หน้าหลัก arrow เว็บเพื่อนบ้าน
หน้าหลัก
รู้จักยส
อยู่กับปวงประชา
ข่าวย้อนหลัง
เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน
ผู้ไถ่ : รายงานสถานการณ์
การศึกษาเพื่อสิทธิ&สันติภาพ
สื่อสิ่งพิมพ์ ยส.
มุมมองสิทธิฯ ในหนัง
กิจกรรม ยส.
คลังภาพ ยส.
เว็บบอร์ด ยส.
เว็บเพื่อนบ้าน
Facebook ยส.

ยส. (ยุติธรรมและสันติ)

จำนวนผู้เข้าชม
ขณะนี้มี 145 บุคคลทั่วไป ออนไลน์

คลิก เขียนสมุดเยี่ยมคลิก เขียนสมุดเยี่ยม
ขอบคุณทุกท่าน
ที่แวะเข้ามาค่ะ

แนะนำสื่อ ฉบับล่าสุด


วารสารผู้ไถ่ ฉบับที่ 123: ชีวิต การต่อสู้ เพื่อความดีของกันและกัน กำลังใจ ความรัก และความหวัง
 วารสารผู้ไถ่
ฉบับที่ 123


วันสันติสากล 1 มกราคม 2024
 สารวันสันติสากล
1 มกราคม 2024
ปัญญาประดิษฐ์
และสันติภาพ


น้ำแห่งชีวิต (Aqua fons vitae)
 น้ำแห่งชีวิต
(Aqua fons vitae)
สมณกระทรวงเพื่อ
ส่งเสริมการพัฒนา
มนุษย์แบบองค์รวม


สมณลิขิตเตือนใจ...แอมะซอนที่รัก (QUERIDA AMAZONIA)
 แอมะซอนที่รัก
(QUERIDA AMAZONIA)
สมณลิขิตเตือนใจ...
ของสมเด็จ-
พระสันตะปาปาฟรังซิส


จงสรรเสริญพระเจ้า... การก้าวออกไปอย่างต่อเนื่องของเอเชีย
หนังสือแปล
จงสรรเสริญพระเจ้า...
การก้าวออกไป
อย่างต่อเนื่องของเอเชีย


ประมวลหลักคำสอนด้านสังคมของพระศาสนจักร ภาคที่ 2 และ3
หนังสือแปล
Compendium...
ประมวลหลักคำสอน
ด้านสังคมของ
พระศาสนจักร
ภาคที่ 2 และ3
 


ประมวลหลักคำสอนด้านสังคมของพระศาสนจักร ภาคที่ 1
หนังสือแปล
Compendium...
ประมวลหลักคำสอน
ด้านสังคมของ
พระศาสนจักร ภาคที่ 1



หนังสือ Jesus CEO :  พระเยซูเจ้า นักบริหารชั้นนำ
หนังสือแปล
Jesus CEO :
พระเยซูเจ้า
นักบริหารชั้นนำ



หนังสือ เส้นทางสู่สิทธิมนุษยชนศึกษา
หนังสือ เส้นทางสู่
สิทธิมนุษยชนศึกษา


พระสมณสาสน์ความรักในความจริง : Caritas in Veritate
หนังสือแปล
Caritas in Veritate :

พระสมณสาสน์
ความรักในความจริง



โปสเตอร์ อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติ พ.ศ.2532
โปสเตอร์
อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก
แห่งสหประชาชาติ
พ.ศ.2532


เว็บเพื่อนบ้าน

แวดวงต่างประเทศ

Pax Christi International - PCI

ACPP - Hotline Asia


ดูเว็บอื่นๆ ในหมวด

เว็บน่าสนใจ

เว็บด้านสิทธิฯ

ข่าวสาร/บันเทิง

หน่วยงานองค์กรคาทอลิก

บทความล่าสุด

   อนึ่ง บทความ หรือข้อเขียนทั้งหมดที่นำลงเว็บไซต์ jpthai.org เป็นทัศนะเฉพาะของผู้เขียน
และไม่ผูกพันกับคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อความยุติธรรมและสันติ

ทางเว็บไซต์ jpthai อนุญาตให้คัดลอกบทความ/ข้อมูล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้
แต่กรุณาระบุชื่อผู้เขียน และแหล่งที่มาด้วย ขอบคุณค่ะ

 

Donation / สนับสนุนการดำเนินงาน

  • โอนเข้าบัญชี ในนาม
    คณะกรรมการคาทอลิกฯ แผนกยุติธรรมและสันติ 
    ธนาคารกสิกรไทย สาขาห้วยขวาง บัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 084-2-07639-2
    (กรุณา
    ส่งสำเนาการโอนเงินทางอีเมล์ ccjpthai@gmail.com)
    (หรือ ส่งสำเนามาที่ LINE:
    https://lin.ee/LdMulwv)

  • ทางธนาณัติ สั่งจ่ายในนาม “ปริญดา วาปีกัง” ตู้ ปณ. สุทธิสาร (10321)
    114 (2492) ถ.ประชาสงเคราะห์ ซอย 24 ดินแดง กรุงเทพฯ 10400

เมื่อ ‘กะเบอะดิน' ถูกสิ่งแปลกปลอม เข้ามาทำลาย?!... พิมพ์
Friday, 02 September 2022

Image


วารสารผู้ไถ่
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๑๑๙ พ.ค. - ส.ค. ๒๕๖๕


เมื่อ ‘กะเบอะดิน' ถูกสิ่งแปลกปลอม
ที่ชื่อ ‘เหมืองแร่' และ ‘อุโมงค์ผันน้ำ' เข้ามาทำลาย?!
เยาวชนจึงลุกขึ้นคัดค้านด้วยจิตวิญญาณกะเหรี่ยงโปว์

องอาจ เดชา เรื่อง/สัมภาษณ์


Image

กะเบอะดิน...ดินแดนมหัศจรรย์

คือชื่อเพจ ที่น้องๆ เยาวชนคนรุ่นใหม่กะเบอะดิน ได้ร่วมกันตั้งขึ้นมาเพื่อเผยแพร่เรื่องราววิถีชนเผ่ากะเหรี่ยงโปว์ หมู่บ้านกะเบอะดิน ที่อาศัยอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ดิน น้ำ ป่า กันมาช้านาน

กะเบอะดิน ชุมชนเล็กๆ ชุมชนหนึ่งในอำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ที่มีประชากรในหมู่บ้านราว ๓๐๐ คน นับถือศาสนาพุทธ และศาสนาคริสต์ ชื่อของหมู่บ้านกะเบอะดิน มาจากคำว่า "กะเบอะ" ซึ่งเป็นชื่อของหม้อชนิดหนึ่งในภาษาปกาเกอะญอ ซึ่งเมื่อมารวมกับคำว่า ‘ดิน' จะแปลว่า ‘หม้อดิน' ที่ชาวบ้านในหมู่บ้านสมัยก่อนจะปั้นหม้อดินเพื่อขายให้ตามหมู่บ้านต่างๆ จนกระทั่งถูกนำมาตั้งเป็นชื่อของหมู่บ้านแห่งนี้

ด้วยวิถีชีวิตของชุมชนบ้านกะเบอะดินได้เชื่อมโยงวิถีชีวิตของพวกเขาเข้ากับทรัพยากรธรรมชาติ และธรรมชาติรอบตัวในการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นในด้านของการใช้ชีวิตประจำวัน หรืออาชีพของชาวบ้านในชุมชนล้วนต้องพึ่งพิงธรรมชาติไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง รวมแม้กระทั่งพิธีกรรมและความเชื่อของชุมชน จึงทำให้กะเบอะดิน คือ ดินแดนมหัศจรรย์ที่หลายคนชื่นชอบในความเงียบ ง่าย งามตามธรรมชาติ

แต่แล้ว จู่ๆ ก็มีสิ่งแปลกปลอมได้คืบคลานเข้ามาอย่างเงียบๆ ใช่แล้ว สิ่งแปลกปลอมนั้นชื่อ ‘เหมืองแร่' และ ‘อุโมงค์ผันน้ำ' ที่กำลังเข้ามาทำลาย ความงาม ความมหัศจรรย์ของผืนดินถิ่นเกิด ผืนป่า และสายน้ำ ?!

จนทำให้เยาวชนกลุ่มนี้ ได้รวมตัวกันลุกขึ้นสู้ คัดค้านต่อต้านโครงการนี้มาอย่างต่อเนื่องนานหลายปี

 

พรชิตา ฟ้าประทานไพร หรือ ดวงแก้ว หนึ่งในแกนนำเยาวชนกะเหรี่ยงโปว์หมู่บ้านกะเบอะดิน เล่าให้ฟังว่า ที่พวกเราลุกขึ้นมาต่อสู้ก็เพราะว่าอยากจะปกป้องทรัพยากรที่มีอยู่ในชุมชน และวิถีชีวิตที่เราพึ่งพาอาศัยมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเราคิดว่าทรัพยากรที่มีในหมู่บ้านเราทุกวันนี้ มันไม่ควรที่จะถูกทำลายไปเพราะว่ากลุ่มนายทุนที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวแบบนี้

ข้อมูลจากเอกสารราชการในยุคแรกที่สืบค้นได้ บ่งบอกอายุของการเข้ามาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ไม่ต่ำกว่า ๑๘๐ ปี

"ตามหลักฐานทางการที่เราได้ข้อมูลมา หมู่บ้านนี้อายุประมาณ ๑๘๐ กว่าปี  แต่พอเราสอบถามผู้เฒ่าผู้แก่ เขาบอกว่า จริงๆ แล้วหมู่บ้านนี้มีอายุไม่ใช่แค่ ๑๘๐ กว่าปี แต่เราอาศัยอยู่ตรงนี้มา ๒๐๐-๓๐๐ ปีมาแล้ว"    

เพราะจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ มีการค้นพบวัตถุโบราณ เช่น กล้องยาสูบ ที่บ่งชี้ความเป็นชุมชนดั้งเดิม ซึ่งถูกพบและปรากฏให้เห็นอย่างน้อย ๔ จุด ในพื้นที่หมู่บ้าน สอดคล้องกับประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐานในพื้นที่อมก๋อยมีการอาศัยอยู่กันมาอย่างยาวนาน ที่สำคัญ แหล่งค้นพบกล้องยาสูบโบราณนั้นอยู่บริเวณเดียวกันกับพื้นที่ที่มีการยื่นขอประทานบัตรโครงการเหมืองแร่ถ่านหิน

 

สิ่งแปลกปลอมที่ชื่อ โครงการเหมืองแร่

พรชิตา เล่าให้ฟังว่า จริงๆ โครงการเหมืองแร่นี้ เริ่มมีมานานแล้ว ตั้งแต่เธอยังไม่เกิดด้วยซ้ำ

"ชาวบ้านเล่าให้ฟังว่า เมื่อหลายสิบปีก่อน เขามาทำรั้วปักหมุดอะไรไปก่อนแล้ว ซึ่งเขาบอกกันว่า มีการค้นเจอแร่ที่เขาเรียกว่า ถ่านหินบิทูมินัส เป็นถ่านหินที่มีคุณภาพดีกว่าลิกไนต์มาก เพราะให้ค่าความร้อนในการเผาไหม้สูงกว่าลิกไนต์หลายเท่า แล้วเขาก็ทำข้อมูล มีการเข้ามาสำรวจขุดเจาะในพื้นที่บ่อยๆ แล้วเขาก็เริ่มลงมือเมื่อปี ๒๕๔๓ มีการขอประทานบัตรเหมืองแร่ปี ๒๕๔๓ คือเป็นปีที่เราเกิดพอดีเลย" พรชิตา บอกเล่าให้ฟัง

หลังจากนั้น ในปี ๒๕๕๕ ทางโครงการเหมืองแร่ ได้มีการทำรายงานอีไอเอ (EIA [๑]) สำเร็จ

"ซึ่งเป็นอีไอเอที่เขาทำให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ได้รับรู้อะไรเลย หลังจากนั้นในปี ๒๕๖๒ เขามีป้ายมาติดที่บ้านผู้ใหญ่บ้านว่า เขาจะมารับฟังความคิดเห็นชาวบ้าน ตอนนั้นก็มีกระแสทางโซเชียลในเพจอมก๋อย มีการสื่อสารกันว่า...เราคนอมก๋อย จะปล่อยให้มีเหมืองแร่ที่บ้านเราจริงๆ เหรอ  ซึ่งก็มีคนมาแสดงความคิดเห็นกันมาก ว่า ซึ่งส่วนใหญ่เขาก็ไม่เห็นด้วย ไม่ต้องการเหมืองแร่ เพราะมันจะทำลายทรัพยากรธรรมชาติ"

พรชิตา บอกว่า กลุ่มเยาวชนกะเบอะดิน จึงได้รวมตัวกันออกมาเคลื่อนไหวต่อสู้ โดยมีภาคีเครือข่ายต่างๆ ได้เข้ามาต่อสู้ร่วมกับเรา ซึ่งทางภาคีเครือข่ายยุติเหมืองแร่ ก็เข้ามาแนะนำให้กับทางชาวบ้าน หมายถึง ร่วมกันกำหนดเป้าหมายยุทธศาสตร์หรือธงระดับต่างๆ ให้กับทางชุมชน และก็ลุกขึ้นมาขับเคลื่อนเรื่องนี้ในปี ๒๕๖๒ เป็นต้นมา

"โดยอันดับแรกเลยก็คือ การให้ความรู้ก่อน ให้ทุกคนมีความรู้ด้านกฎหมายเรื่องของแร่ รวมไปถึงกฎหมายด้านสิทธิด้วยว่า การสร้างเหมืองแร่นั้นจะมีผลกระทบอะไรบ้างในชีวิต สุขภาพ การสัญจร เรื่องวัฒนธรรม และการเกษตร เราเริ่มทำข้อมูลแล้วก็คุยตามแผนยุทธศาสตร์ ว่าจะเอายังไงดี โดยกิจกรรมของเรา ก็มีตั้งแต่การทำข้อมูลชุมชน ทำหนังสือคัดค้าน การทำเครื่องหมายสัญลักษณ์ ซึ่งเราก็มีธง มีดาวชัดเจนแล้ว ดาวของเราก็คือ ให้ยุติเหมืองแร่ และเรามีธงชัดเจน ว่าด้วยเรื่องสิทธิชุมชน และเน้นความเป็นคนเท่ากัน"

เช่นเดียวกับ ณัฐฏนัย วุฒิศีลวัตร เยาวชนบ้านกะเบอะดิน ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ออกมาร่วมคัดค้านไม่เอาเหมืองแร่ บอกว่า เพื่อที่จะปกป้องวิถีชีวิตของชุมชนหมู่บ้าน ไม่ให้สูญเสียพื้นที่ป่า พื้นที่ทำกิน เพราะว่า ปกติทำเกษตรกรรม ทำสวน ปลูกข้าว พริก กะหล่ำ มะเขือ ฟักทอง กันเป็นหลัก ที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจของชาวบ้าน นอกจากนั้น การทำเหมืองแร่ มันจะเกิดผลกระทบกับพื้นที่ป่า จะมีมลภาวะ ฝุ่นควันอะไรมากมายตามมาด้วย

"ที่ผ่านมา กลุ่มเยาวชนกะเบอะดิน เราจะมีการรวมตัวกัน ก็จะมีการประชุมกันเป็นครั้งคราว ตอนเย็นๆ จะนั่งคุยกัน แล้วจะมีเฟซบุ๊ก ‘กะเบอะดิน...ดินแดนมหัศจรรย์' เอาไว้สื่อสารกัน กลุ่มเยาวชนที่เรารวมกลุ่มกันยังมีอีกหลายหมู่บ้าน ซึ่งถือว่ากลุ่มเยาวชนนี้มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้เรื่องนี้มาก ถ้าไม่มีเยาวชน ผู้ใหญ่ซึ่งส่วนใหญ่เขาก็พูดภาษาไทยไม่ค่อยได้ เขาก็ไม่ค่อยรู้อะไรมาก ไม่กล้าที่ออกจะออกมาต่อสู้กัน ถ้ามีคนแปลกหน้าเข้ามา ก็กลัวอยู่ แต่ตอนนี้กลุ่มเยาวชนเราก็ถือว่าเป็นกำลังหลักของชาวบ้าน ซึ่งเราก็ให้ความรู้เรื่องสิทธิเรื่องกฎหมายให้กับชาวบ้านด้วย"

ณัฐฏนัย ฝากบอกไปยังสังคมข้างล่าง รวมไปถึงภาครัฐด้วยว่า ที่ต้องออกมาคัดค้านในครั้งนี้ เราต้องการให้ที่ดินทำกิน ทรัพยากร เหมืองแร่ ของเราอยู่เหมือนเดิม ไม่ให้ใครมาเอาไป

ในขณะที่ ณัฐทิตา วุฒิศีลวัตร หรือเดือน เยาวชนกะเหรี่ยงบ้านกะเบอะดิน อีกคนหนึ่งที่ออกมาคัดค้านเหมืองแร่ บอกว่า ตอนแรกก็รู้สึกใจหายเหมือนกัน ที่รู้ข่าวว่าเขาจะทำเหมืองแร่ในหมู่บ้านของเรา

"ทำให้กังวลว่า ชุมชนจะได้รับผลกระทบและเหมืองแร่จะมาสร้างปัญหาให้กับชาวบ้าน ซึ่งมันไม่ได้ประโยชน์อะไรกับหมู่บ้านเลย มีแต่นายทุนเท่านั้นที่จะได้รับผลประโยชน์ ๑๐๐% การทำเหมืองแร่ นอกจากจะทำลายวิถีชุมชนบนดอยแล้ว มันจะส่งผลกระทบต่อสังคมไทยในเรื่องสิ่งแวดล้อมด้วย"

 

ด้าน ศบ.อรรถพล อำรุงพนม ศิษยาภิบาลคริสตจักรบ้านกะเบอะดิน ได้บอกเล่าถึงที่มาโครงการเหมืองแร่นี้ว่า ชาวบ้านรู้กันมานานแล้ว แต่หลังจากที่เราเห็นใบอนุญาตสัมปทานบัตร ผ่านทางเว็บไซต์ ทาง Facebook ทางโซเชียลมีเดียของเขา ทำให้ทุกคนตื่นตัว เริ่มค้นหาผลดีผลเสียของเหมืองแร่ ผ่านทางสื่อต่างๆ มีการศึกษาเรื่องเหมืองแร่ต่างๆ ในประเทศของเรา ยกตัวอย่างเช่น ที่แม่เมาะ จ.ลำปาง เราเห็นถึงผลกระทบแล้วก็เห็นถึงความไม่น่าอยู่และความเสื่อมโทรม คนในชุมชนก็เริ่มมีความกังวลใจอย่างยิ่งว่า ถ้ามีเหมืองแร่เข้ามาในกะเบอะดิน แล้วเราจะอยู่กันอย่างไร และเราจะมีวิธีแก้อย่างไร เราจะรับมือกับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร 

"ซึ่งตอนแรก เราก็ไม่รู้จะทำยังไง เราก็ได้ติดต่อขอคำปรึกษาทางนักศึกษา อาจารย์ ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มาลงพื้นที่ มาให้ความรู้ อธิบายถึงความเป็นมาของเหมือง และผลกระทบของเหมืองแร่ ทำให้ชุมชนเราตื่นตัวกันในช่วงเวลานั้น ก็ตื่นตัวกันอย่างมาก เราบอกเยาวชนคนรุ่นใหม่ ก็เชื่อว่าถ้าเหมืองมาเมื่อไหร่ เราก็คงจะอยู่ไม่ได้ เราปรึกษาทีมทนายหลายๆ หน่วยงาน จากภาคประชาชน เครือข่ายต่างๆ เราก็หาแนวร่วมกัน โชคดีที่เราได้เจอกับหลายๆ เครือข่ายภาคประชาชนที่ให้ความสนใจกับเรื่องนี้และพร้อมที่จะช่วยเหลือเรา ในขณะเดียวกัน เราก็ต้องตื่นตัว ต้องหาวิธี เราอยู่นิ่งไม่ได้แล้ว หลังจากนั้นเราก็เริ่มหาวิธีคัดค้านในทุกวิถีทาง"

 

เยาวชนคนรุ่นใหม่ คือจุดแข็งที่มีพลังในการเคลื่อนไหว

ศบ.อรรถพล อำรุงพนม ศิษยาภิบาลคริสตจักรบ้านกะเบอะดิน บอกว่า จุดแข็งอันหนึ่งของการต่อสู้ในครั้งนี้ก็คือ เรามีน้องๆ เยาวชนคนรุ่นใหม่ที่รวมตัวกันออกมาปกป้องชุมชนของตนเองจำนวนมาก ทุกคนลุกขึ้นตื่นตัวกันช่วงนั้น จำได้ว่าไม่มีใครไปทำงานของตัวเองเลย ทุกคนต่างช่วยกันเฝ้าระวังคนแปลกหน้าที่จะเข้ามาในหมู่บ้าน ทุกคนจะวิ่งไปวิ่งมา กับมอเตอร์ไซค์บ้าง กับรถยนต์บ้าง พยายามหาวิธีตั้งรับกับบุคคลที่เข้ามาเรื่องเหมืองแร่กันอย่างไร

"ผมรู้สึกว่า เยาวชนจะมีพลังมากที่พูดได้เต็มปาก ว่ามีพ่อแม่พี่น้อง ปู่ย่าตายายที่ไม่ค่อยรู้หนังสือ แล้วก็ไม่ค่อยจะให้ความสนใจเท่าไหร่ ก็มีเยอะพอสมควร แต่คนที่ถูกเลือกก็คือเยาวชนกลุ่มนี้ และที่สังเกตก็คือ คนรวมตัวกันส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงด้วย ทั้งนี้ก่อนหน้านั้น น้องๆ ผู้หญิงกลุ่มนี้แทบจะไม่กล้าเผชิญหน้ากับผู้ใด และพูดภาษาไทยไม่ค่อยคล่อง ไม่ค่อยเก่ง ซึ่งในตอนแรกๆ ผมก็จะเป็นล่ามให้กับชาวบ้านแล้วก็เป็นคนที่พูดแทนน้องๆ บ้าง แต่พอเกิดสถานการณ์แบบนี้ มาถึงตอนนี้ ระยะหลัง น้องๆ เริ่มที่จะมีความกล้าหาญ และได้ไปดูงานหลายๆ ที่ เริ่มมีการพัฒนาตัวเอง มีศักยภาพขึ้นมาก ก็เริ่มที่จะพูดต่อหน้าทุกคนมากขึ้น"

นั่นคือที่มาที่ไป และเหตุผลที่ทำให้เยาวชนกะเบอะดินและชาวบ้าน ออกไปชุมนุมเคลื่อนไหวกันอย่างต่อเนื่อง

 

เครือข่ายยุติเหมืองแร่อมก๋อย ยื่นหนังสือถึงนายอำเภอ
ย้ำจุดยืน "ชาวอมก๋อยไม่เอาเหมืองแร่"

วันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๖๕ เครือข่ายยุติเหมืองแร่อมก๋อย จำนวน ๒๐๐ คน ได้เดินทางมาที่ว่าการอำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ได้ยื่นหนังสือต่อนายอนุรักษ์ ศิลป์ไพราช ปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคง ผู้แทนนายอำเภออมก๋อย โดยเครือข่ายฯ ได้ตั้งขบวนออกจากที่ว่าการอำเภออมก๋อย ไปยังสนามกีฬาอำเภออมก๋อย ขณะเดินขบวน มีการแจกจ่ายแผ่นพับ ถือธงสีเขียว ป้ายข้อความ "เหมืองแร่ถ่านหิน ๓ ปีการต่อสู้ และก้าวย่างของคนอมก๋อย" และกล่าวปราศรัยถึงที่มาของการคัดค้านเหมืองแร่ พิษภัยของถ่านหินเหมืองแร่ รวมทั้งตะโกน เช่น "เหมืองแร่ออกไป" "ออกไปเหมืองแร่" ระหว่างนั้น แกนนำแต่ละหมู่บ้านส่งตัวแทนกล่าวปราศรัยถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เช่น มลพิษ หากมีการทำเหมืองแร่ในพื้นที่ วิถีชีวิตของชุมชน

 

ขยับการเคลื่อนไหว ร่วมฟ้องเพิกถอนอีไอเอ (EIA) เหมืองแร่อมก๋อยต่อศาลปกครอง

๔ เมษายน ๒๕๖๕ ชาวบ้านกะเบอะดิน อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน ๕๐ คน ร่วมฟ้องเพิกถอนอีไอเอเหมืองแร่อมก๋อยต่อศาลปกครอง โดยยื่นฟ้องคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณา รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ด้านเหมืองแร่และอุตสาหกรรมถลุงหรือแต่งแร่ เป็นผู้ถูกฟ้องที่ ๑ และสำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้ถูกฟ้องที่ ๒ ต่อศาลปกครองเชียงใหม่ เพื่อขอให้ศาลเพิกถอนรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรืออีไอเอ (EIA) ของเหมืองถ่านหินอมก๋อย บ้านกะเบอะดิน เนื่องจากชาวบ้านมีความกังวลว่า เหมืองถ่านหินจะส่งผลกระทบระยะยาวต่อสุขภาพและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวกะเบอะดิน

การฟ้องครั้งนี้เป็นการคัดค้านความถูกต้องของรายงานอีไอเอ ของบริษัท ๙๙ ธุวานนท์ จำกัด เจ้าของโครงการเหมืองแร่ ชาวบ้านกะเบอะดินขอให้ศาลเพิกถอนรายงานอีไอเอ ฉบับนี้ และดำเนินการจัดทำอีไอเอ ฉบับใหม่ขึ้น ภายใต้การมีส่วนร่วมของผู้ได้รับผลกระทบอย่างแท้จริง 

เนื่องจากรายงานอีไอเอ ของโครงการเหมืองแร่ และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องได้จัดทำขึ้นเมื่อ ๑๐ ปีที่แล้วนั้น ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนในชุมชนที่ได้รับผลกระทบ และยังมีข้อมูลพิรุธหลายประการ อีไอเอ ฉบับดังกล่าวไม่ครอบคลุมผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมในหลายประเด็นที่ชาวบ้านกะเบอะดินมีความกังวล ถ้าหากโครงการยังเดินหน้าต่อไปจะทำให้เกิดการละเมิดสิทธิโดยเฉพาะสิทธิขั้นพื้นฐาน เช่น การอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี สิทธิการใช้ทรัพยากร รวมถึงสิทธิการมีอากาศสะอาดหายใจ และสิทธิการเข้าถึงน้ำสะอาด 

ความกังวลเกี่ยวกับการทำเหมืองแร่ถ่านหินอมก๋อย ทำให้ชาวบ้านกะเบอะดินรวมตัวกันศึกษาและจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมฉบับชุมชน (CHIA) [๒] ขึ้นมา เพื่อแสดงให้เห็นความบกพร่องของรายงานอีไอเอของโครงการเหมืองแร่และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง โดยศาลปกครองได้รับคำฟ้องเพิกถอนอีไอเอเหมืองแร่อมก๋อยของชาวบ้านกะเบอะดินไว้พิจารณา และเป็นคดีสิ่งแวดล้อมคดีแรกของจังหวัดเชียงใหม่ในปีนี้

"ศาลได้รับคำฟ้องไว้และออกเลขคดีให้เราแล้ว คือเลขที่ ส ๑/๖๕ เป็นคดีสิ่งแวดล้อมคดีแรกของเชียงใหม่ในปีนี้"  สุมิตรชัย หัตถสาร ตัวแทนทีมทนายกะเบอะดิน บอกเล่าถึงกระบวนการยื่นฟ้อง

ทั้งนี้ พรชิตา ฟ้าประทานไพร ตัวแทนเยาวชนบ้านกะเบอะดิน อำเภออมก๋อย ได้บอกย้ำว่า ตลอดระยะเวลา ๓ ปีที่ผ่านมา พวกเราได้ทำการต่อสู้เพื่อหยุดเหมืองแร่อมก๋อยในทุกโอกาส ที่เราสามารถทำได้ พวกเราคัดค้านการสร้างเหมืองแร่ถ่านหินโดยใช้เครื่องมือและวิธีการที่หลากหลาย รวมทั้งการจัดทำคู่มือการประเมินผลกระทบสุขภาพชุมชน หรือ CHIA เพื่อยืนยันความไม่ถูกต้องของการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรืออีไอเอ พวกเรามีความกังวลเป็นอย่างยิ่งต่อโครงการเหมืองแร่ถ่านหิน และพวกเราจะต่อสู้จนกว่าจะได้รับชัยชนะ

 

หลายคนตั้งคำถามกับน้องๆ เยาวชนกะเบอะดินว่า การเรียกร้องต่อสู้ที่ผ่านมารู้สึกกังวล หวาดกลัวหรือถูกข่มขู่หรือไม่?

"ที่ผ่านมา กลุ่มพวกเรารู้สึกกังวลหรือว่ามีกลัวไหม มันก็จะมีบ้าง หรือคำถามที่ว่า ลุกขึ้นมาต่อสู้แบบนี้ไม่กลัวนายทุนหรือ เขามีตังค์เยอะนะ เขามีปืนนะ หรือว่าเขาจะฆ่าเราได้นะ เมื่อก่อนเราเคยกลัวอยู่บ้าง แต่ช่วงหลังนี้ไม่มีแล้วค่ะ เพราะว่าเราก็ชัดเจนในอุดมการณ์ ชัดเจนในเป้าหมายแน่นอนอยู่แล้ว ก็ได้เรียนรู้เรื่องของการพัฒนาศักยภาพ  เรื่องของกฎหมายอะไรหลายๆ อย่างแล้วว่า โอเค เรามีสิทธิ์ที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้นะ เรามีสิทธิ์ที่เราจะลุกขึ้นมาร่วมฟ้องนะ ทำหนังสือคัดค้านได้นะ เพราะเรารู้ว่าสู้เพื่อบ้านเกิดของตัวเองนะคะ แล้วก็จะไม่กลัวอะไรแล้ว แต่ว่าเราอาจจะต้องทำตัวไม่ให้เป็นจุดเด่น หรือไม่ให้อีกฝ่ายหนึ่งจ้องเราเกินไป"  ตัวแทนเยาวชนบ้านกะเบอะดิน บอกย้ำและยืนยันอย่างหนักแน่น

 

 

เปิดข้อโต้แย้ง ๗ ข้อ จากชาวบ้านอมก๋อยและทีมทนายความต่อข้อเสนอของบริษัทฯ

เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๖๕ ทางเพจกะเบอะดิน ดินแดนมหัศจรรย์ ได้โพสต์ข้อความหลังจากที่บริษัทฯ ได้ยื่นข้อเสนอให้ชาวบ้านกะเบอะดินที่ผ่านมา ซึ่งทางชาวบ้านและทีมทนายความได้ยื่นข้อโต้แย้งตามหลักกฎหมาย ทั้งหมด ๗ ข้อ จากประเด็นข้อเสนอของบริษัทฯ ดังนี้

๑. ทำ EIA ใหม่ต้องถอนหรือขอยกเลิกอีไอเอเดิม จากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) และกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.)

๒. หลังจากถอนอีไอเอแล้ว ต้องให้ สผ. และ กพร. มีคำสั่งให้อนุญาตก่อน

๓. การขอกรมป่าไม้เปลี่ยนเส้นทางขนส่ง จะต้องขอถอนคำขออนุญาตเดิม และเริ่มทำการขออนุญาตใหม่ ทำประชาคมใหม่ ขอมติสภา อบต.ใหม่

๔. การแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้ อบต. และชุมชน แบ่งจากรายได้ หรือกำไร หรือแบ่งจากมูลค่าของถ่านหิน มีอะไรเป็นหลักประกันในการแบ่งรายได้

๕. เยาวชนเป็นส่วนหนึ่งการคัดค้าน ยังมีผู้ฟ้องคดีอีก ๕๐ คน ผู้สนับสนุน ๖๐๐ คน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องฟังเสียงของทุกคน

๖. คดีปกครองไม่มีจำเลย มีแต่ผู้ถูกฟ้องคดี และเราไม่ได้ฟ้องบริษัทฯ แต่ศาลเรียกให้บริษัทเข้ามาเป็นผู้ถูกฟ้องคดีร่วมกับหน่วยงานรัฐ เป็นคำสั่งของศาล

๗. ผู้ที่มีความสำคัญที่สุดในการต่อสู้ครั้งนี้คือ ชาวบ้านทุกคน ถ้าไม่มีชาวบ้านก็ไม่มีการต่อสู้ เราคงเดินมาถึงวันนี้ไม่ได้

ความถูกต้องและแม่นยำที่สุดคือหลักความเป็นจริงตามกฎหมาย มิใช่ข้อเสนอที่เป็นเท็จเพียงเพราะต้องการถ่านหิน

การต่อสู้ครั้งนี้ถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของชุมชนและชาวอมก๋อยทุกคน เชื่อมั่นพลังมวลชน

จุดยืนเดียวของพวกเราคือ "ยุติเหมืองแร่ถ่านหินอมก๋อย"

 

สิ่งแปลกปลอม อีกตัวหนึ่งที่ชื่อว่า อุโมงค์ผันน้ำยวม'

ประเด็นความขัดแย้งเรื่องเหมืองแร่อมก๋อย ยังไม่จางหาย ก็ต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่อีกตัวหนึ่ง

เมื่อกรมชลประทานได้มีความพยายามที่จะผลักดันโครงการผันน้ำยวมเพื่อเพิ่มต้นทุนน้ำให้เขื่อนภูมิพล

ช่วยเหลือเกษตรกรในภาคกลาง โดยใช้งบประมาณ ๗๐,๐๐๐ ล้านบาท ปัจจุบัน ได้มีการเร่งรัดจัดการกระบวนการรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรืออีไอเอ (EIA) ซึ่งในรายงานอีไอเอไม่มีข้อมูลที่ครอบคลุม ไม่มีส่วนร่วมของประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ ในอำเภอสบเมย อำเภออมก๋อย และอำเภอฮอด โดยชาวบ้านไม่มีส่วนร่วมรับฟังความคิดเห็นใดๆ

ที่น่าตกใจก็คือ โครงการขุดอุโมงค์ผันน้ำยวมลงสู่เขื่อนภูมิพล ยังมาพร้อมกับแผนการสร้างเสาส่งกระแสไฟฟ้าแรงสูง ซึ่งทั้งสองโครงการนี้จะต้องผ่านบ้านกะเบอะดิน และอีกหลายชุมชนในอำเภออมก๋อย ชาวบ้านให้เหตุผลว่า หากโครงการใหญ่เหล่านี้เกิดขึ้นจริง จะทำให้ชาวบ้านสูญเสียที่ดินทำกิน พื้นที่ป่าต้นน้ำ และมีผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมตามมาด้วย

จากรายงานพบว่า หมู่บ้านกะเบอะดิน เป็นอีกชุมชนหนึ่งซึ่งจะได้รับผลกระทบจากโครงการอุโมงค์ผันน้ำยวม เป็นจุดกองดินจุดที่ ๔ ที่จะใช้พื้นที่ ๙๑ ไร่ ซึ่งจุดกองดินเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ และเป็นพื้นที่ทำกินของชาวบ้าน ชุมชนจึงมีข้อกังวลใจ หากมีโครงการนี้เกิดขึ้น ดังนั้นหมู่บ้านกะเบอะดินจึงไม่เห็นด้วยกับโครงการอุโมงค์ผันน้ำยวม ที่จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตดั้งเดิม ที่อยู่อาศัย ที่ดินทำกิน

ศบ.อรรถพล อำรุงพนม ศิษยาภิบาลคริสตจักรบ้านกะเบอะดิน บอกว่า ปัญหาที่กำลังเกิดกับบ้านกะเบอะดินและคนอมก๋อย ก็คือ โครงการอุโมงค์ผันน้ำยวม ซึ่งจะมีมาพร้อมสายส่งไฟฟ้าแรงสูงควบคู่กันไปด้วย  ซึ่งตนเองและชาวบ้านก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นเช่นกัน เพราะว่ามันจะพาดผ่านหมู่บ้านกะเบอะดิน โดยจะมีจุดกองดินด้วย 

"ซึ่งหลังจากที่ผมได้ร่วมเดินทางไปพร้อมกับอาจารย์ มช. และพี่น้องเครือข่ายต่างๆ เพื่อไปรับรู้ถึงข้อมูลปัญหาในแต่ละชุมชนที่จะได้รับผลกระทบ ตั้งแต่ต้นทางและปลายทางแล้ว จะรู้ว่าชาวบ้าน ทุกชุมชน ทุกหมู่บ้าน ต่างก็ไม่เอาโครงการผันน้ำยวม และออกมาร่วมกันต่อสู้ แม้ว่าจะไม่มีความรู้ ไม่รู้กฎหมาย ไม่รู้อะไรสักอย่างเลย ก็น่าสงสารอยู่ แต่ถ้าเป็นไปได้ด้วยหัวใจ เราก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นทั้งนั้น"

เช่นเดียวกับ สะท้าน ชีววิชัยพงศ์ ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำยวม เงา เมย สาละวิน ก็ออกมาเปิดเผยว่า โครงการอุโมงค์ผันน้ำยวมนี้ ทางกรมชลประทาน ได้จัดทำรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) มีข้อมูลที่พบว่าไม่ตรงกับความเป็นจริง กระบวนการมีส่วนร่วมและการตัดสินใจที่ดำเนินการหลายปี พบว่า ไม่เคารพชุมชนผู้ได้รับผลกระทบ แต่กลับอ้างว่าชุมชนมีส่วนร่วมไปแล้ว ชาวบ้านในพื้นที่โครงการเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาจไม่กล้าแสดงออกเพราะว่าส่วนหนึ่งไม่มีสัญชาติ และในพื้นที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงโพล่งและกะเหรี่ยงสะกอ ที่ผ่านมาหมู่บ้านไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานอย่างเพียงพอ

"นอกจากโครงการผันน้ำแล้ว ยังมีโครงการสายส่งไฟฟ้าที่จะใช้ในการสูบน้ำ ชาวบ้านก็ไม่ได้รับข้อมูล ทั้งๆ ที่พวกเราคัดค้านมาตลอด แต่ไม่ปรากฏในอีไอเอ ๒-๓ ปีที่ผ่านมา ทั้งมหาวิทยาลัยนเรศวร และกรมชลประทานเข้ามาในพื้นที่ ชาวบ้านพยายามตั้งคำถามเรื่องที่อยู่ในเขตป่า ไม่มีเอกสารสิทธิ์ ชาวบ้านที่อาศัยอยู่กับป่า กับน้ำ แต่การศึกษาผลกระทบไม่ครอบคลุม เราพยายามเสนอไป ทำหนังสือไป เพื่อให้มีการศึกษาให้ครอบคลุม แต่ไม่มีความคืบหน้า กรมชลประทานกำหนดพื้นที่เป้าหมายแคบมาก ที่ระบุว่าจะกระทบแค่หมู่บ้านแม่เงา อำเภอสบเมย เพียงบ้านเดียว ทั้งที่โครงการผันน้ำยวมนี้เป็นโครงการขนาดใหญ่ ประกอบไปด้วยพื้นที่ ๓ จังหวัด คือ เชียงใหม่ ตาก และแม่ฮ่องสอน โดยจะเกิดผลกระทบจริงกว่า ๔๐ หมู่บ้าน ในเขตอำเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก และอำเภอฮอด อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ด้วย"

ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ หมู่บ้านกะเบอะดิน

สะท้าน ยังแสดงความเป็นห่วงต่อพี่น้องชาวบ้านกะเบอะดินและคนอมก๋อย ด้วยว่า โครงการนี้จะเจาะภูเขาเป็นอุโมงค์ขนาดใหญ่ ถึงขั้นรถสิบล้อวิ่งสวนทางกันได้เลย และมันจะทะลุทั้งอำเภออมก๋อยเลย ไปถึงหมู่บ้านกะเบอะดิน และอีกหลายหมู่บ้านในพื้นที่อมก๋อยที่ได้รับผลกระทบ 

"ผมเป็นห่วงว่าถ้าพี่น้องกะเบอะดิน และหมู่บ้านของพี่น้องปกาเกอะญอ อยู่บนอุโมงค์ ถ้าสมมุติว่าเกิดแผ่นดินไหวขึ้นมา ชาวบ้านจะได้รับผลกระทบรุนแรงหรือไม่ ส่วนผลกระทบอีกอันหนึ่งก็คือ จะมีจุดทิ้งกองดิน ซึ่งมันเป็นกองดินมหึมา ซึ่งไม่รู้จะไปทิ้งที่ไหน"  

ที่ผ่านมา สะท้านได้เข้าไปร่วมเชื่อมจัดกิจกรรมกับน้องๆ เยาวชนกะเบอะดิน มา ๒-๓ รอบ นอกจากนั้น ก็จะมีทีมนักวิชาการจากศูนย์ชาติพันธุ์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทีมงานองค์การแม่น้ำนานาชาติ ฯลฯ เข้าไปร่วมประชุมชี้แจง ให้ความรู้กับชาวบ้าน น้องเยาวชน คนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะผู้หญิง จะเป็นกำลังหลัก ที่ได้ร่วมกันออกมาต่อต้าน ออกมาปกป้องพื้นที่ของเขา โดยเราได้บอกกับทุกคนว่า อย่าลืมนะ ว่าตอนนี้มันไม่ใช่แค่เรื่องเหมืองแร่ ยังมีโครงการผันน้ำยวมด้วย ที่จะเข้ามายังกะเบอะดินด้วย

สะท้าน บอกด้วยว่า ในความเห็นส่วนตัว คิดว่าโครงการเหมืองแร่ กับโครงการผันน้ำยวมนั้น ต่างก็สร้างความเสียหายมากพอๆ กันเลย

"คือโครงการเหมืองแร่นั้น อยู่บริเวณป่าต้นน้ำของกะเบอะดิน และยังเป็นต้นน้ำของแม่น้ำเงาด้วย ซึ่งถ้ามีการขุดเหมืองแร่ตรงนี้ สารพิษอะไรต่างๆ มันก็ต้องไหลลงสู่แม่น้ำไปด้วย จะมีปัญหามากพอสมควรนะครับทางที่ดี คือไม่ต้องเปิดตัวโครงการเหมืองแร่นี้เลย ส่วนโครงการผันน้ำยวม ผมคิดว่ามันอาจสร้างความเสียหายเยอะกว่า เนื่องจากมันครอบคลุมผ่านพื้นที่ ๓ จังหวัด ซึ่งกินพื้นที่ป่ามหาศาลกันเลย"

 

ย้ำ ชนเผ่าก็คือคน มีสิทธิมนุษยชนเท่าเทียมกัน

พรชิตา ฟ้าประทานไพร หรือ ดวงแก้ว หนึ่งในแกนนำเยาวชนกะเหรี่ยงโปว์ หมู่บ้านกะเบอะดิน ได้พูดในตอนท้ายว่า อยากจะให้สังคมข้างล่าง หน่วยงานรัฐ และกลุ่มนายทุนทั้งหลาย ได้เข้าใจบริบทชุมชน เคารพสิทธิของชุมชนของเราด้วยว่าควรจะเป็นแบบไหน อะไรที่ควรและไม่ควรจะเป็น เพื่อที่จะให้ชาวบ้าน ชุมชน อาศัยอยู่ในพื้นที่อย่างมีความสุข ตามแบบวิถีชีวิตของตัวเองต่อไป

"เพราะนี่คือวิถีชีวิตของเราที่ได้รับสืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน  มันก็ไม่ควรที่จะเปลี่ยนแปลงไปเพียงเพราะว่าความเห็นแก่ตัวของนายทุนแค่ไม่กี่คน"

ในขณะที่ ศบ.อรรถพล อำรุงพนม ศิษยาภิบาลคริสตจักรบ้านกะเบอะดิน ได้บอกย้ำจุดยืนของพี่น้องชาวบ้านกะเบอะดินเอาไว้ในตอนท้ายด้วยว่า อยากจะส่งสารไปยังสังคมข้างล่าง ให้กับคนทุกระดับทุกอาชีพ รวมทั้งหน่วยงานรัฐได้รับรู้และเข้าใจด้วยว่า "เราคือชนเผ่า"

"แม้ว่าเราจะเกิดมาบนดอยสูง แม้ว่าเราไม่ได้มีศักยภาพพอที่จะต่อสู้กับคนที่มีความรู้สูงได้ แต่เรามีสิทธิมนุษยชนเท่าเทียมกันหมด อยากจะให้ทุกคนรับรู้ว่า เราคือชนเผ่า แต่เราก็คือคนด้วยกัน อยากจะให้ทุกหน่วยงานได้เข้าใจถึงความเป็นอยู่ของเราว่าเราอยู่กับป่า เราอยู่กับพื้นที่ที่เราอยู่ นี่คือเราพอใจที่สุดแล้ว  ถึงแม้ว่าเราจะไม่มีเหมือนเขา แต่ตาดำๆ ของเราก็คือเรามองโลกใบเดียวกัน"

"เราอยากจะเห็นสภาพสิ่งแวดล้อมเหมือนเดิม เราไม่อยากจะให้ที่อยู่อาศัยของเราถูกทำลาย และเราก็ไม่อยากให้ใครมารบกวนวิถีความเป็นอยู่ของเรา เพราะว่า ป่าก็คือชีวิต น้ำก็คือชีวิต ลำธารแม่น้ำทุกสายก็คือชีวิตของเรา เราพึ่งพาอาศัย เราอยู่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะสิ่งเหล่านี้อยู่กับเรา ถ้าสิ่งเหล่านี้ถูกทำลายไป ถูกเปลี่ยนไป ทุกชีวิตของเราก็จะเปลี่ยนไปด้วย และได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม เราจะไม่ให้โครงการนี้เกิดขึ้นโดยเด็ดขาด แม้กระทั่งชีวิตแลกกับอะไรก็ตาม เราก็จะไม่ให้เกิดขึ้น เพื่อลูกหลานของเราที่จะอยู่ต่อไปได้"

 

ข้อมูลประกอบ

- หนังสือ CHIA กะเบอะดิน ดินแดนมหัศจรรย์

- วรรณา แต้มทอง, คดีสิ่งแวดล้อมคดีแรกของปี ชาวบ้านกะเบอะดินร่วมฟ้องเพิกถอน EIA เหมืองแร่อมก๋อยต่อศาลปกครอง, ประชาไท, ๔ เมษายน ๒๕๖๕

- กมธ.แนะรัฐบาลชะลอโครงการผันน้ำยวม, สำนักข่าวชายขอบ, ๔ ธันวาคม ๒๕๖๔

- เพจเฟซบุ๊ก กะเบอะดิน ดินแดนมหัศจรรย์

 


[๑] อีไอเอ EIA : Environment Impact Assessment คือ รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการต่างๆ ของรัฐและเอกชน

[๒] CHIA (Community Health Impact Assessment) หมายถึง การประเมินผลกระทบทางสุขภาพโดยให้คนในชุมชนจัดทำข้อมูลชุมชนด้วยตัวพวกเขาเอง ซึ่งจะแสดงให้เห็นศักยภาพของพื้นที่ และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชุมชน เพื่อให้รู้ว่าปัจจัยอะไรบ้างที่มีผลต่อสุขภาวะของพวกเขา และหากจะมีโครงการอะไรในพื้นที่ โครงการนั้นจะส่งผลกระทบต่อสุขภาวะของพวกเขาหรือไม่ อย่างไร โดยการทำข้อมูลนี้จะนำไปสู่การกำหนดแนวทางการพัฒนาของชุมชนด้วยตัวชุมชนเอง

 


ความคิดเห็น

เขียนความคิดเห็น
ชื่อ:
หัวเรื่อง:
BBCode:Web AddressEmail AddressBold TextItalic TextUnderlined TextQuoteCodeOpen ListList ItemClose List
ความคิดเห็น:



รหัส:* Code

Powered by AkoComment 2.0!

< ก่อนหน้า   ถัดไป >