บทความล่าสุด |
---|
การเมืองภาคประชาชนว่าด้วยการเลือกตั้ง โดย ศราวุฒิ ประทุมราช |
Thursday, 15 June 2006 | ||||
การเมืองภาคประชาชนว่าด้วยการเลือกตั้ง
การเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 2 นับแต่เราได้ใช้รัฐธรรมนูญเมื่อปี 2540 เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญนั้น ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างน้อย 3 ประการ กล่าวคือ นอกจากนี้ยังมีกลไกใหม่ๆในการตรวจสอบอำนาจรัฐ และกลไกในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนเพิ่มขึ้น อันจะทำให้ประชาชนมีความเข้มแข็งมากขึ้น ถามว่าภาคประชาชนมีความเข้มแข็งมากพอหรือยัง ในการที่จะปกครองตนเองและใช้อำนาจใหม่ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลหรือไม่ คำตอบคือ ยังไม่เข้มแข็งเท่าที่ควร ซึ่งสาเหตุมาจากประเด็นต่อไปนี้ สิ่งที่รัฐบาลพยายามทำและบอกว่านี่คือการมีส่วนร่วม ก็ คือ การจัดประชุมประชาคมป้องกันยาเสพติด การให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้านส่งรายชื่อลูกบ้านที่ "น่าสงสัย" ว่ามีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ส่งให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ถามว่านโยบายนี้ ได้ถอนรากถอนโคนขบวนการค้ายาเสพติดรายใหญ่ได้บ้างหรือไม่ และความยั่งยืนของสังคมในการปกป้องมิให้เยาวชนเกี่ยวข้องกับยาเสพติดได้มลายหายไปจากสังคมไทยหรือไม่ นี่คือความล้มเหลวของนโยบาย เร่งรีบ เพื่อประกาศว่ารัฐบาลได้ทำตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ จะได้มีเสียงดีขึ้นในการเลือกตั้งสมัยหน้า นั่นเอง ตัวอย่างอีกหลายเรื่องที่ประชาชนถูกครอบงำทางความคิด เช่น การมอบให้จัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยังไม่เกิดขึ้น ฝ่ายราชการยังคงมองว่าภาคประชาชนยังไม่มีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะดูแลรักษาป่าไม้ ต้นน้ำลำธาร การออกกฎหมายป่าชุมชนจึงยังถูกผูกขาดองค์ความรู้ในหมู่ข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับป่าไม้ อุทยานแห่งชาติ หรือ กฎหมายที่ดิน การจัดการคลื่นความถี่วิทยุ โทรทัศน์ ยังไม่เกิดขึ้น แต่การจัดการกิจการโทรคมนาคม กลับไปอยู่ในมือ ของอดีตข้าราชการที่ทำงานเกี่ยวกับโทรคมนาคมและนักธุรกิจที่เคยทำงานในกิจการโทรคมนาคม ทำให้ กทช.หรือ คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ มีความไม่ชอบธรรมในการดำเนินการ นอกจากนี้เพียงเดือนแรกของการเข้ารับตำแหน่ง คณะกรรมการกทช.ยังสวนกระแสด้วยการขอขึ้นเงินเดือนตัวเอง เป็นเดือนละ 1 ล้านบาท โดยอ้างว่าเพราะรายได้ที่เคยได้รับในธุรกิจโทรคมนาคมนั้นมากกว่านี้ และต้องดูแลธุรกิจที่มีเม็ดเงินกว่า แสนล้านต่อปี ทำให้ต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น เป็นต้น
ส่วนชาวบ้านที่ต้องการผลิตสินค้าของชุมชนบางส่วนไม่ได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง และต้องแข่งขันกับผู้ผบิตสินค้ามืออาชีพ จึงไม่ได้รับการส่งเสริมเท่าที่ควร หรือ นโยบายแปลงสินทรัพย์ให้เป็นทุน ประชาชนในชนบทมักไม่ได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ทราบแต่เพียงว่า ทรัพย์ที่มีอยู่อาจมีค่านำไปจำนอง จำนำ ค้ำประกันหนี้เงินกู้ได้ แม้แต่ชายทะเลที่น้ำท่วมถึงภายในระยะ 3 กิโลเมตรริมฝั่งอันเป็นเขตประมงชายฝั่ง ก็ถูกนำไปศึกษาว่าจะสามารถแบ่งตารางกันเพื่อแบ่งเขตการจับปลา คล้ายๆกับชาวนาต้องมีที่ทำกินของตนเอง ที่ในทะเลนั้น ชาวประมงก็ต้องทำแบบนั้น ใครจะจับปลานอกเขตที่นาของตนย่อมไม่ได้ และสามารถนำที่นา ในทะเลไปค้ำประกันได้ เพราะเป็นสินทรัพย์ที่มีราคาแล้ว เป็นต้น จากสาเหตุที่ยกตัวอย่างมาเพียง 2 ประการ ทำให้สังคมไทยในวันนี้ การเมืองภาคประชาชนตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญนั้น ยังเป็นจริงได้ค่อนข้างช้า มีอยู่เรื่องเดียวที่ยังพอมีความหวัง นั่นคือ การตรวจสอบทุจริต ภาคประชาชน โดยกลุ่มคุณรสนา โตสิตระกูล ที่เคยทำกรณีการทุจริตในกระทรวงสาธารณสุขเมื่อหลายปีก่อน จนสามารถนำนักการเมืองติดคุกได้ แต่ยังคงเกาะติดการนำตัวข้าราชการในกรณีเดียวกันมาลงโทษอีก แม้ว่าองค์การพัฒนาเอกชนและภาคประชาชนจะพยายามมีส่วนร่วมในการนำเสนอนโยบายให้พรรคการเมือง เช่น องค์กรด้านสิ่งแวดล้อม เสนอให้ออกกฎหมายป่าชุมชนโดยเร็ว รัฐวิสาหกิจก็เสนอนโยบายไม่ให้ขายรัฐวิสาหกิจให้เอกชน (แต่ อ.ส.ม.ท. ได้ดำเนินการไปล่วงหน้าแล้ว) องค์การพัฒนาเอกชนในภาคอีสานเสนอให้ประชาชนมีส่วนร่วมในโครการพัฒนาของรัฐ ส่งเสริมการจัดการลุ่มน้ำ ไม่สร้างเขื่อนขนาดใหญ่ ไม่นำเข้าปุ๋ยเคมีแต่ส่งเสริมกาทำปุ๋ยชีวภาพ ที่สำคัญจิตวิญญาณของการระดมทุนในหมู่ประชาชนในรูปของสหกรณ์ ได้หายไปแล้ว เพราะการทุ่มเม็ดเงินลงไปให้ประชาชน ตามนโยบายการตลาดเพื่อประชาชนของพรรคไทยรักไทย จึงส่งผลให้ความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างคนในชุมชนสั่นคลอนลง การเก็บออมเพื่ออนาคตที่ดีกว่า การใช้จ่ายเงินเพื่อให้ทันกระแสสังคมได้เข้ามาแทนที่ หากเราต้องการเห็นการเมืองภาคประชาชนที่มีประสิทธิภาพ เราคงต้องใช้เวลาในการในการมองการเมืองว่าเป็นเรื่องของอนาคตของคนในรุ่นต่อๆไป มิใช่การเมืองเพื่อความอยู่ดี กินดีในชั่วปีนี้หรือ 4 ปีข้างหน้า แต่การวางรากฐานของการจัดการคุณภาพชีวิต คุณภาพสิ่งแวดล้อมและคุณภาพทางความรู้ของประชาชนจะต้องได้รับการส่งเสริมและพัฒนา ควบคู่ไปกับการพัฒนาความเป็นไปของผู้คนในโลก โดยเฉพาะเพื่อนบ้านรอบๆตัวเรา ว่าเราจะส่งเสริมคุณภาพชีวิตของคนรอบบ้านเราอย่างไร เพื่อให้สามารถลืมตาอ้าปากได้ทัดเทียมกับเรา เพื่อนบ้านไม่ใช่คู่แข่งของเรา และเพื่อนร่วมโลกที่อื่นๆก็ไม่ใช่คู่แข่งของเราเช่นกัน การเมืองภาคประชาชน อาจไม่ประสบผลในอีก 4 ปี ที่เราจะมีรัฐบาลใหม่ แต่การเมืองภาคประชาชนจะประสบผลอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตามจังหวะก้าวของสำนึกของทุกกลุ่มในสังคม แล้ววันที่ 6 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ท่านมีส่วนในการสร้างสรร การเมืองภาคประชาชนหรือไม่? (จาก วารสารผู้ไถ่ ปีที่ ๒๖ ฉบับที่ ๖๗ ม.ค. - เม.ย ๒๕๔๘ หน้า ๖๘-๗๐)
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า |
---|