เครือข่ายศาสนิกชน ประกอบด้วย
คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อความยุติธรรมและสันติ (ยส.), กลุ่มเสขิยธรรม, สภาองค์การมุสลิมแห่งประเทศไทย, เครือข่ายพุทธศาสนิกสัมพันธ์เพื่อสังคมนานาชาติ ร่วมกับ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ และ หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ จัดให้มีการแถลงนโยบาย จุดยืน และวิสัยทัศน์ด้านศาสนาและระบบคุณธรรม-จริยธรรมในสังคม ในการสัมมนาหัวข้อ
“นโยบายศาสนา กับ อนาคตสังคมไทย (หลังการเลือกตั้ง ???) เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2548 ณ หอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมฟัง ได้แก่ พระสงฆ์ นักบวชคาทอลิก ผู้นำมุสลิม นักเคลื่อนไหวทางสังคม นักศึกษา และประชาชนทั่วไป รวมประมาณ 150 คน
รศ.ดร.วไล ณ ป้อมเพชร เลขาธิการคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อความยุติธรรมและสันติ ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงานในครั้งนี้ว่า “สังคมปัจจุบันให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจมากกว่าด้านสังคมและวัฒนธรรม โดยเฉพาะในเรื่องของศาสนธรรม ทำให้คุณค่าทางศาสนธรรม คุณธรรมและจริยธรรม ถดถอยลง ดูได้จากการแสดงออกและการปฏิบัติของคนในสังคมโดยเฉพาะที่น่าเป็นห่วง คือเยาวชนของชาติ เครือข่ายศาสนิกชนจึงเห็นความจำเป็นที่จะต้องส่งเสริมศาสนธรรม คุณธรรมและจริยธรรม เพื่อความสงบสุขของสังคม แต่เนื่องจากยังไม่เห็นนโยบายของพรรคการเมืองใดจะมีนโยบายและวิสัยทัศน์ด้านนี้ที่เด่นชัด จึงได้เชิญตัวแทนพรรคการเมืองแต่ละพรรคมาแสดงวิสัยทัศน์ให้เราได้ทราบนโยบายที่สำคัญเรื่องหนึ่งของชาติ เพราะหากปราศจากคุณธรรม ศาสนธรรมและจริยธรรมแล้ว อนาคตของสังคมเราจะเป็นอย่างไรซึ่งเราเป็นห่วง”
การสัมมนาครั้งนี้ได้เปิดโอกาสให้พรรคการเมืองสำคัญๆ ได้แก่ พรรคประชาธิปัตย์ โดย นายบัญญัติ บรรทัดฐาน หัวหน้าพรรค ซึ่งให้เกียรติมาด้วยตนเอง พรรคชาติไทย ได้ส่ง นายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรค มาเป็นตัวแทน และพรรคมหาชน ซึ่งได้ส่ง นายอภิชาติ ทองอยู่ โฆษกพรรค มาร่วมแสดงวิสัยทัศน์ ด้านศาสนา และแนวคิดด้านคุณธรรม-จริยธรรมในสังคม
ก่อนเริ่มการแถลงนโยบายด้านศาสนาของพรรคต่างๆ
พระกิตติศักดิ์ กิตติโสภโณ ประธานกลุ่ม เสขิยธรรม ในฐานะผู้ดำเนินรายการ ได้ชี้แจงถึงสาเหตุที่ไม่มีตัวแทนจากพรรคไทยรักไทยมาร่วมงานในวันนี้ว่า พรรคไทยรักไทยโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้แจ้งให้ทราบเช้าวันนี้ว่าไม่ประสงค์มาร่วมกิจกรรมที่ ศาสนิก 3 ศาสนาจัดขึ้น ทั้งนี้ไม่น่าประหลาดใจนักเนื่องจากที่ผ่านมานโยบายของพรรคไทยรักไทยก็แสดงชัดเจนแล้วว่าไม่ได้คำนึงถึงเรื่องของคุณธรรมและจริยธรรม อย่างไรก็ตามการที่ศาสนิกได้มีโอกาสมารับฟังแนวนโยบายด้านศาสนาจากตัวแทนพรรคการเมือง จะเป็นประโยชน์ต่อการร่วมมือกันทำให้บ้านเมืองมีความแข็งแกร่งด้านคุณธรรม จริยธรรมมากขึ้น
“การรับฟังนโยบายด้านศาสนา คุณธรรม จริยธรรม วันนี้เพื่อเป็นโอกาสให้เราได้ซักซ้อมทำความเข้าใจว่า บ้านเมืองในอนาคตที่ดูเหมือนว่าแนวโน้มด้านคุณธรรม จริยธรรม ภายใต้การบริหารของบางพรรคการเมืองอาจทำให้เกิดปัญหาซับซ้อนยิ่งขึ้น การทำให้บ้านเมืองมีความแข็งแกร่งด้านคุณธรรม จริยธรรม มากไปกว่าความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียวที่อาจนำปัญหาทับถมตามมา เรื่องของศาสนธรรมควรจะถูกหยิบยกมาเป็นเรื่องหลักในการกำหนดโครงสร้างหรือนโยบายของพรรคการเมือง เช่นเดียวกับเรื่องของเศรษฐกิจ การเมือง เพื่อไม่ให้เมื่อเกิดปัญหาที่ปลายเหตุแล้วบอกว่า เป็นผลมาจากความบกพร่องของศีลธรรม จริยธรรม”
การแถลงแนวนโยบายและวิสัยทัศน์ด้านศาสนาเริ่มจาก
นายบัญญัติ บรรทัดฐาน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งได้กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์มีวิสัยทัศน์ด้านจริยธรรมอย่างครบถ้วนบริบูรณ์เห็นได้จากสาระสำคัญที่ปรากฏอยู่ตั้งแต่หน้าแรกของนโยบายพรรค ไปจนถึงสอดแทรกอยู่ในนโยบายการศึกษา ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม รวมไปถึงนโยบายรายสาขาย่อยลงไปที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของศาสนา นายบัญญัติยังได้กล่าวถึงการบริหารงานตลอด 4 ปีของรัฐบาลที่ดำเนินการในเรื่องของอบายมุข ทั้งเรื่องหวยบนดิน, บ่อนเสรี และพนันบอล ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ไม่เห็นด้วยเพราะยิ่งเป็นการทำลายค่านิยมที่ถูกต้องดีงามของสังคมไทย
“การที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมากมายเกินไปจนเกิดปัญหาสังคมตามมา ซ้ำยังพยายามรื้อโครงสร้างเก่าของศีลธรรม จริยธรรม ทำลายคุณค่าความดีงามในสังคมให้ผิดเพี้ยนไปจากเดิม ยิ่งจะทำให้เกิดความสับสนวุ่นวายและเกิดปัญหาตามมา พรรคประชาธิปัตย์ตระหนักถึงความสำคัญของศาสนา คุณธรรมและจริยธรรม และจะร่วมมือกับทุกเครือข่ายในสังคมในการเชิดชูให้คุณธรรมดำรงอยู่ในสังคมไทย”
นายอภิชาติ ทองอยู่ โฆษกพรรคมหาชน กล่าวว่า “ตอนนี้ศาสนาถูกกดดันเพราะถูกมองว่าเป็นตัวขัดขวางการพัฒนา เป็นวัตถุล้าหลัง ดังนั้นภาคประชาชนต้องประกาศศักดิ์ศรีของเราว่า เราจะยอมให้คนๆ หนึ่งนำประเทศไปตามที่เขาต้องการหรือเราต้องการปกป้องศักดิ์ศรีและแนวทางของเราไว้ หากพรรคมหาชนได้เป็นรัฐบาลจะกอบกู้ศักดิ์ศรี อัตลักษณ์ท้องถิ่น คุณค่าของคนในชาติ ให้หลุดพ้นจากการตกเป็นเหยื่อ เป็นลูกค้า จากกลไกสร้างกำไรให้รัฐ กลับมาเป็นกลไกพัฒนาชาติ ที่ทุกคนมีที่ยืน มีความงดงามทางสติปัญญา ตอบสนองอัตลักษณ์ของคนในท้องถิ่นได้”
นายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทย กล่าวว่า หน้าที่ของนักการเมืองคือการเรียนรู้ เรื่องของศาสนาจึงสมควรได้รับการบรรจุในนโยบายพรรคเพื่อสนับสนุนให้นักการเมืองได้เรียนรู้เรื่องศาสนาด้วย โดยสอดแทรกในเรื่องเศรษฐกิจ และการเมือง สำหรับนโยบายของพรรคชาติไทยเขียนไว้ชัดเจนว่าได้นำหลักธรรมของศาสนามาใช้ในการดำรงชีวิต ดังจะเห็นได้จากนโยบายที่ประกาศว่า “สัจจะนิยม สร้างสังคมสมดุล” เนื่องจากเห็นปัญหาว่าขณะนี้สังคมไม่ค่อยมีความสมดุล ควรส่งเสริมให้ศาสนาเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเพราะศาสนาทุกศาสนานำไปสู่ความดีงาม พรรคชาติไทยให้ความสำคัญกับเรื่องของศาสนาที่นำมาใช้ในการดำรงชีวิตและเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติของทุกศาสนาในสังคมไทย เพราะหากเราไม่ส่งเสริมเรื่องศาสนา ในอนาคตเมื่อมีปัญหาความขัดแย้งเราจะไม่สามารถจัดการได้”
“สังคมไทยขณะนี้กำลังเสียสมดุลอย่างรุนแรง สังคมกำลังแตกร้าว หากเราไม่มีศาสนาเพื่อมาสอน มาเยียวยา จะมีปัญหาที่เราแก้ไม่ตกและจะลุกลามไปใหญ่โต”
ต่อจากนั้นตัวแทนศาสนิก 3 ศาสนา ได้ร่วมแลกเปลี่ยนทรรศนะและฝากนโยบายด้านศาสนาไปยังตัวแทนพรรคการเมืองที่มาร่วมงาน โดยเริ่มจาก
พระศรีปริยัติโมลี รองอธิการบดีฝ่ายกิจการต่างประเทศ ม.มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ซึ่งได้ให้ทรรศนะว่า สิ่งสำคัญที่นักการเมืองต้องคิดถึงคือ ธรรมะ หรือ ที่แปลว่าอุดมการณ์ เพื่อเป็นตัวนำกิจกรรมต่างๆ ทางการเมืองไม่ว่าจะเป็นการออกกฎหมาย การพัฒนาธุรกิจ การจัดการศึกษา หรือการบริหารประเทศ ต้องมีธรรมะเป็นบรรทัดฐานและมาตรฐานของความเป็นนักการเมืองที่ประพฤติธรรม ส่วนประชาชนต้องเรียกร้องให้นักการเมืองมีนโยบายด้านศาสนาและศีลธรรมเพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง
“ถ้าผู้ปกครองบ้านเมืองประพฤติธรรมไพร่ฟ้าบ้านเมืองก็อยู่เป็นสุข แต่เราขาดนักการเมืองที่เข้าใจทิศทางของบ้านเมือง พวกเราต้องเรียกร้องให้นักการเมืองมีนโยบายทางศีลธรรม ทางศาสนา เพราะ มิฉะนั้นจะนำประเทศชาติไปสู่ความหายนะ ดังที่ท่านพุทธทาสกล่าวว่า “หากศีลธรรมไม่กลับมา โลกาก็จะวินาศ”
ทางด้านตัวแทนจากคาทอลิก
อ.ไทยวัฒน์ นิลเขต อาจารย์ภาควิชาพื้นฐานทั่วไป คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ได้ฝากไปยังตัวแทนนักการเมืองว่า “หากรัฐสนับสนุนให้ศาสนิกทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างมีคุณภาพดีขึ้นเรื่อยๆ ปัญหาสังคมก็จะไม่มี ความสำคัญจึงอยู่ที่คน ความเจริญก้าวหน้าเกิดจากคนที่จะทำให้สังคมมีศีลธรรม บทบาทของครูจึงสำคัญ การสนับสนุนส่งเสริมพัฒนาศักยภาพของครูให้เป็นครูที่แท้จริง ที่สามารถสั่งสอนนักเรียนให้มีศีลธรรม จริยธรรม จึงเป็นสิ่งที่รัฐควรนำเสนอนโยบายในเรื่องนี้ให้ชัดเจน”
ส่วนตัวแทนศาสนาอิสลาม
นายนิติ ฮาซัน จากมูลนิธิเพื่อศูนย์กลางอิสลามแห่งประเทศไทย กล่าวว่า นโยบายของรัฐบาลซึ่งสะท้อนออกมาถึงความรุนแรงนั้นก็สะท้อนถึงศีลธรรมของนักการเมือง และภาวะทางจิตใจของผู้นำนั้นด้วย ทั้งที่น่าจะสะท้อนออกมาในเชิงคุณธรรม ศีลธรรมมากกว่า จึงเห็นว่านักการเมืองต้องมีศีลธรรมและจริยธรรม องค์กรศาสนาต้องผลักดันในเรื่องนี้ ศาสนิกชนต้องเรียกร้องให้ผู้แทนนักการเมืองที่จะไปเป็นรัฐบาลในรัฐบาลชุดใหม่ได้เข้าใจ ตระหนัก และนำหลักของศาสนาและคุณธรรม ไปดำเนินการให้เป็นผล
“อยากเรียกร้องศาสนิกของทุกศาสนาให้มีเสียงสะท้อนต่อสาธารณะหรือต่อศาสนิกชนแต่ละศาสนาให้มากขึ้น ส่วนตนเองในนามของมุสลิม ก็จะรณรงค์ให้พี่น้องมุสลิมเรียกร้องนำหลักการของศาสนิกเสนอต่อรัฐบาล ทั้งนี้ศาสนิกชนเองก็ต้องนำหลักธรรมคำสอนของศาสนา มาใช้ให้เกิดสันติสุขและความเป็นธรรมในสังคมด้วย”