ลำดับสถานการณ์การแปรรูปกิจการไฟฟ้า
๒๕๓๕ - รัฐบาลส่งเสริมให้เอกชนมีบทบาทในการผลิตไฟฟ้า โดยเห็นชอบระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (เอสพีพี) และรายใหญ่ (ไอพีพี) ๕ มีนาคม ๒๕๓๙ - มีการศึกษาแนวทางการปรับโครงสร้างและแปรรูปกิจการไฟฟ้า และมีการเสนอให้แยกกิจการไฟฟ้าออกเป็นหลายๆ ส่วน แล้วจึงแปรรูปเข้าตลาดหลักทรัพย์ ๑ กันยายน ๒๕๔๑ และ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๔๒ - มีการเสนอให้จัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระ สาขาพลังงาน ๒๕๔๒ - พ.ร.บ. ทุนรัฐวิสาหกิจ (หนึ่งในกฎหมาย ๑๑ ฉบับ) เกิดขึ้นตามเงื่อนไขของเจ้าหนี้ต่างประเทศ คือ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ที่ให้ประเทศไทยในฐานะประเทศลูกหนี้ต้องขายรัฐวิสาหกิจ ๒๕ กรกฎาคม และ ๓ ตุลาคม ๒๕๔๓ - มติครม. อนุมัติเรื่องการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า (พาวเวอร์พูล) รวมทั้งให้มีการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระ สาขาพลังงาน ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๔๖ - นายสิทธิพร รัตโนภาส ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า ได้จ้างบริษัทที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อดำเนินการแปรรูป กฟผ. ให้เป็นบริษัทจำกัดภายในสิ้นปี ๒๕๔๖ และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายในเดือนมีนาคม ๒๕๔๗ โดย กฟผ. จะขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ๓๐ เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าสินทรัพย์ที่มีอยู่ คือประมาณ ๖ หมื่นล้านบาท และคาดว่าจะกลายเป็นบริษัทจดทะเบียนที่ใหญ่ที่สุดในตลาด เพราะมีมูลค่าหุ้นสูงถึง ๒ แสนล้านบาท โดยรัฐบาลจะยังถือหุ้นใน กฟผ. ๕๑ เปอร์เซ็นต์ และกล่าวว่าจะมีการโรดโชว์หุ้นเพื่อขายให้นักลงทุนในต่างประเทศด้วย สิงหาคม ๒๕๔๖ - ผู้ว่า กฟผ. ให้สัมภาษณ์ว่า จากนี้ไปจนถึงปี ๒๕๔๙ กฟผ. จะไม่ขึ้นราคาค่าไฟฟ้า และจะลดราคาให้ด้วย ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ - ผู้ว่า กฟผ. เปิดเผยว่า ถึงตอนนี้ไม่มั่นใจแล้วว่า ราคาค่าไฟฟ้าหลังจากที่ กฟผ. แปรรูปเป็นบริษัทเอกชนจะถูกลง หรือไม่แพงขึ้นตามที่เคยพูดได้ เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้าที่กระทรวงพลังงานจะตั้งขึ้นว่าจะกำหนดกติกา โครงสร้างราคาค่าไฟฟ้า และกติกาการเปิดให้เอกชนประกวดราคาผลิตไฟฟ้าแข่งกับ กฟผ.ให้เป็นรูปแบบใด หากไม่มีความชัดเจนและไม่เป็นธรรม จะมีผลต่อราคาค่าไฟฟ้าที่ประชาชนต้องจ่ายและยังมีผลต่อการกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ของ กฟผ. เพราะหากไม่สามารถตอบคำถามนักลงทุนได้ ก็จะทำให้มูลค่าหุ้นของ กฟผ. ตกต่ำ ๙ กันยายน ๒๕๔๖ - ครม. มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ให้ยกเลิกมติ ครม. เมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๔๓ และ ๓ ตุลาคม ๒๕๔๓ เรื่องการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า (พาวเวอร์พูล) โดยกระทรวงพลังงานจะนำเสนอโครงสร้างกิจการไฟฟ้าที่เหมาะสมต่อไป และเห็นชอบในหลักการให้ กฟผ. แปลงสภาพเป็นบริษัททั้งองค์กร โดยใช้พระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๔๒ ๙ ธันวาคม ๒๕๔๖ - ครม. ให้ความเห็นชอบโครงสร้างกิจการไฟฟ้ารูปแบบผู้ซื้อไฟฟ้ารายเดียว (Enhanced Single Buyer) รวมถึงการใช้ผลตอบแทนการลงทุน ๙ เปอร์เซ็นต์ ตามที่บริษัทที่ปรึกษา ชื่อ บอสตัน คอนซัลติ้ง กรุ๊พ (ประเทศไทย) ทำการศึกษา มกราคม ๒๕๔๗ - กฟผ. ทำการวิเคราะห์ฐานะทางการเงินขององค์กร และพบว่าหากรัฐบาลไม่ขึ้นค่าไฟฟ้า ผลตอบแทนการลงทุนของ กฟผ. ในปี ๒๕๔๗ - ๒๕๕๑ จะอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งไม่สามารถดึงดูดนักลงทุนในตลาดหุ้นได้ มกราคม ๒๕๔๗ - กฟผ. เปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในการแปลงสภาพเป็นบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) โดยเวียนไปตามภาคต่างๆ (๖ ม.ค.- กรุงเทพฯ, ๑๑ ม.ค.- ลำปาง, ๑๘ ม.ค.- กระบี่, ๒๕ ม.ค.- กรุงเทพฯ, ๑ ก.พ.- ขอนแก่น) ๒๓ มกราคม ๒๕๔๗ - สหพันธ์องค์กรผู้บริโภค และองค์กรพันธมิตรอีก ๑๒ องค์กร ส่งหนังสือถึงประธานคณะกรรมการการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน โดยชี้แจงว่า การแปรสภาพดังกล่าวมีความขัดแย้งกับแนวนโยบายของรัฐบาล เนื่องจาก (๑) บริษัท กฟผ. มหาชน ในอนาคต จะยังได้รับสิทธิพิเศษต่างๆ ที่เหนือผู้ประกอบการรายอื่น และจะเป็นผู้ผูกขาดธุรกิจไฟฟ้ารายเดียว (๒) มีการโอนสิทธิที่ควรเป็นของรัฐให้เป็นของบริษัท กฟผ. (๓) ไม่มีการแยกบทบาทที่ชัดเจนระหว่างผู้ประกอบการและผู้กำหนดกฎเกณฑ์ ทำให้อาจมีการใช้อำนาจในทางมิชอบได้ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ - รัฐบาลประกาศขึ้นค่าเอฟที ๑๒.๑๖ สตางค์/หน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ๔.๘ เปอร์เซ็นต์ โดยอ้างว่าต้นทุนสูงขึ้น เพราะเปลี่ยนเชื้อเพลิงจากก๊าซไปเป็นน้ำมันเตา ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้กระทรวงพลังงานออกมาให้นโยบายแล้วว่า จะให้ กฟผ. และ ปตท. รับภาระส่วนนี้ไป โดยต้องไปหาทางลดต้นทุนเอาเอง ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ - ครม. ได้อนุมัติการแปรสภาพ กฟผ. ให้เป็นบริษัทมหาชน ภายใต้ชื่อ บริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) โดยให้ดำเนินการจดทะเบียนตั้งบริษัทวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๔๗ และเข้าซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ภายในวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๔๗ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ - กฟผ. และรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานออกมาเตือนว่า ค่าเอฟทีในงวดต่อไปจะเพิ่มขึ้นอีก ๕ สตางค์/หน่วย ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ - พนักงาน กฟผ. และตัวแทนพนักงานรัฐวิสาหกิจรวมตัวชุมนุมคัดค้านการแปรรูปกิจการไฟฟ้า และรัฐวิสาหกิจ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๔๗ - สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ประมาณ ๒๐๐ คน เดินทางมายังทำเนียบฯ เพื่อยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเป็นครั้งสุดท้ายในการเรียกร้องให้ยุติการแปรรูป กฟผ. ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๔๗ - พนักงานรัฐวิสาหกิจของเครือข่ายปกป้องกิจการไฟฟ้าและประปา ประกอบด้วยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.), การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.), การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.), การประปานครหลวง (กปน.), และการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) กว่า ๑๐,๐๐๐ คนได้รวมตัวกันที่ลานพระบรมรูปทรงม้าเพื่อเดินเท้าไปถวายฎีกาที่สำนักราชเลขาธิการ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๔๘ - มติคณะรัฐมนตรี เห็นชอบในการแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเข้าตลาดหลักทรัพย์ โดยให้จัดตั้งเป็นบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) ได้ภายในเดือนพฤษภาคม เพื่อจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ในเดือนพฤศจิกายน ๘ - ๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ - สหพันธ์องค์กรผู้บริโภค มูลนิธิผู้บริโภค กลุ่มพลังงานทางเลือก และนักเคลื่อนไหวทางสังคม ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุด ให้ระงับการนำหุ้น กฟผ. เข้าตลาดหลักทรัพย์ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ - ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งระงับซื้อขายหุ้นของบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) ไว้ชั่วคราวจนกว่าจะมีคำพิพากษา ๗ ธันวาคม ๒๕๔๘ - ผู้ถูกฟ้องคดีได้ส่งคำให้การมาให้ศาลปกครองสูงสุด เพื่อแก้คำฟ้องของฝ่ายผู้ฟ้องคดี ๒๖ มกราคม ๒๕๔๘ - ประชาชนทั่วไปกว่า ๒,๐๐๐ คน มอบอำนาจให้ทนายขอเข้าเป็นผู้ร่วมฟ้องคดีด้วย ซึ่งปัจจุบันมีผู้ฟ้องคดี กฟผ. รวม ๒,๐๓๖ คน ๓๑ มกราคม ๒๕๔๙ - ผู้ฟ้องคดีนำโดยนางสาวรสนา โตสิตระกูล, นางสาวสารี อ๋องสมหวัง, นางสาวสายรุ้ง ทองปลอน และทนายผู้รับมอบอำนาจฟ้องคดี นายนคร ชมพูชาติ และนายนิติธร ล้ำเหลือ ได้เดินทางมายื่นคำคัดค้านคำให้การของฝ่ายผู้ถูกฟ้อง ต่อศาลปกครองสูงสุด ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ - นายชัยอนันต์ สมุทวณิช ลาออกจากตำแหน่งประธานคณะกรรมการ บริษัท กฟผ. ด้วยความกังวลว่าในอนาคตรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะดำเนินการอย่างเดียวกับบริษัท ชินวัตร ที่ได้สัมปทานจากรัฐแล้วให้บริษัทต่างชาติ โดยกล่าวว่า “ไม่เห็นด้วยกับการใดๆ อันจะนำไปสู่การเข้ามาครอบงำกิจการสาธารณูปโภคโดยทุนต่างชาติ” (ข้อมูล ณ เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๙)
|