แต่คนเล็กๆ ไม่ได้ให้คำมั่นสัญญา กลับควักเงินให้เลย ความร่วมมือครั้งนี้ประสบผลได้จากคนเล็กๆ และธรรมดาสามัญ ซึ่งน่าจะให้ความหวังแก่เราว่า ถ้าโลกนี้จะเผชิญภัยครั้งต่อไป ความหวังของเราคงจะอยู่ที่คนเล็กๆ ที่จะร่วมมือกัน เพราะคนเหล่านี้ จะติดเรื่องเชื้อชาติ เรื่องภาษา เรื่องความเป็นชาติน้อยมาก อันนี้เป็นสิ่งที่เราน่าจะคิดกันดูว่าเราจะสามารถปลูกจิตสำนึกในคนตัวเล็กๆ ธรรมดาๆ ให้มียิ่งขึ้นได้อย่างไร เพื่อเป็นฐานในการแก้ปัญหา ในกรณีเมืองไทย คนเล็กๆ ธรรมดาๆ เข้าไปช่วยกันอย่างมากมาย สาวไฮโซ เด็กจาก เซ็นเตอร์พอยท์ ก็ไปช่วย น้ำใจของคนออกมาอย่างปัจจุบันทันด่วน โดยที่รัฐบาลไม่ต้องเป็นผู้นำ แต่ต้องมีคนสามัญชนเป็นผู้นำ เราจะสร้างหรือประสานระหว่างคนตัวเล็กๆ ได้อย่างไร นอกจากจะมองกรณีสึนามิว่าเป็นสัญญาณแล้ว น่าจะมองว่าเป็นโอกาสในการได้ทำในสิ่งที่ดีที่มีอยู่แล้ว หรือทำสิ่งที่ไม่เคยมีให้ปรากฏขึ้น โดยเฉพาะการใช้โอกาสที่จะกระตุ้นต่อมสำนึกหรือต่อมความดีของมนุษย์โดยเฉพาะในคนไทย และในหมู่เยาวชนไทย เป็นเรื่องที่ควรจะทำอย่างจริงจังอย่างเป็นระบบ หรือเป็นโอกาสในการนำเยาวชนมาเป็นอาสาสมัครเพื่อช่วยฟื้นฟูผู้ประสบภัย ภัยพิบัติครั้งนี้ต้องอาศัยความร่วมมือของคนทุกฝ่าย และในทุกมิติ ซึ่งแต่ละคนสามารถจะไปช่วยเหลือได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นนักดำน้ำ ศาสนิกชน นักร้อง หรือคนที่ทำกิจกรรมเกี่ยวกับเด็ก ในขณะที่ตอนนี้เรากำลังเป็นห่วงเยาวชนว่า เป็นพวกช็อปไว ใช้แหลก แดกด่วน ที่จริงเยาวชนไทยมีความดีอยู่เยอะ มีน้ำใจมาก เราต้องใช้โอกาสนี้ดึงเยาวชนมาทำอย่างต่อเนื่อง กว้างขวาง และเป็นระบบ จะมีพลัง และอาจจะทำให้สังคมไทยเคลื่อนไปสู่ยุคใหม่ เหมือนกับ 30 ปีที่แล้ว เหตุการณ์ 14 ตุลา ได้เปลี่ยนสังคมไทย ได้เปลี่ยนจิตสำนึกของคนไทย เราอาจจะไม่ต้องมี 14 ตุลา เหมือนในยุคนั้น แต่ถ้าเราใช้สึนามิเป็นจุดขับเคลื่อน ให้เป็นจุดคานดีดคานงัดให้เกิดการเปลี่ยนจิตสำนึก ไม่แน่อาจจะเกิดความเปลี่ยนแปลงได้ไม่น้อยกว่าคนรุ่น 14 ตุลา สำหรับคนรุ่นใหม่อาจจะเปลี่ยนแปลงเพราะเหตุการณ์สึนามิก็ได้ อยากจะฝากความหวังไว้อย่างนี้ ______________________________________ ถอดเทปจาก เสวนา "สึนามิ : บทเรียนเรื่องสัญญาณแห่งกาลเวลา" จัดโดย ศูนย์การศึกษาต่อเนื่องด้านสังคม ร่วมกับ คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อความยุติธรรมและสันติ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2548 ณ ศูนย์พัฒนาบุคลากรอัสสัมชัญ ซ.ทองหล่อ 25 กรุงเทพฯ
Powered by AkoComment 2.0! |