บทความล่าสุด |
---|
สิทธิมนุษยชนสากลตามหลักศาสนา มิติคริสต์ศาสนา : รศ.ดร.วไล ณ ป้อมเพชร |
Wednesday, 12 October 2016 | ||||
เส้นทางสู่สิทธิมนุษยชนศึกษา
สิทธิมนุษยชนสากลตามหลักศาสนา
มิติคริสต์ศาสนา
รศ.ดร.วไล ณ ป้อมเพชร
ข้าพเจ้ารู้สึกเสียดายที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้คิดถึงสิทธิมนุษยชนในมิติของคุณธรรม ในมิติของ ศาสนธรรม เพราะถ้าเป็นดังนี้แล้ว เราก็คงจะเคารพสิทธิมนุษยชนมากขึ้นและละเมิดสิทธิของผู้อื่นน้อยลง เพื่อให้เกิดความเข้าใจ ตระหนักรู้ และสามารถดำเนินชีวิตที่เห็นคุณค่าของมนุษย์ ความหมายของสิทธิมนุษยชนในเชิงกฎหมายเท่านั้นไม่เพียงพอ จำเป็นต้องศึกษาความหมายที่มีอยู่ในสังคม วัฒนธรรม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหลักธรรมของศาสนาด้วย ถึงแม้ว่า "สิทธิมนุษยชน" เป็นแนวคิดที่ได้รับความสนใจทั่วไปในโลก ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ เป็นต้นมา (ค.ศ.๑๙๔๕) แต่สิทธิมนุษยชนเป็นแนวคิดที่มีประวัติความเป็นมายาวนานในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ อารยธรรม ศาสนา และปรัชญาทั้งหลายในโลกที่ให้คุณค่ากับมนุษย์ ได้มีส่วนสำคัญในการวางรากฐานแนวคิดเรื่องสิทธิมนุษยชน ซึ่งต่อมาในภายหลังได้ผ่านกระบวนการสร้างกฎเกณฑ์ของสังคมในการประกัน "สิทธิ" ของความเป็นมนุษย์ สิทธิมนุษยชนจึงกลายเป็นสิทธิทางกฎหมายทั้งในระดับชาติและระดับนานาชาติ แนวคิดสิทธิมนุษยชนจึงปรากฏอยู่ในบทบัญญัติรัฐธรรมนูญของชาติต่างๆ รวมทั้งในปฏิญญา กติกา สนธิสัญญา และอนุสัญญาระหว่างประเทศ เพื่อปกป้องสิทธิของบุคคลหรือสิทธิความเป็นมนุษย์ของบุคคลทุกคนในโลก ถึงแม้ว่าคำ "สิทธิมนุษยชน" จะไม่ปรากฏอยู่ในภาษาของหลักธรรมในศาสนาต่างๆ เพราะเป็นคำที่มนุษย์บัญญัติขึ้นในภายหลัง แต่ความหมายอันลึกซึ้งของสิทธิมนุษยชนมีอยู่ในทุกศาสนาที่เห็นว่าชีวิตมนุษย์มีคุณค่า ศาสนาทั้งหลายเหล่านั้นจึงมีบัญญัติห้ามทำลายชีวิตมนุษย์ และต่างก็สอนถึงศักดิ์ศรีอันเท่าเทียมกันและศักยภาพในการพัฒนาตนเองของมนุษย์จนถึงระดับสูงสุด ศาสนาสอนสัจธรรม สอนให้มนุษย์รู้ถึงความหมายและเป้าหมายของชีวิต และชี้ให้เห็นถึงหนทางที่จะไปถึงเป้าหมายนั้น เพื่อที่จะไปสู่เป้าหมายของชีวิต การดำรงชีวิตในปัจจุบันมีความสำคัญ การดำรงชีวิตอย่างมีคุณค่าคือการดำรงชีวิตอยู่กับผู้อื่นอย่างดี มีการเกื้อกูลซึ่งกันและกัน แบ่งปันกัน ปฏิบัติต่อกันด้วยความเมตตากรุณาฉันพี่น้อง ซึ่งก็เป็นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในสังคมมนุษย์ ตามอุดมการณ์ของสิทธิมนุษยชน ดังปรากฏในข้อ ๑ ของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน "มนุษย์ทั้งหลายเกิดมาอิสรเสรี และเท่าเทียมกันทั้งศักดิ์ศรีและสิทธิ ทุกคนได้รับการประสิทธิประสาทเหตุผล และมโนธรรม และพึงปฏิบัติต่อกันด้วยจิตวิญญาณของความเป็นพี่น้อง (In the spirit of brotherhood)" ถ้าพิจารณาสิทธิมนุษยชนในแง่ศาสนธรรม คำตอบสำหรับคำถามที่ว่า สิทธิมนุษยชนคืออะไร ก็คงจะเป็นไปในแนวนี้คือ สิทธิมนุษยชนคือคุณธรรมสากลที่เน้นคุณค่าของมนุษย์และยืนยันว่ามนุษย์ทุกคนมีความเสมอภาคกันในศักดิ์ศรีและมีความเท่าเทียมกันในสิทธิ และเป็นคุณธรรมที่สะท้อนถึงความใฝ่ฝันของมนุษย์ ที่จะไปให้ถึงอุดมการณ์ของชีวิตในสังคม ตลอดระยะเวลาอันยาวนานของประวัติศาสตร์ สิทธิมนุษยชนได้รับการอธิบายความหมายบนพื้นฐานของคุณธรรมที่เกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ เกี่ยวข้องกับเสรีภาพ ความเสมอภาค และความยุติธรรม ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นคุณธรรมสากล และถึงแม้จะมีรูปแบบที่หลากหลายตามความแตกต่างของวัฒนธรรมและสังคม แต่ความหลากหลายดังกล่าวก็ไม่กระทบต่อรากฐานของคุณธรรมที่เป็นสากล ที่ติดตัวมากับมนุษย์และไม่อาจถ่ายโอนได้ของสิทธิมนุษยชน
กระบวนการร่างกฎเกณฑ์เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนและการประกาศปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน นับเป็นความพยายามที่จะตอบสนองต่อการเรียกร้องและให้ความสำคัญต่อศักดิ์ศรีของมนุษย์ ซึ่งหมายความว่าในเมื่อมนุษย์มีศักดิ์ศรีแล้วก็จำเป็นจะต้องมีสิทธิแห่งมนุษยชน ดังนั้นรากฐานของสิทธิมนุษยชนมาจากศักดิ์ศรีที่เป็นของมนุษย์แต่ละคน ที่ติดตัวมากับชีวิตมนุษย์และเท่าเทียมกันในมนุษย์ทุกคน
ความหมายของเสรีภาพจะต้องไม่จำกัด โดยพิจารณาจากมุมมองของปัจเจกบุคคลแต่เพียงอย่างเดียว และลดทอนลงให้เป็นเพียงการใช้ความเป็นอิสระส่วนตัวตามอำเภอใจ และไม่มีการควบคุม เสรีภาพดำรงอยู่ได้อย่างแท้จริง เมื่อมีความสัมพันธ์ร่วมกัน เชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกันโดยเน้นความจริง และความยุติธรรม คุณค่าของเสรีภาพในฐานะที่เป็นการแสดงออกของมนุษย์แต่ละคน ย่อมจะได้รับความเคารพ เมื่อสมาชิกทุกคนของสังคมได้รับการยินยอมให้ปฏิบัติตามกระแสเรียกของตน (Personal Vocation) : ในการแสวงหาความจริงและดำเนินตามความคิดทางศาสนา วัฒนธรรม และการเมืองของตน ในการแสดงความคิดเห็นของตน ในการเลือกการดำเนินชีวิต และแนวทางการทำงานเท่าที่จะทำได้ เพื่อดำเนินกิจการทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง แต่จะต้องดำเนินการภายใน "กรอบของกฎหมาย" และจะต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของส่วนรวมและระเบียบสาธารณะ และในทุกกรณีจะต้องเป็นไปด้วยความรับผิดชอบ
ความเท่าเทียมกันในศักดิ์ศรีของมนุษย์ที่พระเจ้าประทานให้มนุษย์ทุกคนเป็นรากฐานของความเสมอภาคและภราดรภาพ ของมวลมนุษย์โดยไม่คำนึงถึงเผ่าพันธุ์ สัญชาติ เพศ วัฒนธรรม หรือชนชั้น การตระหนักและการยอมรับศักดิ์ศรีของมนุษย์ เป็นหนทางที่ทำให้มนุษย์สามารถเจริญเติบโต มีศักยภาพ และเพื่อทำให้มนุษย์เจริญเติบโตได้ จำเป็นจะต้องช่วยกันส่งเสริมความเท่าเทียมกันระหว่างชายและหญิง และพยายามให้มีกฎหมายรับรองความเสมอภาคระหว่างชนชั้นต่างๆ ในสังคม
แม้ว่าคำสั่งสอนด้านสังคมของศาสนาจะยังเรียกร้องให้เคารพความยุติธรรมตามรูปแบบดั้งเดิมที่สุดอยู่เสมอ แต่ก็ได้เน้นความสำคัญของความยุติธรรมทางสังคมมากยิ่งขึ้น นับเป็นการก้าวข้ามความยุติธรรมแบบพันธสัญญาเดิม เพื่อเปิดทางให้กับความยุติธรรมและเมตตาธรรม ศาสนาสอนว่า : "พระเจ้าประทานโลกและทุกสิ่งที่อยู่ในโลกแก่มนุษย์ทุกคน เพื่อให้มนุษย์แบ่งปันสิ่งสร้างทั้งหลายในโลกแก่กันและกันอย่างเป็นธรรม" (การแบ่งปันต้องเป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชนคือ ผู้ที่จำเป็นมากต้องได้รับมาก หรือความยุติธรรมที่ทำให้เกิดความเสมอภาคมากขึ้น) ความยุติธรรมและเมตตาธรรมต้องมุ่งเน้นสู่คนยากจนและคนชายขอบ การเลือกอยู่เคียงข้างคนยากจนถือเป็นการปฏิบัติเมตตาธรรมของคริสตชน ผู้ดำรงชีวิตโดยเลียนแบบชีวิตของพระเยซูเจ้า และในขณะเดียวกันก็เป็นความรับผิดชอบต่อสังคมซึ่งเป็นแบบแผนการดำเนินชีวิตของชาวคริสต์ ทุกวันนี้เมื่อมองปัญหาสังคมจากมิติระดับโลก การเลือกที่จะอยู่เคียงข้างคนยากจนจะต้องคำนึงถึงผู้หิวโหย ผู้มีความจำเป็น ผู้ไร้ที่อยู่อาศัย ผู้ไม่ได้รับการดูแลด้านสุขภาพ และผู้ที่หมดหวังที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งมีอยู่จำนวนมหาศาล พระเยซูเจ้าได้ตรัสว่า : "ท่านจะมีคนยากจนอยู่ร่วมกับท่านเสมอ แต่ท่านจะไม่มีเราอยู่กับท่านตลอดเวลา" หมายความว่าคริสตชนได้รับมอบหมายให้ดูแลคนยากจน และด้วยความรับผิดชอบนี้เอง พวกเขาจะได้รับการพิพากษาเมื่อเวลาสุดท้ายมาถึง พระเยซูเจ้าเตือนเราว่า เราจะถูกแยกจากพระองค์ หากเรามิได้ช่วยเหลือในความจำเป็นอย่างยิ่งยวดของคนยากคนจนและคนเล็กคนน้อย ผู้เป็นพี่น้องของพระองค์
ในพระคัมภีร์ได้มีคำกล่าวว่า : "ชีวิตมนุษย์มีความหมายก็ต่อเมื่อมนุษย์มีความจงรักภักดีต่อพระเจ้า จนถึงขั้นที่พร้อมจะคืนชีวิตแด่พระองค์ได้" พระเยซูเจ้าทรงมีความคิดว่า "การมอบคืนชีวิตแด่พระเจ้า ต้องเป็นไปในรูปของการมอบทุกอย่างแม้แต่ชีวิตของตน ให้แก่พี่น้องของตน" กรณีที่เครื่องบินตกในแม่น้ำที่กรุงวอชิงตัน ผู้โดยสารที่ออกมาจากเครื่องได้ต่างลอยคออยู่ในน้ำ มีผู้คนโยนเชือกให้แก่ผู้โดยสารเหล่านั้น ชายผู้หนึ่งจับเชือกได้ แต่แทนที่จะรีบดึงตัวเองเข้ามาสู่ฝั่ง เขากลับว่ายน้ำนำเชือกไปให้ผู้หญิงคนหนึ่ง ครั้นต่อมาเขาจับได้เชือกอีกครั้งหนึ่ง และเขาก็นำไปให้ผู้หญิงอีกคนหนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็จมน้ำ ผู้หญิงทั้งสองที่รอดชีวิตมาได้ ยืนยันว่าไม่รู้จักชายผู้นั้น ความรักที่เปี่ยมไปด้วยเมตตา จนสละชีวิตเพื่อเพื่อนมนุษย์ได้เช่นนี้ ตรงกับเนื้อหาสาระของคำสอนของศาสนาคริสต์ และเป็นรากฐานของคุณธรรมสากลแห่งสิทธิมนุษยชน ความรักต่อผู้ยากไร้ เป็นเรื่องที่คริสต์ศาสนาเน้นย้ำ หมายถึงทั้งความรักต่อผู้ยากจนทางวัตถุ และความยากจนทางวัฒนธรรมและศาสนาในรูปแบบต่างๆ ด้วยการแสดงความรัก ความเมตตา คือการให้ความช่วยเหลือต่างๆ แก่เพื่อนมนุษย์ที่มีความจำเป็นจะต้องได้รับ คำสอนตามพันธสัญญาใหม่กล่าวว่า : "ท่านได้รับมาโดยไม่เสียค่าตอบแทน ก็จงให้เขาโดยไม่รับค่าตอบแทนด้วย" การช่วยเหลือผู้ยากจน คือ การมีเมตตาธรรมต่อพี่น้อง นอกจากนั้นยังเป็นการปฏิบัติตามความยุติธรรมอีกด้วย คำสอนของศาสนาคริสต์มักจะเน้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง ความรัก / ความเมตตา รวมกับความยุติธรรมเสมอ : "เมื่อเราตอบสนองความจำเป็น (Need) ของผู้ที่ยากไร้ เราก็ให้สิ่งที่เป็นของเขานั่นเอง ซึ่งสิ่งนั้นมิใช่ของเรา เรากำลังปฏิบัติความยุติธรรม ยิ่งกว่าการปฏิบัติเมตตาธรรม" นักบุญชาวกรีกคนหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า : "สิ่งที่อยู่ในตู้กับข้าวของเรา เสื้อผ้า เครื่องใช้ ในตู้ของเรา มิได้เป็นของเรา แต่เป็นของเพื่อนผู้ยากไร้ของเรา" ดังนั้น "สิ่งใดที่เป็นเรื่องของความยุติธรรม ก็ไม่อาจนำไปเสนอในฐานะที่เป็นของขวัญแห่งความเมตตาธรรมได้"
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|