บทความล่าสุด |
---|
วารสารผู้ไถ่: ย้อนรอย ๓๐ ปี บนเส้นทางสิทธิมนุษยชน : ศราวุฒิ ประทุมราช |
Wednesday, 15 June 2016 | ||||||||||
วารสารผู้ไถ่ ฉบับที่ ๑๐๐ ๑๐๐ เล่ม วารสาร "ผู้ไถ่" กับการเปลี่ยนผ่าน
ย้อนรอย ๓๐ ปี บนเส้นทางสิทธิมนุษยชน ศราวุฒิ ประทุมราช
หากเปรียบเทียบว่า "ผู้ไถ่"เป็นคนๆหนึ่งที่มีอายุมาถึง ๓๗ ปีแล้ว ย่อมต้องหมายความว่าคนๆนี้กำลังอยู่ในวัยฉกรรจ์และอยู่ในช่วงของการนำประสบการณ์ที่ได้สั่งสมมาร้อยเรียงกับอุดมการณ์และความใฝ่ฝันเพื่อยืนยันหลักการและนำเสนอแนวทางการบรรลุสู่สันติ อันจะนำความยุติธรรมมาสู่สังคมไทยและมนุษยชาติโดยรวม
ยุคแรกของ"ผู้ไถ่"ขอย้อนไปในช่วงทศวรรษของปีพ.ศ.๒๕๒๘-๒๕๓๘ สถานการณ์ของสังคมไทยในห้วงเวลานั้น กำลังคุกรุ่นต่อการสร้างสรรค์ประชาธิปไตยยุคใหม่ ปลายยุคพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นห้วงของการเลือกตั้งรัฐบาลใหม่ที่ค่อนข้างล้มลุกคลุกคลาน และเมื่อพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ขึ้นเป็นรัฐบาล ที่มีการคอร์รัปชั่นกันอย่างมโหฬาร จนเกิดการรัฐประหารในปี๒๕๓๔ ประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนสะดุดลงอีกคำรบหนึ่ง จนกระทั่งปี ๒๕๓๕ เป็นต้นมา กระแสสังคมมุ่งไปสู่การเรียกร้องรัฐธรรมนูญและการสร้างความโปร่งใสของการเมืองทุกระดับ เช่น การเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกตั้ง มีการนำเสนอวาทกรรม"ความโปร่งใส" "การสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน" "เกิดกระแสการปฏิรูปการเมืองและการแก้ไขรัฐธรรมนูญ" การเกิดขึ้นของพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๓๕ ซึ่งนับเป็นจุดเปลี่ยนของระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่ที่ประชาชนตื่นตัวในการมีส่วนร่วมมากขึ้น
ยุคที่สอง คือช่วงปี ๒๕๓๙ถึงปี ๒๕๔๘ เป็นรอยต่อของสถานการณ์สังคมที่นำไปสู่ "การปฏิรูปการเมือง"ที่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กำหนดให้มี สภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ ส.ส.ร. ในปี๒๕๓๙เพื่อทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช ๒๕๔๐ เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลนายบรรหารศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรี
ขณะนั้นมีการเรียกร้องให้ปฏิรูปการเมืองให้แก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีความเป็นประชาธิปไตยสกัดกั้นนักการเมืองที่ซื้อเสียงและหวังเข้ามาคอร์รัปชันโดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช ๒๕๓๔ แก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ ๖ พ.ศ.๒๕๓๙ ก่อให้เกิดรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๒๕๔๐ที่ได้ชื่อว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูปประเทศเป็นครั้งแรกถือเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด มีบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในเรื่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ความเสมอภาคและห้ามการเลือกปฏิบัติ การส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน สิทธิชุมชน สิทธิคนชายขอบ ตรวจสอบองค์กรที่ใช้อำนาจรัฐ การมีส่วนร่วมทางตรงในทางการเมือง เช่น การเข้าชื่อเสนอกฎหมายถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและท้องถิ่น การกำหนดให้มีองค์กรอิสระเพื่อผู้บริโภค การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ วัฒนธรรม ประเพณีของท้องถิ่นโดยท้องถิ่น ฯลฯ "การก่อเกิดองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ" เช่น ผู้ตรวจการแผ่นดิน(ของรัฐสภา) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ขณะเดียวกันในปี ๒๕๔๐ ก็เกิดวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ อันเนื่องมาจากนโยบายการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ จนเกิดภาวะเงินเฟ้อ ธุรกิจขนาดใหญ่ล้มละลายจากการลดค่าเงินบาท ทำให้ธุรกิจส่งออก-นำเข้าสินค้าต่างประเทศไม่สามารถรับภาระส่วนต่างของอัตราแลกเปลี่ยนเงินกู้จากต่างประเทศ ทำให้เกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง กระจายไปทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน จนกระทั่งในปี ๒๕๔๔ การเข้ามาบริหารประเทศของพรรคไทยรักไทย นำโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ดำเนินนโยบายด้านการบริหารประเทศแบบก้าวกระโดด จัดกองทุนให้แก่ประชาชนทุกหมู่บ้าน ใช้นโยบายประชานิยม นำเสนอระบบ ๓๐ บาทรักษาทุกโรค และนโยบายอื่นๆอีกมากมายที่เข้าถึงประชาชน ส่งผลให้พรรคการเมืองที่นำโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับคะแนนเสียงอย่างถล่มทลาย และเศรษฐกิจประเทศไทยเริ่มฟื้นคืนโดยสามารถชำระเงินกู้ องค์การการเงินระหว่างประเทศ - IMF ได้อย่างรวดเร็วในช่วงต่อมา
ยุคที่สาม คือ ปี ๒๕๔๙-ปัจจุบัน ยุคนี้ถือได้ว่าเป็นการย้อนหลังกลับเข้าสู่วังวนของการรัฐประหารและการแบ่งแยกประชาชนออกเป็นสองขั้วอย่างชัดเจนดังที่ทราบกันดี ประชาชนส่วนใหญ่สนับสนุนประชาธิปไตย ยอมรับกติกาที่ให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งบริหารประเทศ แม้จะมีเสียงร่ำลือถึงการทุจริตเชิงนโยบาย การส่งเสริมพวกพ้อง วงศ์วานว่านเครือให้เข้าสู่อำนาจและยึดครองเสียงข้างมากของการปกครองในระดับท้องถิ่นได้อย่างเบ็ดเสร็จ กลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากเด็ดขาดทุกระดับ ขณะที่ประชาชนส่วนน้อยซึ่งเป็นคนชั้นกลางในเมืองใหญ่และผู้ที่ชิงชังการทุจริต ต่างออกมาแสดงความเห็นเรียกร้องให้มีการยุบสภาและนำนายกรัฐมนตรีที่ทุจริตมาลงโทษ จนนำไปสู่การชุมนุมขับไล่และเกิดการรัฐประหารในที่สุด
แม้ต่อมาจะมีการเลือกตั้งในปี ๒๕๕๐ แต่ความหวาดระแวงต่อการมีรัฐบาลที่ทุจริต ส่งผลให้รัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ กีดกันการมีส่วนร่วมของประชาชนในทางการเมือง และกีดกันพรรคไทยรักไทยที่มาจากการเลือกตั้ง นับเป็นช่วงเวลาของการประลองกำลังกันระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยและฝ่ายอำนาจนิยมอีกคำรบหนึ่ง นำไปสู่การปราบปรามการชุมนุมของประชาชนในปี ๒๕๕๓ และการยึดอำนาจอีกครั้งของฝ่ายทหารกลับมาสู่อำนาจของรัฐราชการนับแต่นั้นมาจนปัจจุบัน ส่งผลให้ระบอบประชาธิปไตยไทยสะดุดหยุดลงอีกครั้งหนึ่ง และมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนผ่านคำสั่ง และประกาศของคณะรัฐประหารที่นำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งนั่งควบเป็นนายกรัฐมนตรีอีกตำแหน่งด้วย จากที่ลำดับมาข้างต้นจะเห็นว่าไม่ว่าสถานการณ์การเมืองและสิทธิมนุษยชนของสังคมไทยจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร "ผู้ไถ่" ยังคงทำหน้าที่สะท้อนภาพของสังคมไทยมาโดยตลอด หากดูสถานการณ์ทางการเมืองไทยที่ล้มลุกคลุกคลานมาตลอดอย่างน้อยกว่า ๓๐ ปี ที่กล่าวข้างต้นจะเห็นว่า สังคมไทยยังไม่มีความเข้มแข็งต่อการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ทำให้ประชาชนทุกคนมีความรู้สึกเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย เพราะหากประชาชนส่วนใหญ่สามารถปกป้องและรักษาอำนาจอธิปไตยของตน การรัฐประหารคงเกิดขึ้นได้ยาก กระแสการเรียกร้องให้ทหารเข้ามายึดอำนาจจะต้องไม่เกิดขึ้นในระบบที่ประชาชนเข้มแข็ง ในขณะที่ระบอบประชาธิปไตยของไทยอ่อนแอ สถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของไทยกลับค่อยๆพัฒนาไปสู่การยอมรับของประชาคมโลก พิสูจน์ได้จากการที่ประเทศไทยมีการภาคยานุวัติ [๑] รับรองสนธิสัญญาสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติมาโดยตลอด เช่น ปี ๒๕๓๙ ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ปี ๒๕๓๕ เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ปี ๒๕๔๖ เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ ปี ๒๕๕๑ เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ เป็นต้น การเข้าผูกพันของไทยในการยอมรับที่จะปฏิบัติตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ มีผลให้ประเทศไทยต้องจัดทำรายงานต่อสหประชาชาติเพื่อให้สังคมโลกเห็นว่า ประเทศไทยได้ดำเนินการทั้งทางนิติบัญญัติ และบริหารเพื่ออนุวัติการ [๒] กฎหมายภายในประเทศให้สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศที่เรารับรองหรือเข้าเป็นภาคี และนอกจากนี้ยังมีกลไกส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เป็นอิสระเกิดขึ้นหลายหน่วยงานในช่วง ๓๐ ปีที่ผ่านมา เช่น ศาลปกครอง ผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เป็นต้น แม้ว่ายังมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนปรากฏอยู่ทางสื่อมวลชน ไม่เว้นแต่ละวัน แต่อย่างน้อยก็เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า สังคมไทยมีพัฒนาการที่ดีขึ้นไม่มากก็น้อยต่อการเคารพและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน โดยมี "ผู้ไถ่"เป็นประจักษ์พยานแห่งความรอดนี้ต่อไป
แนะนำนักเขียน ศราวุฒิ ประทุมราช นักกฎหมายและนักกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชนมีประสบการณ์ในการทำกิจกรรมทางสังคมในองค์กรพัฒนาเอกชนหลายแห่ง เช่น กลุ่มประสานงานศาสนาเพื่อสังคม (กศส. ปิดตัวไปแล้ว) คณะกรรมการประสานงานองค์กรสิทธิมนุษยชน (กปส.ปิดตัวไปแล้ว) สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) มูลนิธิร่วมมิตรไทย- พม่า เป็นต้น เป็นกรรมการของ ยส. ตั้งแต่ปี ๒๕๓๐ - ๒๕๔๘ เป็นที่ปรึกษาวารสาร "ผู้ไถ่" ตั้งแต่ปี ๒๕๓๖ และเป็นนักเขียนประจำในวารสาร "ผู้ไถ่" คอลัมน์ "ยุติธรรมนำสันติ" ปัจจุบันเป็นนักวิชาการปฏิรูปกฎหมายชำนาญการพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย [๑] การเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาซึ่งรัฐอื่นๆ ได้วินิจฉัยตกลงก่อนแล้ว และสนธิสัญญานั้นได้มีผลใช้บังคับก่อนแล้วด้วย [๒] อนุวัติการ (Implementation) หมายถึง การดำเนินการให้เป็นผลตามบทบัญญัติแห่งอนุสัญญา (implement the provisions of a convention) โดยการตรากฎหมายภายในประเทศ หรือปรับแก้กฎหมายภายในประเทศ เพื่อให้สอดคล้องและรองรับกับพันธกรณีอนุสัญญาดังกล่าว
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|