บทความล่าสุด |
---|
อนึ่ง บทความ หรือข้อเขียนทั้งหมดที่นำลงเว็บไซต์ jpthai.org เป็นทัศนะเฉพาะของผู้เขียน
ทางเว็บไซต์ jpthai อนุญาตให้คัดลอกบทความ/ข้อมูล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้
Donation / สนับสนุนการดำเนินงาน
|
รำพึงถึง "สารวันสันติภาพสากล" : รศ.ดร.วไล ณ ป้อมเพชร |
Wednesday, 10 May 2017 | ||||
จากวารสารผู้ไถ่ ฉบับที่ 103 (มกราคม - เมษายน 2560)
รำพึงถึง "สารวันสันติภาพสากล"
รศ.ดร.วไล ณ ป้อมเพชร
สารวันสันติภาพสากลในวันที่ ๑ มกราคม ค.ศ.๒๐๑๗ ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส เนื่องในวโรกาสเฉลิมฉลองวันสันติภาพสากล ครั้งที่ ๕๐ ซึ่งพระองค์ทรงเน้นถึง "การเมืองที่ยึดหลักสันติวิธี คือวิถีสู่สันติภาพ" พร้อมทั้งทรงอ้างถึงพระสมณสาสน์ ‘สันติภาพในโลก' ของนักบุญยอห์น ที่ ๒๓ สมเด็จพระสันตะปาปา ผู้ทรงเน้นถึง "ความสำนึก และความรักในสันติภาพ ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของความจริง ความยุติธรรม เสรีภาพ และความรัก" ซึ่งยังคงมีความสำคัญ และมีความจำเป็นอยู่ แม้จะล่วงเลยมาถึงห้าสิบปีแล้วก็ตาม สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสทรงเรียกร้องให้ความรัก เมตตา และสันติวิธี เป็นสิ่งที่กำหนดวิถีที่เราแต่ละคนพึงปฏิบัติต่อกันและกันในสังคม และในประชาคมระหว่างประเทศ ทั้งนี้เพราะโลกของเรามีความรุนแรงเกิดขึ้นทั่วไปในรูปแบบและลักษณะที่แตกต่างกัน และก่อให้เกิดความทุกข์ยากอย่างใหญ่หลวง การตอบโต้ความรุนแรงด้วยความรุนแรง จะนำไปสู่ความทุกข์ยากอย่างยิ่งใหญ่ และที่เลวร้ายที่สุดจะนำไปสู่ความตายทั้งทางร่างกาย และจิตวิญญาณของผู้คนจำนวนมาก
สมเด็จพระสันตะปาปายังทรงเตือนให้เรานึกถึงพระเยซูเจ้าผู้ทรงดำรงชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่มีความรุนแรง แต่พระองค์ได้ทรงเทศน์สอนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ถึงเรื่องความรักอันปราศจากเงื่อนไขของพระเจ้า พระองค์ทรงสอนสานุศิษย์ของพระองค์ให้รักศัตรูของตน พระองค์ทรงชี้หนทางแห่งสันติวิธี และทรงดำเนินชีวิตไปในเส้นทางนี้จนสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ในฐานะที่เราเป็นศิษย์ของพระองค์ เราต้องยอมรับคำสอนของพระองค์เกี่ยวกับการไม่ใช้ความรุนแรง การรักศัตรูของเรา ซึ่ง "ถือได้ว่าเป็นกฎบัตรที่ยิ่งใหญ่ของสันติวิธีแบบคริสตชน" ซึ่งมิได้เป็นความยอมจำนนต่อความชั่วร้าย หากแต่เป็นการตอบสนองความชั่วด้วยความดี (เทียบ รม ๑๒: ๑๗-๒๑)
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสทรงเตือนพวกเราว่า ความพยายามสร้างสันติภาพในนามของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของความอยุติธรรม และความรุนแรง มิใช่มรดกที่พระศาสนจักรคาทอลิกสืบทอดแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นแนวทางปฏิบัติที่สืบทอดกันมาในศาสนาอื่นๆ ด้วย ที่เน้นว่า "ความเมตตา และสันติวิธีเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ชี้นำวิถีชีวิต"
คำเตือนของสมเด็จพระสันตะปาปาในเรื่องนี้ ทำให้ข้าพเจ้าหวนกลับไประลึกถึงผู้นำศาสนาอื่นๆ ที่ข้าพเจ้าเคยรู้จัก และเคยร่วมงานด้วยกับบางท่าน เพื่อส่งเสริมเมตตาธรรม และสันติวิธี ในบรรดาผู้นำศาสนาที่เทศนาสั่งสอนเรื่องสันติภาพที่น่าประทับใจคือ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)[๑] ผู้มีบทบาทในการสอนเรื่องการสร้างสันติภาพในโลก และสอนให้เด็กและเยาวชนมีความสุขในการให้อันก่อให้เกิดเมตตาธรรม บทเทศนาสั่งสอนของท่านในเรื่องนี้สร้างความประทับใจในระดับชาติ และนานาชาติ จนกระทั่งท่านได้รับการถวายรางวัล Education for Peace (การศึกษาเพื่อสันติภาพ) จากองค์การยูเนสโก (UNESCO) เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ค.ศ.๑๙๙๔ (พ.ศ.๒๕๓๗)
ข้าพเจ้ามีความภาคภูมิใจมาก ในขณะนั้น ข้าพเจ้าทำงานที่องค์การยูเนสโกในฐานะผู้เชี่ยวชาญการศึกษาเพื่อสันติภาพ และได้ร่วมคณะของกระทรวงศึกษาธิการ เชิญท่านไปรับรางวัลที่กรุงปารีส คำสั่งสอนเรื่องสันติภาพของท่านที่น่าประทับใจ เช่น: "หากเราหวังจะสถาปนาสันติภาพในโลกนี้ให้สำเร็จ เราจะต้องฝึกฝนพัฒนาตนเองให้สามารถประสบสันติสุขภายใน และความสุขที่เป็นอิสระ ด้วยความหลุดพ้นจากความใฝ่ทะยานหาสิ่งเสพบำเรอสุข ความใฝ่แสวงหาอำนาจ และบรรดาทิฏฐิที่ก่อให้เกิดความแก่งแย่ง และแบ่งแยกทั้งหลาย"
ส่วนเรื่องการศึกษาของเด็กและเยาวชน ท่านได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเด็ก และการศึกษาของเยาวชนโดยกล่าวว่า: "ต้องปรับให้เกิดความสมดุลในการศึกษา ทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน ควรจะต้องปลูกฝังจิตสำนึกในการให้ การฝึกให้รู้จักการให้จะสอนให้เด็กเกิดมีความสุขจากการให้ และก่อให้เกิดเมตตาธรรม เมตตาหรือความรักนี้ หมายถึงความปรารถนาที่จะให้คนอื่นมีความสุข ด้วยการศึกษาอย่างนี้ เราจะรู้จักมองคนอื่นเป็นเพื่อนมนุษย์ที่ร่วมสุขร่วมทุกข์ ตกอยู่ภายใต้กฎธรรมชาติเช่นเดียวกับเรา..."
นอกจากนั้น ท่านยังกล่าวถึงการเลี้ยงดูลูกๆ ของบิดามารดาว่า.. "พ่อ-แม่เลี้ยงลูกคือสร้างโลก พ่อ-แม่เลี้ยงลูกดี เหมือนตามไปคุ้มครองโลก" หมายความว่าทั้งบิดามารดา และครู สามารถช่วยเด็กและเยาวชนให้พัฒนาความรู้สึก ท่าที และทัศนคติต่อเพื่อนมนุษย์ ต่อสังคม และต่อโลกในทางที่ดีได้ ดังที่ท่านได้บรรยายไว้ว่า.. "มองเพื่อนมนุษย์ด้วยท่าทีอย่างมิตร มีไมตรี มองสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะธรรมชาติด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง เห็นความงาม ความสงบ ความประณีต ละเอียดอ่อนลึกซึ้ง น่ารู้ น่าศึกษา มีทีท่าของการสนองความใฝ่รู้ อยากศึกษา อยากค้นคว้าหาความจริงยิ่งขึ้นไป มองความสัมพันธ์ของตนเองกับโลกและสังคม ด้วยท่าทีของการที่จะออกไปมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์และแก้ปัญหา หรือพัฒนาทำให้ดีขึ้น"
การที่ยูเนสโกได้ถวายรางวัล "การศึกษาเพื่อสันติภาพ" แด่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) เป็นการแสดงว่า โลกได้ตระหนักถึงบทบาทสำคัญของพระพุทธศาสนาที่มีต่อกระบวนการสร้างสันติภาพในโลก ซึ่งตรงกับที่สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสทรงย้ำเตือนเราว่า "ความพยายามสร้างสันติภาพ เป็นแนวทางปฏิบัติที่สืบทอดกันมาในศาสนาอื่นๆ ด้วย" ถ้าศาสนาทุกศาสนาพยายามสร้างสันติภาพด้วยการเทศนาสั่งสอนให้ "ความเมตตาและสันติวิธีเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่ชี้นำวิถีชีวิต" ตามข้อเสนอของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส เราก็คงจะได้อยู่ในโลกที่ปราศจากความรุนแรง และมีสันติภาพอย่างแท้จริง
[๑] สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร โปรดเกล้าฯ สถาปนา "พระพรหมคุณาภรณ์" ขึ้นเป็น "สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์" นับเป็นสมเด็จพระราชาแห่งคณะสงฆ์ไทย รูปแรกในสมัยรัชกาลที่ ๑๐ ที่มา: http://www.thairath.co.th/content/802716
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์เป็นพระนักวิชาการนักคิดนักเขียนผลงานทางพระพุทธศาสนารุ่นใหม่ มีผลงานทางวิชาการพระพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก ผลงานของท่านที่เป็นที่รู้จัก เช่น พุทธธรรม เป็นต้น ท่านได้รับการยกย่องจากทั้งในและต่างประเทศเป็นอย่างมาก ด้วยผลงานของท่านทำให้ท่านได้รับรางวัลและดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากหลายสถาบันทั้งในและนอกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ท่านเป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับรางวัลการศึกษาเพื่อสันติภาพ จากยูเนสโก (UNESCO Prize for Peace Education)
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|