บทความล่าสุด |
---|
อนึ่ง บทความ หรือข้อเขียนทั้งหมดที่นำลงเว็บไซต์ jpthai.org เป็นทัศนะเฉพาะของผู้เขียน
ทางเว็บไซต์ jpthai อนุญาตให้คัดลอกบทความ/ข้อมูล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้
Donation / สนับสนุนการดำเนินงาน
|
ผู้อยู่มาก่อน วันอันขมขื่นของอินเดียนแดง : วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ |
Wednesday, 07 December 2016 | ||||
จากวารสารผู้ไถ่ ฉบับที่ 32 (กรกฎาคม - ตุลาคม 2536)
ผู้อยู่มาก่อน วันอันขมขื่นของอินเดียนแดง
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี คาดกันว่าคนอินเดียนนี้อพยพมาจากทวีปเอเชียสู่ยุโรป เมื่อประมาณ 10,000 - 25,000 ปีมาแล้ว และเชื่อกันว่ามีดินแดนติดต่อกันระหว่างทวีปเอเชียกับทวีปอเมริกาในยุคน้ำแข็ง แต่ต่อมาหลังจากยุคน้ำแข็งแล้ว น้ำแข็งก็ละลายกลายเป็นช่องแคบเบอริ่งซึ่งมีความกว้างประมาณ 50 ไมล์ สาเหตุของการอพยพนี้สันนิษฐานว่า อาจหาดินแดนใหม่ที่มีสัตว์อุดมสมบูรณ์ เพื่อต้องการอาหารที่เหมาะสมในการดำรงชีวิต หรืออาจเป็นเพราะเหตุบังเอิญโดยการติดตามสัตว์ที่บาดเจ็บเข้าไป และเห็นว่าทวีปอเมริกาเป็นที่เหมาะสมในการตั้งถิ่นฐาน คนอินเดียนนั้นเป็นพวกมองโกลอยด์ แต่นักวิทยาศาสตร์บางพวกเชื่อว่าคนอินเดียนไม่น่าจะเป็นมองโกลอยด์แท้ๆ น่าจะมีส่วนผสมของชาติพันธุ์อื่นๆ ที่อาศัยในเขตเอเชีย โดยดูจากข้อสนับสนุนถึงความแตกต่างของร่างกายที่ปรากฏให้เห็น บางเผ่าสูงผอม บางเผ่าก็เตี้ยและสีผิวมีระดับอ่อนแก่ไม่เท่ากัน แต่เกือบทั้งหมดมีผมดำหยาบ ปกติพวกอินเดียนจะไม่ไว้หนวดเครา แต่ผู้ชายอินเดียนที่อาศัยทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือมักจะไว้เครา คนอินเดียนที่อพยพมานี้จะกระจายไปทั่วทวีปและตั้งหลักแหล่งตามที่ต่างๆ สภาพภูมิอากาศ ภูมิประเทศ และที่ดิน มีส่วนกำหนดให้กลุ่มต่างๆ รักษาลักษณะดั้งเดิมของกลุ่มสภาพภูมิประเทศ ทำให้มีความยากลำบากในการเดินทาง และสภาพภูมิอากาศที่แห้งแล้ง การติดต่อสัมพันธ์ระหว่างเผ่าเป็นไปได้ยาก ชาวอินเดียนส่วนใหญ่ อาศัยในที่ราบ และดำรงชีวิตด้วยการเกษตร การเพาะปลูกพืชพื้นเมือง อาทิ ข้าวโพด มันฝรั่ง ในที่ราบทางภาคตะวันตกและภาคกลางมีวัวไบซันเป็นสัตว์พื้นเมืองจำนวนมาก ทำให้อินเดียนมีความชำนาญในการล่าสัตว์ ส่วนผู้ที่อาศัยแถบชายฝั่งทะเลก็ชำนาญทางด้านการจับปลาเช่นกัน คนผิวขาวเริ่มรู้จักชาวอินเดียนแดงเมื่อโคลัมบัสเดินทางมาถึงอเมริกา "คนเหล่านั้นช่างว่าง่าย และอยู่กันอย่างสงบสันติเหลือเกิน ข้าพเจ้าสาบานต่อพระองค์ได้ว่า ไม่มีชนชาติไหนในโลกที่ดีกว่านี้อีกแล้ว พวกเขารักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง เสียงพูดของเขาสุภาพอ่อนหวาน และมีรอยยิ้มตลอดเวลา" เป็นตอนหนึ่งที่โคลัมบัสกล่าวไว้ในสาสน์บังคมทูลพระราชาและพระราชินีแห่งสเปน ในปี ค.ศ.1492 ไม่ถึงสิบปี ชาวสเปนได้เข้าปล้นสะดมเผาหมู่บ้านชาวอินเดียนแดง ฆ่าคนไปหลายแสนคน ส่งเด็กและผู้หญิงไปเป็นทาสในยุโรปเพื่อค้นหาทองและอัญมณีที่มีค่าต่างๆ ปี ค.ศ.1620 ชาวอังกฤษมาขึ้นบกที่พลีมัธ (Plymouth) ส่วนใหญ่อาจอดตายหากชาวอินเดียนไม่ได้ให้ความช่วยเหลือ สอนชาวอังกฤษให้จับปลา แบ่งข้าวโพดให้ไปเพาะปลูกหาที่ดินไว้ทำไร่ ห้าปีต่อมาชาวอังกฤษ และชาวดัตช์เริ่มบุกรุกดินแดนของชาวอินเดียนเข้าไปทุกที เมื่อชนเผ่าพื้นเมืองไม่ยอมก็ทำการขับไล่ ฆ่าชาวพื้นเมืองหมดทั้งเผ่า ทหารใช้ดาบปลายปืนเสียบร่างผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กๆ เอาขวานสับศพออกเป็นชิ้นๆ แล้วเอาไฟเผาหมู่บ้านจนหมด ความขัดแย้งระหว่างชาวอาณานิคมกับชาวอินเดียนมีประปรายกลายเป็นสงครามอินเดียนในที่สุด สงครามแต่ละครั้งชาวอินเดียนก็ถูกทำลายลงไปเป็นจำนวนมากมายจนเกือบไม่เหลือ บางครั้งก็เป็นการฆาตกรรมหมู่ที่น่าอับอาย การถลกหนังหัวชาวอินเดียนซึ่งโหดร้ายทารุณมากเช่นที่หมู่บ้านเชอรี่ นิวยอร์ก และเพนซิลวาเนีย เป็นต้น สงครามหลายครั้งทำให้ชาวอินเดียนต้องสูญเสียทุกอย่าง ในขณะที่คนผิวขาวยังอยู่ และทำมาหากินบนผืนแผ่นดินที่พวกเขาเคยเป็นเจ้าของ นโยบายทำสงครามกวาดล้างชาวอินเดียนเป็นที่ยอมรับกันทั่วไป ในปี ค.ศ.1868 มีการใช้งบประมาณ 1 ล้านดอลลาร์ เพื่อตอบสนองนโยบายกำจัดอินเดียนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ โดยการกระทำทุกอย่างให้สังคมอินเดียนสูญสลายไป เพื่อครอบครองดินแดนแทน ในปี ค.ศ.1848 มีการขุดพบทองในแคลิฟอร์เนีย ไม่กี่เดือนนักแสวงโชคตะวันออกหลายหมื่นคนก็หลั่งไหลข้ามเขตอินเดียนไปเผชิญโชค ขับไล่ชาวอินเดียนออกจากถิ่นเดิม โดยมีนโยบายใหม่ว่า พวกเขาคือชาติพันธุ์ที่เหนือกว่า เพราะฉะนั้นจึงต้องรับผิดชอบในการดูแลอินเดียน นั่นหมายความว่ารวมทั้งดินแดนของอินเดียน ป่าของอินเดียน และแร่ธาตุอันอุดมสมบูรณ์ของอินเดียนด้วย ต่อจากนั้นมา 30 ปี ชาวอินเดียนได้ถูกขับไล่ ถูกฆ่าตายอย่างโหดร้ายมากมายเป็นประวัติการณ์ ชาวอินเดียนถูกฆ่าตายเหมือนผักปลา พวกเขาซึ่งครั้งหนึ่งเป็นเจ้าของดินแดนแห่งนี้ ถูกตราหน้าว่าเป็น "เศษสวะของสังคมที่พึงถูกทำลายให้สิ้นซาก" มีการสังหารหมู่ ข่มขืน การถลกหนังอินเดียนอย่างทารุณโหดร้าย พื้นดิน ป่าไม้ ลำธารที่เคยอุดมสมบูรณ์ก็สูญสลายพังพินาศไปเพราะชาวผิวขาวไม่เคยรักษาสัญญาที่มีไว้ต่อชาวอินเดียนแดง และอิสรภาพของชาวอินเดียนแดงก็จบลงด้วยเหตุการณ์สังหารหมู่ที่วูดเด็นนี (Wooden Knee) ในปลายศตวรรษที่ 19 เกิดเหตุการณ์สลดใจที่วูดเด็นนี ซึ่งเป็นหมู่บ้านในรัฐเซาท์ ดาโกต้า ทหารอเมริกันทำการฆาตกรรมหมู่เด็ก ผู้หญิง และคนที่ปราศจากอาวุธ (ต่อมาทหารอเมริกันก็ทำให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกที่หมู่บ้านมายไล ในเวียดนาม) สาเหตุของการฆาตกรรมหมู่นี้เกิดจากการที่ทหารอเมริกันเข้าจับคนอินเดียนที่กำลังอพยพหลบหนีจากนิคมที่ทางการจัดไว้ให้ไปอยู่ในดินแดนที่เคยเป็นของเผ่าตน ทหารอเมริกันนำกองทหารเข้าล้อมจับและจะนำไปค่ายทหารที่วูดเด็นนี พวกอินเดียนยินยอมเดินทางไปด้วยแต่ไม่ให้บังคับโดยใช้ทหารคุม ทหารอเมริกันไม่ตกลง เพราะไม่ไว้ใจจึงทำการปลดอาวุธอินเดียน เมื่อเดินทางถึงค่ายวูดเด็นนีพวกอินเดียนก็หยุดพัก อินเดียนมีผู้ชาย 120 คน เด็กและผู้หญิง 230 คน พันเอกฟอร์ซิทได้เข้าปลดอาวุธอีกครั้งหนึ่ง พวกทหารรื้อค้นกระโจมค้นตามตัว ซึ่งทำความไม่พอใจให้ชาวอินเดียนอย่างมาก หมอผีจึงเริ่มทำพิธีกรรมให้กระสุนไม่สามารถระคายผิวหนังชาวอินเดียน ซึ่งเป็นความเชื่อของอินเดียนที่เตรียมต่อสู้ จนทหารค้นพบอาวุธปืน แต่จิ้งจอกดำ (Black Fox) ซึ่งเป็นเจ้าของไม่ยอมให้ จึงเกิดตะลุมบอนกัน ทหารอเมริกันจึงใช้ปืนยิงเข้าไป คนอินเดียนทั้งหมดจึงสู้ด้วยมือเปล่า เพราะไม่มีอาวุธเลย ในที่สุดเหตุการณ์ก็สิ้นสุดลง พวกอินเดียนส่วนใหญ่ถูกยิงตาย พวกที่บาดเจ็บก็ถูกยิงซ้ำให้ตาย เหลือรอดเพียงเล็กน้อย อินเดียนตายราว 300 คน ทหารอเมริกันตาย 25 คน บาดเจ็บ 39 คน ทุกคนตายเพราะกระสุนปืน
อินเดียนแดงในปัจจุบัน คนอินเดียนแดงในปัจจุบันมีที่อยู่อาศัยใน 2 แห่งใหญ่ๆ คือ ในเขตสงวน และทำงานตามเมืองใหญ่ๆ โดยมีทบวงกิจการอินเดียนแดงของรัฐบาลกลางเป็นผู้รับผิดชอบความเป็นอยู่ของชาวอินเดียนแดง ในปี ค.ศ.1960 ประชากรของชาวอินเดียนแดงมีมากกว่า 500,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ ประมาณกันว่ากว่า 100,000 คนอาศัยอยู่ในรัฐอริโซน่าและนิวเม็กซิโก 64,000 คนอยู่ในโอกลาโฮม่า ที่เหลือกระจายอยู่ในแคลิฟอร์เนีย โอเรกอน และวอชิงตัน ในรัฐภาคกลางตอนเหนือ เช่น รัฐดาโกต้าเหนือ มินิโซต้า และมิชิแกน ทบวงกิจการอินเดียนรายงานว่า ประมาณ 71% ของที่อยู่อาศัยอยู่ในระดับต่ำกว่ามาตรฐาน ขาดแคลนน้ำประปา ไฟฟ้า ตลอดจนอุปกรณ์ที่จำเป็นในการดำรงชีวิต อัตราการตายของเด็กมีมากเป็น 3 เท่าของอัตราปกติในขณะที่อัตราการตายของทารกแรกเกิดคิดเป็น 88.2 ต่อ 1,000 คน อายุเฉลี่ยของชาวอินเดียนคือ 63.9 ปี ในขณะที่อายุเฉลี่ยของชาวอเมริกันคือ 70 ปี และอัตราการฆ่าตัวตายในวัยหนุ่มมีมากเป็น 10 เท่าของอัตราปกติ ชาวอินเดียนเป็นกลุ่มคนที่ยากจนที่สุดในอเมริกา รายได้เฉลี่ยต่อปีอยู่ในระดับ 1,000-1,500 ดอลล่าร์ ต่ำกว่ารายได้เฉลี่ยของชาวอเมริกันทั่วไป และมีอัตราการว่างงานเกือบ 40% ของชาวอินเดียน ซึ่งสูงกว่าอัตราการว่างงานธรรมดาถึง 10 เท่า อาชีพของชาวอินเดียนเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ในเขตที่มีทรัพยากรธรรมชาติมาก ก็จะมีเอกชนเข้ามาทำกิจการอุตสาหกรรม เช่น บริษัทขุดน้ำมัน ขุดแร่ยูเรเนียม ทำป่าไม้ หรือโรงงานอุตสาหกรรม บริษัทเหล่านี้จะจ้างชาวอินเดียนไปเป็นลูกจ้าง เพราะค่าแรงถูกกว่าคนผิวขาว และเป็นคนพื้นเมืองในท้องถิ่นด้วย แต่ขณะเดียวกัน บางแห่งที่ยกเลิกกิจการเพราะขาดทุน ชาวอินเดียนก็จะตกงาน ไม่มีสวัสดิการหรือความมั่นคงใดๆ ในการประกอบอาชีพ ในเขตสงวน ชาวอินเดียนจึงมีหน้าที่หรืออาชีพต้อนรับนักท่องเที่ยว ขายของที่ระลึก และได้รับเงินสวัสดิการจากรัฐบาลกลางเดือนละ 200 ดอลล่าร์ต่อครอบครัว ซึ่งเป็นรายได้ที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับมาตรฐานการครองชีพในสหรัฐอเมริกา มีเพียง 1 ใน 3 ของชาวอินเดียนที่เข้าไปทำงานในเมือง และส่วนใหญ่มักถูกเหยียดหยามถูกกีดกันจากคนผิวขาวในประเทศ จากภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ที่ชาวผิวขาวได้ขับไล่และแย่งชิงเอาดินแดนของชาวอินเดียน ความขัดแย้งทั้งสองฝ่ายจึงเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คนอเมริกันมักมองชาวอินเดียนว่าป่าเถื่อน กักขฬะ ด้อยความเจริญ ในขณะที่ชาวอินเดียนไม่พอใจที่ถูกแย่งชิงดินแดนและได้รับการปฏิบัติเยี่ยง "สัตว์สงวนแห่งทวีป" จะตอบโต้ด้วยการทำสงครามแต่ก็ต้องพ่ายแพ้ บางเผ่าถูกทำลายหมด หรือไม่ก็ถูกบังคับให้อยู่ในเขตสงวน จากประวัติที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่ารัฐบาลอเมริกาไม่เคยมีความจริงใจต่อการแก้ปัญหาของชาวอินเดียนแดงเลย หากแต่ว่าเมื่อมีผลประโยชน์อันใดที่เป็นของชาวผิวขาว รัฐบาลก็จะไปฉกฉวยเอามา โดยไม่คำนึงถึงคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ต่อชาวอินเดียนเลย หัวหน้าเผ่าชาวอินเดียนเคยพูดว่า "พวกมันสัญญาไว้เยอแยะ เยอะ จนข้าจำไม่ได้ แต่พวกมันก็ไม่เคยรักษาสัญญาสักที พวกมันรักษาคำพูดเหมือนกัน แต่รักษาอยู่อย่างเดียว พวกมันสัญญาว่าจะเอาดินแดนของเราไป แล้วพวกมันก็ยึดเอาดินแดนของเราไปหมด" อันจะเห็นได้จากการที่ชาวผิวขาวบุกเขตสงวนในปี ค.ศ.1848 เมื่อมีการตื่นทองที่แคลิฟอร์เนีย แม้กระทั่งปัจจุบัน รัฐบาลอเมริกันก็แต่เพียงทำให้ชาวอินเดียนสามารถพอที่จะมีชีวิตอยู่รอดได้เท่านั้น โดยไม่มีการปรับปรุงสภาพให้ดีขึ้น หรือดีขึ้นเพียงเล็กน้อย ชาวอินเดียนก็ยังเป็นชนกลุ่มน้อยที่ยากจนที่สุด ต้องอยู่ในเขตสงวน ไม่มีไฟฟ้า เตาแก๊ส หรือเครื่องทำความอุ่น เด็กๆ และคนแก่ยังตายเพราะความหนาวเย็น และโรคภัยต่างๆ ที่เกิดจากการขาดแคลนทางเศรษฐกิจ คนหนุ่มสาวฆ่าตัวตายมากเพราะความหมดอาลัยในอนาคต หรือไม่ก็เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง คนอินเดียนมีสภาพไม่ต่างไปจากคนผิวเหลือง และชาวผิวดำ ในสายตาของชาวผิวขาว ซ้ำร้ายอาจต่ำกว่าด้วย เพราะไม่มีโอกาสปรับชีวิต ทัศนคติ ประเพณี วัฒนธรรม ให้เป็นไปตามอารยธรรมชาวตะวันตก รัฐบาลพยายามระงับความรู้สึกโกรธแค้นคนผิวแดงที่คิดจะแยกไปปกครองตนเอง โดยส่งเสริมให้เอกชนชาวอเมริกันมาลงทุนก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อให้คนอินเดียนมีงานทำ ส่งเสริมให้คนอินเดียนมีการสาธารณสุขที่ดี มีการศึกษาที่ดีขึ้น มีการทำเหมืองแร่ในเขตสงวน มีรายได้จากเงินปันผลของบริษัทน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ ให้มีการฝากเงินที่ธนาคาร เพื่อเอาดอกเบี้ยมาลงทุนในงานสาธารณูปโภค และโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อนำเอารายได้มาปรับปรุงความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น แต่ในทางปฏิบัติ ทรัพยากรมีไม่มาก จึงทำให้กิจการต้องหยุดเนื่องจากขาดแคลนวัตถุดิบ และการแข่งขันการผลิตกันมาก ซึ่งชาวอินเดียนสู้ไม่ได้ ต้องเลิกล้มไปคนอินเดียนก็ตกงาน จากนั้นมีชีวิตอยู่ด้วยเงินประกันสังคมจากรัฐบาลเพียงเล็กน้อย ในการประชุมชาวอินเดียนที่ชิคาโกในปี ค.ศ.1961 พวกเขาประกาศจุดมุ่งหมายของชาวอินเดียนว่า "เราชาวอินเดียนจะต้องถูกปกครองโดยกฎหมายและกฎเกณฑ์ทางสังคมที่เป็นธรรม ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย ด้วยสิทธิที่จะเลือกวิถีชีวิตของเราเอง" ชาวอินเดียนจะต้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาพร้อมด้วยความช่วยเหลือจากรัฐบาล สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่าย บางครั้งฝ่ายปกครองใช้ความรุนแรงเข้าปราบ ชาวอินเดียนหัวรุนแรงจึงได้รวมกลุ่มกันจัดตั้งเป็นขบวนการขึ้น ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1973 ขบวนการอเมริกันอินเดียนได้บุกเข้ายึดครอง วูดเด็นนี สถานที่ที่ชาวอเมริกันเคยสังหารหมู่คนอินเดียนในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา พวกเขาจับเอาตัวประกัน 11 คน โดยไม่ได้ทำอันตราย และต่อมาได้ปล่อยตัวเป็นอิสระ ข้อเรียกร้องคือ ขอให้รัฐบาลปรับปรุงสนธิสัญญากับคนอินเดียนใหม่ มีเสรีภาพในการปกครองตนเอง "แต่การเจรจาไม่เป็นที่ตกลง เพราะทางรัฐบาลถือว่าทำผิดกฎหมาย การเจรจาจะมีขึ้นก็ต่อเมื่อขบวนการนี้ ยอมออกมามอบตัวเสียก่อน แต่ขบวนการเห็นว่าพวกเขาไม่ได้ทำผิดอะไร นิคมวูดเด็นนีเป็นของชาวอินเดียนมาแต่เดิม ในสนธิสัญญาก็ระบุว่า ดินแดนนี้เป็นเขตสงวนของชาวอินเดียนโดยเฉพาะ ชนชาติอื่นจะเข้าไปอยู่ไม่ได้และตัวประกันก็ไม่ได้ถูกทำร้ายด้วย รัฐบาลไม่มีสิทธิมาบังคับให้พวกเขามอบตัว ขบวนการฯ พยายามเรียกร้องความเห็นใจจากชาวอเมริกันทั่วประเทศ โดยผ่านทางสื่อมวลชนบางฉบับ ประชาชนได้ให้ความเห็นใจโดยผ่านทางหนังสือพิมพ์ระลึกถึงเหตุการณ์ที่ วูดเด็นนี เมื่อ 80 กว่าปีก่อนที่มีการสังหารหมู่ชาวอินเดียน แม้จะมีการปะทะกันบ้าง แต่รัฐบาลก็ยังไม่กล้าส่งกองทัพเข้ามา ขบวนการฯ ได้เรียกร้องให้รัฐบาลยอมรับฐานะของชาวอินเดียน เพื่อเตรียมจะประกาศตั้งประเทศ "โอกลาลา ซูส์" (Oglala Sioux) อันเป็นประเทศของชาวอินเดียนโดยเฉพาะ ในขณะที่ข้อเสนอของรัฐบาลต้องการให้วางอาวุธ และยอมมอบตัวเสียก่อน ซึ่งขบวนการฯ ยอมตามข้อตกลงไม่ได้ ความขัดแย้งสิ้นสุดลงเมื่อรัฐบาลได้ส่งกองทัพเข้าปราบปราม และจับชาวอินเดียนไว้เป็นจำนวนมาก เหตุการณ์ครั้งสุดท้ายนี้เป็นการแสดงออกถึงความไม่พอใจของชาวอินเดียน และความรู้สึกไม่พอใจก็ถูกสะสมขึ้นเรื่อยๆ รอเวลาที่จะระเบิดออกมา หากว่าไม่มีแนวทางในการแก้ไขปัญหาอย่างชัดเจน
จาก : ณ ที่ดวงตะวันฉายแสง สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม มกราคม 2536
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|