บทความล่าสุด |
---|
อนึ่ง บทความ หรือข้อเขียนทั้งหมดที่นำลงเว็บไซต์ jpthai.org เป็นทัศนะเฉพาะของผู้เขียน
ทางเว็บไซต์ jpthai อนุญาตให้คัดลอกบทความ/ข้อมูล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้
Donation / สนับสนุนการดำเนินงาน
|
กฎหมายห้ามการทรมานและอุ้มหาย : ความหวังในการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม |
Wednesday, 26 April 2023 | ||||
ศราวุฒิ ประทุมราช
กรณีผู้กำกับโจ้ซ้อมทรมานผู้ต้องหาโดยใช้ถุงดำคลุมศีรษะจนผู้ต้องหาหายใจไม่ออกเสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจ ยังคงเป็นภาพและข่าวที่หลายท่านสะเทือนใจ หลายท่านอาจสะใจ และคิดกันไปต่างๆ นานา เช่นว่า เป็นผู้ร้ายปากแข็งก็ต้องเจอแบบนี้บ้าง หรือสงสารญาติพี่น้องของผู้ต้องหาที่เสียชีวิตบ้าง ฯลฯ อย่างไรก็ตามในแง่สิทธิมนุษยชน การซ้อมทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายโดยเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐถือเป็นอาชญากรรมและการละเมิดสิทธิในชีวิตและร่างกาย ที่ต้องมีมาตรการในการป้องกันและปราบปรามให้เจ้าหน้าที่รัฐ ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างถูกต้อง โดยการเคารพ ปกป้องและทำให้ทุกคนได้รับสิทธิ อันเป็นหน้าที่พื้นฐานของรัฐในการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน บทความนี้จึงขอนำเสนอประเด็นเกี่ยวกับกฎหมายฉบับใหม่ที่ตราขึ้นเพื่อป้องกันและปราบปรามเจ้าหน้าที่รัฐมิให้กระทำการซ้อมทรมาน ลงโทษอย่างโหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และกระทำให้บุคคลสูญหาย
ความเป็นมา ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน และการประติบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (Convention against Torture and Other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment or Punishment: CAT) ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ และได้ลงนามรับรองอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญ (International Convention for the Protection of All Persons from Enforced Disappearance: ICPPED) เมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๕ ซึ่งคณะรัฐมนตรี และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้มีมติเห็นชอบในหลักการการให้สัตยาบันต่ออนุสัญญา ICPPED เมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๙ และเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๐ ตามลำดับส่งผลให้ประเทศไทยต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของสนธิสัญญาทั้งสองฉบับ กล่าวคือ การจัดให้มีมาตรการป้องกันมิให้เกิดการกระทำการทรมานฯ และการจัดให้มีการเยียวยาผ่านกลไกของ พ.ร.บ. ค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔ และ พ.ร.บ. กองทุนยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๕๘ การจัดทำรายงานและการนำเสนอรายงานการปฏิบัติตามอนุสัญญา CAT ฉบับแรกในปี ๒๕๕๗ และจัดทำรายงานฉบับที่ ๒ ไปในเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๑ โดยนำข้อสังเกตเชิงสรุป (Concluding Observations) และคำแนะนำต่าง ๆ ของคณะกรรมการประจำอนุสัญญาฯ มาพิจารณาร่วมด้วย ที่สำคัญประเทศไทยต้องจัดทำกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการทำให้บุคคลสูญหายด้วย ซึ่งเป็นที่น่ายินดีที่พระราชบัญญัติป้องกัน และปราบปรามการทรมาน และการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. ๒๕๖๕ ได้มีการประกาศใช้ในวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๕ โดยมาตรา ๒ ได้บัญญัติว่า พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกําหนดหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ซึ่งจะมีการบังคับใช้ในวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖
ประเด็นสำคัญในการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ตามพรบ. นี้ ก. มาตรการป้องกันการทรมานและการถูกอุ้มหาย ๑. กฎหมายนี้ได้นิยามความหมายของ "ผู้เสียหาย" ไว้กว้างกว่าในกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา กล่าวคือ โดยให้รวมถึง สามี ภริยา ทั้งที่จดและไม่จดทะเบียน (แต่ไม่รวมถึงคู่ชีวิตที่ยังไม่มีกฎหมายรองรับ) บุพการี ผู้สืบสันดาน และผู้อยู่ในอุปการะ ทั้งที่จดและไม่จดทะเบียน ถือเป็น "ผู้เสียหาย" คือให้ดูตามสภาพความเป็นจริงว่าผู้นั้นเป็นครอบครัวเดียวกัน อุปการะเด็กตามความเป็นจริง แม้ไม่จดทะเบียนรับเป็นบุตรบุญธรรม ก็สามารถมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมและให้ได้รับการเยียวยาได้ด้วย ๒. ฐานความผิดตามกฎหมายนี้มี ๓ ประการ คือ ๑. เจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีอำนาจจับกุมและสอบสวน กระทำการทรมานต่อร่างกายหรือจิตใจ ๒. กระทำการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมและย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เช่น จับไปแล้วเรียกมาสอบสวนตีสาม เพื่อไม่ให้ได้หลับได้นอน เอาไปตากแดดนานๆ จับไปขังในห้องแอร์ที่เย็นจัดโดยไม่ให้ใส่เสื้อผ้า เป็นต้น และ ๓. การทำให้บุคคลที่ถูกจับหายตัวไป โดยไม่แจ้งให้ญาติทราบว่าควบคุมตัวไว้ที่ไหน โดยการกระทำดังกล่าวต้องมีเจตนาที่จะรีดเอาข้อมูลเพื่อให้บุคคลนั้นรับสารภาพ หรือซัดทอดคนอื่นว่าเป็นผู้กระทำผิด ๓. เมื่อถูกจับกุมกฎหมายบัญญัติให้เจ้าหน้าที่ผู้จับกุมต้อง "บันทึกภาพและเสียง" อย่างต่อเนื่องตั้งแต่การ จับกุมจนกระทั่งนำตัวมาส่งพนักงานสอบสวนหรือว่าปล่อยตัวไป ๔. เจ้าหน้าที่ที่จับกุมต้องทำบันทึกว่าใครเป็นหัวหน้าที่สั่งการให้ทำการจับกุม เจ้าหน้าที่ที่รับตัวผู้ถูกจับมาควบคุมต่อจากการจับกุมต้องทำบันทึกสภาพร่างกายและจิตใจก่อนนำตัวเข้าห้องขังและภายหลังนำตัวออกจากห้องขัง
ข. การสอบสวนและการเข้าถึงการใช้สิทธิทางศาล ๕. กฎหมายบัญญัติให้มีหน่วยงาน ๔ หน่วยงาน ที่สามารถทำการสอบสวนเมื่อมีการร้องเรียนว่ามีการทรมานหรืออุ้มหาย คือ พนักงานสอบสวนของตำรวจ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองระดับนายอำเภอหรือผู้อำนวยการสำนักการสอบสวนและนิติการ อัยการและพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ DSI โดยให้ผู้เสียหายสามารถไปแจ้งความที่หน่วยงานใดก็ได้ให้ทำการสอบสวน และหน่วยงานนั้นต้องแจ้งให้พนักงานอัยการทราบ เพื่อให้พนักงานอัยการเข้ามาเป็นผู้กำกับดูแลการสอบสวน ๖. ญาติ ตัวผู้เสียหายและผู้เสียหายเอง สามารถร้องต่อศาลให้ทำการไต่สวนฝ่ายเดียว เมื่อมีการร้องว่ามีการทรมานหรือจะมีการอุ้มหาย และศาลมีอำนาจสั่งให้เปลี่ยนสถานที่ควบคุม สั่งให้พบญาติ สั่งให้เข้ารับการรักษาพยาบาล หรือสั่งปล่อยบุคคลนั้น ๗. บุคคลใดก็ได้หากทราบว่ามีการทรมานหรืออุ้มหายให้ร้องเรียนไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย เพื่อให้ตรวจสอบกรณีร้องเรียนนั้นๆ และมีสิทธิได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมายจากคณะกรรมการฯ ๘. ให้ศาลคดีทุจริตและประพฤติมิชอบเป็นศาลรับฟ้องและพิจารณาคดีทรมานและอุ้มหาย โดยศาลนี้ให้ใช้ระบบไต่สวนในการค้นหาความจริง ซึ่งศาลสามารถเรียกให้หน่วยงานส่งตัวผู้ถูกจับกุมหรือให้ส่งเอกสารที่เกี่ยวข้อง เช่นบันทึกการจับกุม มาให้ศาลพิจารณาได้ ทำให้การดำเนินคดีเป็นไปโดยรวดเร็ว ๙. เจ้าหน้าที่ทหารที่ถูกหาว่ากระทำการทรมานหรืออุ้มหายบุคคลใด ให้นำตัวมาขึ้นศาลคดีทุจริตและ ประพฤติมิชอบ ไม่ใช่ขึ้นศาลทหาร ๑๐. ผู้บังคับบัญชาที่ปล่อยปละละเลยหรือมีส่วนรู้เห็นในการทรมานหรืออุ้มหาย หรือทราบการกระทำ ทรมานและอุ้มหายแต่นิ่งเฉยไม่ดำเนินการใดๆ ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของผู้ใต้บังคับบัญชาที่ดำเนินการอันเป็นความผิดตามกฎหมายนี้ ๑๑. ผู้เสียหายมีสิทธิได้รับทราบความคืบหน้าของกรณีที่ร้องเรียน หรือข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการ จับกุม บันทึกการจับกุม จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยหน่วยงานนั้นๆ ต้องเปิดเผยให้ทราบ เช่น รวมถึงได้รับทราบความคืบหน้าของการดำเนินคดีด้วย
ค.การเยียวยา ๑๒. ให้เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ ในการแจ้งให้ผู้เสียหายทราบว่าตนมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายและการเยียวยา และผู้เสียหายต้องแจ้งให้อัยการทราบว่าตนประสงค์ขอใช้สิทธิได้รับการเยียวยา ๑๓. ผู้เสียหายสามารถร้องศาลขอให้มีการเยียวยาความเสียหายเบื้องต้นได้ โดย ขอให้ยุติการทรมาน หรือการกระทำที่โหดร้ายฯ ให้เปลี่ยนสถานที่ควบคุม ขอให้ญาติ ทนายความ หรือบุคคลที่ไว้ใจได้พบเป็นส่วนตัว ขอให้มีการรักษาพยาบาลและการประเมินโดยแพทย์ทางนิติเวชศาสตร์และแพทย์ทางนิติจิตเวชศาสตร์ ทำบันทึกทางการแพทย์และการฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ
ข้อห่วงใยต่อการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ อย่างไรก็ตามในวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ รัฐบาลได้ตราพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. ๒๕๖๕ พ.ศ. ๒๕๖๖ โดยอ้างว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการปฏิบัติการตามกฎหมายและหน่วยงานอื่นที่มีหน้าที่รับผิดชอบการควบคุมตัว ยังมีปัญหาและอุปสรรคเกี่ยวกับความพร้อมด้านงบประมาณ การจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์ และขั้นตอนการปฏิบัติงาน ในการกำหนดมาตรการป้องกันการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ซึ่งการขอขยายระยะเวลาบังคับใช้นั้น หมายถึง ใน ๔ กรณี คือ ๑. การให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้รับผิดชอบการควบคุมตัวยังไม่ต้องบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับการควบคุมตัว และแจ้งให้พนักงานอัยการและเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองในท้องที่ทราบโดยทันที ๒. เจ้าหน้าที่ไม่ต้องบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถูกควบคุมตัว เช่น ชื่อ นามสกุล หรือตําหนิรูปพรรณ ฯลฯ ๓. เจ้าหน้าที่สามารถปฏิเสธที่จะเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถูกควบคุมตัวได้ เพื่อมิให้ผู้มีส่วนได้เสีย เช่น ญาติ หรือทนายความ ใช้สิทธิยื่นคําร้องต่อศาลที่ให้ตรวจสอบว่ามีการทรมาน การกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือกระทำให้สูญหาย และ ๔. เจ้าหน้าที่มีสิทธิไม่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถูกควบคุมตัวได้ โดยขอบังคับใช้กฎหมายห้ามทรมานฯ เต็มรูปแบบ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๖ เป็นต้นไป การขอขยายระยะเวลาบังคับใช้กฎหมายเช่นนี้ น่าเป็นห่วงว่าในการตรวจค้นจับกุมบุคคล หากเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ติดกล้องติดตามตัวเจ้าหน้าที่หรือ Body Cam แล้ว จะเกิดการซ้อมทรมานหรือการปฏิบัติโดยมิชอบและยังเป็นการทำให้การตรวจ ค้น จับประชาชน อาจมีการรังแก รีดไถ หรือการประพฤติโดยมิชอบได้ ทั้งๆ ที่มาตรการที่กฎหมายกำหนดเช่นนี้ ย่อมเป็นการป้องกันตัวเจ้าหน้าที่เองว่าได้ดำเนินการตรวจค้นจับ โดยถูกต้องตามกฎหมาย เจ้าหน้าที่ปฏิบัติต่อประชาชนโดยสุภาพ เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ บังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม แม้ฝ่ายตำรวจจะขอขยายระยะเวลาบังคับใช้กฎหมาย ๔ มาตรา ออกไป แต่กฎหมายห้ามการทรมานและอุ้มหายนี้ ก็ยังคงมีผลบังคับใช้อยู่เพราะส่วนราชการอื่นที่กฎหมายกำหนดให้มีหน้าที่ ยังคงต้องปฏิบัติตามกฎหมายนี้ โดยกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานอัยการสูงสุด ได้ประกาศจัดตั้ง "ศูนย์รับแจ้งเหตุ ทรมาน-อุ้มหาย" หรือ ศูนย์รับแจ้งการควบคุมตัวและดำเนินการตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.๒๕๖๕ ประชาชนที่พบเหตุเจ้าหน้าที่รัฐ กระทำการทรมาน โหดร้าย หรือทำให้บุคคลสูญหาย แก่บุคคลใด สามารถแจ้งได้ที่ - กรมการปกครอง ใน กทม. ตั้งอยู่ที่สำนักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง (วังไชยา) ถ.นครสวรรค์ เขตดุสิต ในภูมิภาคแจ้งที่ ที่ว่าการอำเภอที่เกิดเหตุ สอบถามเพิ่มเติม โทร. ๐ ๒๓๖๕ ๙๕๕๔ - สำนักงานอัยการสูงสุด รับแจ้งเหตุตลอด ๒๔ ชั่วโมง โทร. ๐ ๒๔๓๔ ๘๓๒๕-๒๗ ต่อ ๖๐๑ - ๖๐๕ หรือแจ้งได้ที่ ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ณ สำนักงานอัยการสูงสุด อาคารถนนบรมราชชนนี ชั้น ๑ แขวงฉิมพลี เขตตลิ่งชัน กทม. และในทุกจังหวัด รวม ๑๑๓ แห่งทั่วประเทศ
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|