⛳ ยส. ขอเกาะประเด็น ⛳
เชื่อว่าหลายคนคงเห็นข่าวนี้ผ่านตามาบ้าง กับเหตุการณ์ที่นักเรียนรุ่นพี่ ม.2 จำนวน 8 คน ถักเปียให้รุ่นน้อง ป.4 ในโรงเรียนแห่งหนึ่ง หากเป็นการถักเปียธรรมดา เรื่องนี้คงไม่เป็นที่น่าสนใจ แต่เพราะในเหตุการณ์นี้ เด็ก ป. 4 ถูกรุ่นพี่รุมกลั่นแกล้งทำร้าย และประเด็นนี้กลายเป็นที่สนใจมากยิ่งขึ้นเพราะเด็กที่ถูกรังแกเป็นผู้ที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ที่ผ่านมา และกลายเป็นข่าวโด่งดังในเวลาเพียงไม่กี่วัน
จริงๆ การกลั่นแกล้งกันในโรงเรียนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาตั้งนานแล้ว แต่บางกรณีไม่ได้เป็นข่าวดังหรือเป็นที่น่าสนใจ หรือบางกรณีทางโรงเรียนและผู้ปกครองพูดคุยตกลงกันได้ ก็ทำให้เรื่องราวนั้นจบไป จนการกลั่นแกล้งกันในโรงเรียนกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนยอมรับให้มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ?
‼️แต่จากข่าวนี้เราได้เรียนรู้อะไรกันบ้าง❓
🚩 ประเด็นแรก เราเห็นการตัดสินคนและเห็นความรุนแรงจากกระแสสังคมที่เกิดขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไปทิศทางเดียวกัน คือ การตัดสินว่าเด็ก ม.2 เป็นเด็กไม่ดี ไม่รับการสั่งสอน สมควรได้รับการลงโทษที่สาสม(สาสมตามอารมณ์ของคนในโลกโซเชียล) และถูกต่อว่าด่าทอด้วยถ้อยคำที่รุนแรง และตีตราว่าพวกเขาเป็น "เด็กสก๊อย" รวมถึงการตั้งคำถามว่าทำไมครอบครัวหรือคุณครูไม่ดูแลเด็ก
บ้างก็โยนความผิดไปที่คุณครู ว่าทำไมไม่ดูแลและปล่อยให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในโรงเรียน ซึ่งมีการยืนยันจากทางโรงเรียนว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาพัก ซึ่งก็อาจเป็นการยากที่ครูจะมาเห็นเพราะนักเรียนทุกคนมีอิสระที่จะเล่นหรือทำกิจกรรมส่วนตัวของตนเอง ทำให้ครูไม่สามารถดูแลได้ทั่วถึงในช่วงเวลานั้น แต่กลับกันหากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นระหว่างที่อยู่ในช่วงเวลาเรียน ก็คงเหมาะแก่การตั้งคำถามว่าครูหายไปไหน และทำไมถึงปล่อยให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในห้องเรียน
บ้างก็โยนความผิดไปที่ครอบครัว ว่าไม่อบรมสั่งสอนเด็กและใช้ถ้อยคำที่รุนแรงหยาบคาย แน่นอนว่าเราปฏิเสธไม่ได้ว่าเด็กคือผลผลิตของครอบครัว ซึ่งการกระทำของเด็กมันสามารถสะท้อนไปถึงครอบครัวได้ หากเด็กทำดีครอบครัวก็จะถูกชมเชยไปด้วย และหากเด็กทำผิดพลาดครอบครัวก็ต้องถูกตำหนิด้วยเช่นกัน แต่ครั้งนี้ครอบครัวของเขาจำเป็นต้องตัดสินว่าไม่ดี หรือถูกตำหนิหรือต่อว่าด้วยถ้อยคำที่รุนแรงและหยาบคายด้วยเช่นกันหรือ?
เพราะเหตุใด? ถึงทำให้เกิดการตัดสินว่าเด็ก ม.2 เป็นเด็กไม่ดี ครอบครัวสั่งสอนพวกเขาไม่ดี หรือแม้แต่บอกว่าเป็นความผิดของครูที่ปล่อยให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ทั้งที่เรารับรู้ข้อเท็จจริงของเรื่องนี้เพียงแค่บางส่วนเท่านั้น
🚩 ประเด็นที่สอง เราเห็นการ bully เด็ก ม.2 จากสังคมโซเชียล ส่วนตัวเรายังคงเชื่ออยู่เสมอว่า "เด็กทุกคน คือ ผ้าสีเทา" และมันคือความท้าทายของผู้ใหญ่ที่อยู่รอบๆ ตัวเด็ก ว่า พวกเขาเหล่านั้นจะมีความสามารถในการซักผ้าสีเทาผืนเล็กนี้ให้กลายเป็นผ้าสีขาว หรือจะเป็นผู้ที่แต้มสีต่างๆ ลงบนผ้า จนสุดท้ายผ้าผืนนั้นก็กลายเป็นสีดำ และเรามองว่าเด็กเหล่านี้ยังสามารถซักได้ เราสามารถบอกสอนพวกเขา ให้พวกเขาได้เรียนรู้และปรับเปลี่ยนในความผิดพลาดของตัวเอง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม เราเห็นการขุดคุ้ยเรื่องราวของพวกเขาจนนำมาสู่การล่าแม่มด และสิ่งที่เราเห็น คือ เราเห็นเด็กที่ถูกรังแกเพิ่มจำนวนขึ้น เพียงแค่พวกเขาถูกกระทำด้วยวิธีการที่ต่างกันเท่านั้นเอง เราเห็นใจเด็ก ป.4 ที่ถูกทำร้ายได้ เพราะเรามองว่าเขาคือน้อง เขาไม่ควรถูกรังแก และเขาเป็นเด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ เขายิ่งควรได้รับการดูแลมากกว่าปกติ ซึ่งเราเองก็ไม่ได้มีความเห็นแย้งในประเด็นนี้ แต่เราก็สามารถปกป้องเขาได้โดยที่เราไม่จำเป็นต้องเพิ่มจำนวนของเด็กที่ถูกทำร้ายให้มากขึ้นได้ไม่ใช่หรือ?
🚩 ประเด็นที่สาม เราเจอความเห็นหนึ่งที่บอกในทำนองว่า "ควรเปิดกว้างให้การทำแท้งเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายได้สักที เพราะถ้ายังไม่พร้อมก็ไม่ควรจะมีลูก และปล่อยให้เขาโตมาเพื่อกลายเป็นปัญหาของสังคม" เราอ่านความเห็นนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบ เราไม่ได้มองว่าความคิดเห็นนี้เป็นความคิดเห็นที่ผิด เพราะเขาอาจไม่เชื่อมั่นว่าครอบครัวและสังคมในปัจจุบันจะสามารถขัดเกลาเด็กคนหนึ่งให้เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในสังคมได้ แต่เรามองว่ามันเป็นการเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาที่ผิดวิธี ก่อนอื่นเราต้องยอมรับว่าสังคมมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและการเรียนรู้เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ทำไมไม่ส่งเสริมการเรียนรู้เรื่องเพศและการป้องกันอย่างถูกต้องให้จริงจัง? เพราะในเมื่อเราไม่สามารถดูแลพวกเขาได้ตลอดเวลา เราก็ต้องสอนให้เขารู้จักวิธีการปกป้องดูแลตัวเอง เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์การท้องไม่พร้อมจะดีกว่าไหม?
🚩 และประเด็นสุดท้าย จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันทำให้เรารู้ว่าคนในสังคมให้ความสำคัญกับการเคารพสิทธิซึ่งกันและกันน้อยมาก พวกเขายังไม่มีความเข้าใจว่าตนเองต้องเคารพและไม่มีสิทธิไปกระทำละเมิดต่อผู้อื่น เหตุที่พวกเขายังไม่มีความตระหนักในเรื่องนี้ เพราะพวกเขายังขาดการเรียนรู้ และการสร้างความเข้าใจในเรื่องศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นคุณค่าสูงสุดของคนทุกคน หากทุกคนได้เรียนรู้และเข้าใจในเรื่องของการเคารพซึ่งกันและกัน เราคงได้รับรู้เรื่องการกลั่นแกล้งรังแกกัน การพูดจาไม่ดีต่อกัน และการปฏิบัติต่อกันด้วยความรุนแรงน้อยลง :)
🚩 หากสนใจอยากเรียนรู้เรื่องสิทธิมนุษยชน ขอเชิญชวนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของวารสาร "ผู้ไถ่" วารสารที่เป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดเรื่องราวสิทธิมนุษยชน เพื่อเรียนรู้เรื่องสิทธิมนุษยชนและร่วมสร้างสังคมแห่งสันติสุข ด้วยการเคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าของความเป็นมนุษย์
สมัครสมาชิก เชิญคลิก ➡️ https://www.facebook.com/JPThai/messages/
ปล. บทความนี้เป็นความคิดเห็นของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียว ขอบคุณที่ร่วมแสดงความคิดเห็นร่วมกัน
Powered by AkoComment 2.0! |