เนื้อในหนัง
ลีออง 1968 Amelie "อมิลี่ รู้สึกเป็นสุขอย่างประหลาด มันเป็นช่วงเวลาที่ดีมาก แสงแดดอ่อนๆ กลิ่นหอมของสายลม เสียงพึมพำของผู้คนในเมือง เธอสูดลมหายใจลึกๆ สัมผัสถึงชีวิตที่เรียบง่ายและกระจ่างแจ้ง กระแสความรัก และความอยากจะช่วยเหลือผู้อื่นเข้าถาโถม" นี่คือความรู้สึกที่ใครก็สัมผัสได้และจะอยู่ใกล้แค่เอื้อมหากเรารู้จักคำว่า 'ให้'
จากผลงานการกำกับที่สุดแหวกแนวตามสไตล์ ของ ฌอง-ปิแอร์ เฌอเนต์ ที่หยิบยกเรื่องราวสุดแสนจะธรรมดาผ่านการบอกเล่าที่ไม่ธรรมดา เนื้อหาเกี่ยวกับพฤติกรรมในการหาความสุขของมนุษย์ในหลายๆ รูปแบบ โดยมีจุดเด่นอยู่ที่ตัวเอกของเรื่องคือ อมิลี่ - เธอมีวิธีหาความสุขให้กับตัวเองด้วยการหยิบยื่นความสุขให้กับผู้อื่นจนสร้างรอยยิ้มและความอิ่มเอมหัวใจ ให้ผู้ที่ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้มาแล้วทั่วโลก 'Amelie from Montmartre' เสียงดนตรีที่สดใสแต่กลับถูกโอบล้อมด้วยทำนองที่อ้างว้าง สอดคล้องกับภาพเด็กที่ซุกซนหากแต่อยู่ในวังวนของจินตนาการที่เธอสร้างขึ้นมาเองอย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพัง อมิลี่ ปูลาน์ (รับบทโดยออเดรย์ โตตู) เติบโตมาในครัวครอบขาดความอบอุ่นอย่างที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะเธอมีพ่อแม่ที่ไม่ค่อยจะมีสังคมและยังแสดงออกถึงความรักลูกได้ไม่ดีนัก เริ่มจาก ราฟาเอล ผู้เป็นพ่อ - อดีตแพทย์ทหารมาดสุขุม นุ่ม นิ่งจนถึงขั้นเย็นชา ไม่เคยเลยสักครั้งที่เขาจะโอบกอดลูกสาว จะมีโดนเนื้อโดนตัวบ้างก็ตอนที่ตรวจสุขภาพของลูกเท่านั้นซึ่งก็นานๆครั้ง ทำให้อมิลี่รู้สึกตื่นเต้นจนหัวใจรัวเพราะไม่คุ้นเคยสัมผัสของพ่อ เป็นผลให้ราฟาเอลสรุปว่าลูกสาวของตนนั้นมีหัวใจที่ผิดปกติไม่สามารถออกไปเรียนหนังสืออย่างเด็กปกติทั่วไปได้ ซึ่งก็เข้าทางของอมานดีนผู้เป็นแม่ซึ่งเคยเป็นครูใหญ่มาก่อนได้ทำหน้าที่ๆ ตนถนัดอีกครั้งโดยจัดการสอนหนังสืออมิลี่อยู่กับบ้านเสียเอง เป็นอันว่าอมิลิ่ต้องตัดขาดจากสังคมไม่มีเพื่อนแม้แต่คนเดียว ใช้ชีวิตอยู่แต่ในบ้านที่มีทั้งครูทั้งหมอแทนที่จะมีพ่อกับแม่ และยิ่งย่ำแย่เข้าไปใหญ่เพราะความอบอุ่นที่อมิลี่ได้รับซึ่งมีอยู่น้อยนิดอยู่แล้วต้องมาลดลงไปอีกเมื่อแม่ของเธอมาจากเธอไปด้วยอุบัติเหตุ ซึ่งก็เป็นมุขตลกร้ายที่ขาดเสียไม่ได้ของผู้กำกับอย่าง ฌอง-ปิแอร์ เฌอเนต์ ชีวิตที่แทบจะโดดเดี่ยวของอมิลี่ในวัยเด็กหล่อหลอมให้เธอโตขึ้นมาเป็นคนค่อนข้างเก็บตัวและมากมายไปด้วยจินตนาการที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทดแทนความสุขแบบขาดๆ เกินๆ ของเธอ อมิลี่เริ่มต้นใช้ชีวิตนอกบ้านโดยการมาทำงานที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งเธอก็มีเพื่อนร่วมงานและลูกค้าประจำให้คบหาอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากนักและก็จะเป็นอยู่ในช่วงเวลางานเท่านั้น หลังจากนั้นเธอก็ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับจินตนาการของเธอเองภายในห้องพักแต่เพียงลำพัง สังคมของอมิลี่จึงเป็นเพียงสังคมแคบๆ ที่ดูจะไม่เพียงพอแต่เธอก็เติมสิ่งที่ขาดนั้นด้วยการแอบทำความรู้จักมักคุ้นกับเพื่อนบ้านของเธอด้วยกล้องส่องทางไกลหรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า 'สอดรู้สอดเห็น' นั่นเอง และก็มีรายหนึ่งที่อมิลี่ให้ความสนใจเป็นพิเศษกับ พฤติกรรมแปลกๆ ของเขาโดยที่เธอไม่รู้เลยว่าเขาก็แอบทำความรู้จักกับเธอด้วยวิธีการเดียวกัน เรมองด์ ดูฟาเยล ศิลปินผู้รักสันโดษและเป็นการรักสันโดษอย่างมากๆ เพราะตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ชายชราผู้นี้ไม่เคยออกจากห้องไปไหนเลย ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเรมองด์นั้นป่วยด้วยโรคกระดูกเปราะทำให้กระดูกของเขาบอบบางเหมือนกับแก้วแตกหักได้ง่ายๆ หากได้รับการกระทบกระเทือนแม้เพียงน้อยนิด ดังนั้นข้าวของเครื่องใช้ภายในห้องของเรมองด์จึงดูแปลกหูแปลกตาไปหมดเพราะทุกอย่างจะต้องถูกบุหรือพันด้วยผ้านวมนิ่มๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งโทรทัศน์ที่ทำหน้าที่บอกเวลา ......ใช่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผู้เขียนไม่ได้พิมพ์ผิดหรือคิดใหม่ทำใหม่แต่อย่างใด และที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะการไขลานนาฬิกาก็อาจสร้างปัญหาให้กับกระดูกที่เปราะบางของเขาได้ เรมองด์จึงแก้ปัญหาด้วยการเอากล้องถ่ายวีดีโอจับภาพนาฬิกาสาธารณะที่อยู่นอกหน้าต่างแล้วต่อสัญญาณภาพมาที่โทรทัศน์ทำให้ทั้งวันและทุกวันของจอโทรทัศน์มีแต่ภาพนาฬิกาไม่มีโอกาสได้แพร่ภาพรายการหรือข่าวสารอะไรเลย ยิ่งทำให้เรมองด์นั้นห่างไกลจากโลกภายนอกหนักเข้าไปอีก ในที่สุด วันที่ 30 สิงหาคม 1997 เหตุการณ์ที่จะเปลี่ยนชีวิตของอมิลี่ก็มาถึง ขณะที่เธอตะลึงอยู่กับข่าวการสิ้นพระชนม์ของเจ้าหญิง ไดอาน่าทางโทรทัศน์ จนทำให้เธอมือไม้อ่อนทำฝาขวดเครื่องประทินโฉมของเธอตกลงพื้นแล้วกลิ้งไปชนกับกระเบื้องบุผนังแผ่นหนึ่งหลุดออกมา เมื่อเธอเดินตามไปเก็บฝาขวดเธอก็พบว่าหลังกระเบื้องแผ่นนั้นมีโพรงที่ถูกเจาะเอาไว้เพื่อซ่อนกล่องเล็กๆ ใบหนึ่งอยู่ มันเป็นแค่กล่องใส่ของเล่นเก่าๆ ของเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ห้องเดียวกับเธอเมื่อ 40 ปีก่อน อมิลี่รู้สึกตื่นเต้นมากซึ่งความรู้สึกของเธอในยามนั้นคนที่จะอิบายได้ดีคงมีเพียงคนที่ค้นพบสมบัติของฟาโรห์ อมิลี่ตัดสินใจจัดการกับกล่องใบนั้นด้วยการตามหาเจ้าของเดิมให้กับมัน และเธอก็เริ่มต้นภารกิจนี้ด้วยการสอบถามจากเพื่อนบ้านของเธอ คนแรกก็คือ มาเดลีน หญิงหม้ายสามีตายด้วยอุบัติเหตุ ซึ่งมาเดลีนก็ได้แนะนำให้เธอไปถาม คอลิงยอง เจ้าของร้านขายของชำที่ชอบตบตีและดูถูกเหยียดหยามลูกจ้างอย่าง ลูเซียน เด็กหนุมที่สติสตังไม่ค่อยจะเต็มเต็งนัก แต่เมื่อ 40 ปีที่แล้วคอลิงยองมีอายุแค่ 2 ขวบเขายังจำความไม่ได้จึงบอกให้ อมิลี่ไปถามแม่ของเขาดู และตรงนี้เองที่เป็นข้อพิสูจน์ว่าความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น อมิลี่ได้ชื่อเด็กเจ้าของกล่องมา แต่การตามหาที่อยู่ในปัจจุบันนั้นไม่ง่ายเลยเพราะจากสมุดโทรศัพท์มีคนใช้ชื่อเดียวกันอยู่มากมายหลายคน แน่นอนเธอต้องใช้ความพยายามอีกครั้งแต่คราวนี้ความพยายามกลับไม่ได้อยู่ที่เดียวกันกับความสำเร็จ จึงทำให้คนแล้วคนเล่าที่อมิลี่ไปพบ ไม่มีใครเป็นเจ้าของกล่องใบนั้นเลย จนเรมองด์ศิลปินกระดูกแก้วที่เฝ้าดูอยู่ห่างๆ ต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลือจึงทำให้ภารกิจของเธอลุล่วงลงได้ และในทันทีที่กล่องใบนั้นได้พบกับเจ้าของที่แท้จริงที่เปลี่ยนจากเด็กกลายเป็นชายชราอายุ 50 มันก็เปลี่ยนตัวเองจากกล่องธรรมดากลายเป็นกล่องสมบัติล้ำค่าไปด้วย มันได้นำความสุขความหลังส่งมอบให้กับผู้ที่เป็นเจ้าอย่างน่าอัศจรรย์ จนทำให้อมิลี่ได้รู้จักกับความสุขที่ยิ่งใหญ่จากการเป็นผู้ให้และเธอก็ตัดสินใจทำมันต่อไป - เธอช่วยเหลือคนตาบอดข้ามถนนพร้อมกับบรรยายรายละเอียดสิ่งรอบข้างระหว่างทางให้เขาฟัง - เธอช่วยจูงใจให้พ่อของเธอเลิกเก็บตัวอยู่กับบ้านออกมาดูโลกกว้างและท่องเที่ยวอย่างมีความสุข - เธอช่วยเหลือมาเดลีนหญิงหม้ายที่อยู่อย่างซังกะตายให้ได้มีชีวิตใหม่ที่สดใสขึ้น - เธอช่วยเชื่อมต่อโลกภายนอกให้กับเรมองด์ศิลปินกระดูกแก้วอีกครั้งด้วยการแอบส่งม้วนวีดีโอที่อัดข่าวสาร-รายการโทรทัศน์ดีๆ ที่เขาไม่มีโอกาสได้ดู แต่ที่ถูกใจและสะใจคนดูที่สุดก็เห็นจะเป็นตอนที่อมิลี่ช่วยดัดนิสัยของคอลิงยองเพื่อแก้แค้นให้กับลูเซียน โดยที่เธอแอบเข้าไปในห้องของคอลิงยองแล้วจัดการคิดใหม่ทำใหม่กับห้องของเขา เธอเปลี่ยนรองเท้าที่ใช้ภายในห้องให้มีขนาดเล็กลง สลับข้างลูกบิดประตู เปลี่ยนหลอดไฟให้สว่างน้อยลง เปลี่ยนเวลาของนาฬิกาปลุก เปลี่ยนยาสีฟันเป็นยาทาเท้า เปลี่ยนบันทึกเลขหมายโทรศัพท์ที่เป็นเบอร์ของแม่คอลิงยองให้กลายเป็นเบอร์ของโรงพยาบาลโรคจิต ลองคิดดูนะครับว่าวันนั้น คอลิงยองต้องเจอกับอะไรบ้าง แน่นอนสติสตังที่ไม่ค่อยจะเต็มเต็งของลูเซียนกลับดูดีกว่าสติสตังของคอลิงยองอยู่หลายวัน แต่แล้วความสนุกและความสุขจากการเป็นผู้ให้ของเธอก็เริ่มแผ่วลงเพราะความสุขสารพัดที่เธอจัดหามาเติมเต็มให้กับคนอื่นนั้น เธอกลับจัดการให้กับตัวเธอเองไม่ได้ อย่างคราวที่เธอเกิดรักแรกพบกับนีโน่ เธอมีโอกาสที่จะสานต่อความสัมพันธ์เมื่อเธอเก็บอัลบัมสะสมรูปภาพของนีโน่ที่ทำตกได้ แต่เธอกลับไม่กล้าพอ เธอนำอัลบั้มนั้นไปคืนโดยวางแผนให้นี่โน่เตรียมเงิน 5 เหรียญแล้วไปพบเธอที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่งจากนั้นเธอก็โทรศัพท์บอกให้นี่โน่เดินตามลูกศรที่เธอเขียนไว้ขึ้นไปบนยอดเขาที่เป็นจุดชมวิวซึ่งตอนแรกนีโน่ก็คิดว่าจะได้เจอกับอมิลี่บนนั้นแต่ก็ผิดคาดเพราะบนนั้นไม่มีใครเลยนอกจากเขากับกล้องส่องทางไกลหยอดเหรียญ นีโน่รู้ทันทีว่าอมิลี่ให้เตรียมเงิน 5 เหรียญที่เขาคิดว่าเป็นค่าไถ่มาเพื่ออะไร นีโน่ตรงเข้าใช้บริการกล่องส่องไกลนั้นโดยส่องไปยังรถของเขาก็พบว่าอมิลี่กำลังนำอัลบัมมาใส่ให้ที่รถของเขาพร้อมกับโบกไม้โบกมือให้แล้วจากไป ตรงนี้นี่เองที่ผู้เขียนรู้สึกว่าหนังต้องการจะสื่อให้เราได้รู้ว่าทุกชีวิตในสังคมต่างก็เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันย่อมจะต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ไม่มีใครสามารถจัดการกับทุกสิ่งทุกอย่างเองได้ อมิลี่ก็เช่นกัน เธอเองก็ต้องการความช่วยเหลือ และเธอก็ได้รับมันจากความร่วมมือกันของเพื่อนบ้านอย่างเรมองด์และลูเซียนรวมไปถึงจีน่าเพื่อนร่วมงาน ในที่สุดความสุขที่ขาดๆ หายๆ ไปของอมิลี่ก็ถูกเติมเต็มอย่างงดงาม ในความรู้สึกของผู้เขียนขอสรุปไปเลยแล้วกันว่าอมิลี่เป็นหนังที่น่าดูมากเรื่องหนึ่ง ถึงจะเป็นหนังที่ถูกนำเสนอด้วยมุมมองที่ผิดแผกแตกต่างแต่ก็เป็นมุมมองที่ดี มองโลกอย่างสดใสเข้าใจได้ง่ายๆ ให้ความสนุกแฝงด้วยแง่คิดมากมาย และแง่คิดหนึ่งในนั้น ก็ช่วยตอกย้ำให้เราได้นึกถึงสังคมที่เราต้องการว่าไม่ใช่เป็นเพียงสังคมที่เกิดจากการที่เราได้มาอาศัยอยู่รวมกันในสถานที่แห่งหนึ่งเท่านั้น คนเราทุกคนต้องการสิ่งที่มากกว่านั้น คือสังคมที่ดี สังคมที่ทุกคนพร้อมจะเป็นผู้ให้ ดูแลช่วยเหลือโอบอุ้มซึ่งกันและกัน และเราก็ไม่ควรจะเฝ้ารอหรือออกตามหามันเพราะสังคมที่ดีนั้นถูกสร้างขึ้นได้ "ใช่เราร่วมกันสร้างขึ้นได้........ง่ายนิดเดียว”
Powered by AkoComment 2.0! |