บทความล่าสุด |
---|
วารสาร"ผู้ไถ่"ฉบับแรก...ประวัติศาสตร์ที่ขาดการบันทึก และภาพทรงจำที่หายไป |
Wednesday, 08 June 2016 | ||||
วารสารผู้ไถ่ ฉบับที่ ๑๐๐ ๑๐๐ เล่ม วารสาร "ผู้ไถ่" กับการเปลี่ยนผ่าน
วารสาร "ผู้ไถ่" ฉบับแรก ...ประวัติศาสตร์ที่ขาดการบันทึก และภาพทรงจำที่หายไป
ชื่อวารสาร "ผู้ไถ่" นั้นดร.จำเนียรวรรัตน์ชัยพันธ์เล่าถึงที่มาของการเลือกใช้ชื่อ "ผู้ไถ่" ว่า "จำได้ว่าผมเป็นคนที่เสนอเองว่าน่าจะใช้คำว่า "ผู้ไถ่"มาจาก Liberatorดูเหมือนท่านบุญเลื่อน และคุณประนอมจะถาม ผมก็เลยบอกว่าขอให้ใช้คำว่า "ผู้ไถ่" เพราะตอนนั้นเป็นยุคของการกดขี่เบียนเบียนและอยุติธรรมอยู่ค่อนข้างโดดเด่นตอนนั้นอยู่ภายใต้สถานการณ์และความพยายามที่จะกอบกู้ ผู้กอบกู้และผู้ไถ่ ก็มาจาก Liberation Theology เทววิทยาแห่งการปลดปล่อย เราเป็นกระบอกเสียงของผู้ที่ถูกกดขี่ เหมือนกับพระเยซูซึ่งเป็นผู้ไถ่ นั่นหมายความว่า สังคมถูกกดขี่ คนจน ผู้ยากไร้ถูกกดขี่ เราให้เขาได้ตระหนักว่า คนงาน ชาวสลัม หรือชาวไร่ชาวนา ถูกเอารัดเอาเปรียบด้านต่างๆ" "ผู้ไถ่" ฉบับแรกเป็นเพียงกระดาษโรเนียวบรรจุเนื้อหาสาระจำนวน ๘ หน้า ที่กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานจากผู้จัดทำ เพราะต้นฉบับทั้งหมดนั้นถูกเผาทำลายไปด้วยความเกรงกลัวต่ออิทธิพลของรัฐบาลในยุคเผด็จการเมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๙ ภาพประวัติศาสตร์ของ "ผู้ไถ่" ยุคก่อเกิดจึงถูกตัดตอนไปอย่างน่าเสียดาย
คุณรุ่งโรจน์ ตั้งสุรกิจผู้จัดทำวารสาร
"ผู้ไถ่" ฉบับแรกเล่าถึงการทำ "ผู้ไถ่" ในยุคนั้นว่า"ตอนนั้นผมเป็นเจ้าหน้าที่รับผิดชอบงานจัดทำจดหมายข่าวจากสภาคาทอลิกแห่งประเทศไทยเพื่อการพัฒนา
ซึ่งเป็นฉบับโรเนียว
และได้ทำการเปลี่ยนโฉมมาเป็นฉบับเข้าโรงพิมพ์และเริ่มใช้ชื่อวารสาร "สังคมพัฒนา" [๑] ในปี พ.ศ.๒๕๑๘ เอกสารต่างๆ
ที่ออกมารวมทั้ง "ผู้ไถ่" ฉบับแรกๆ จะเป็นกระดาษโรเนียว ๒ คู่ คือ ๘
มาเปลี่ยนเป็นฉบับพิมพ์ ช่วงปี ๒๕๒๑ มีการใช้คำว่า "สังคมพัฒนาฉบับ ผู้ไถ่"
เพราะตอนนั้นคณะกรรมการยุติธรรมและสันติ (ยส.) ยังไม่ได้แยกออกมา ยังไม่มีสำนักงานเป็นของตัวเอง"
"เรามีการประชุมกัน มีท่านบุญเลื่อน คุณจำเนียร และคุณประนอม หลักๆ ๓ คนนี้ เป็น Editorial Board เป็นที่ปรึกษากองบรรณาธิการ ช่วยกันหาบทความจากต่างประเทศ ส่วนผมเป็น editor เป็นฝ่ายผลิตทั้งหมดในกระบวนการ คือ กองบรรณาธิการจะคุยกันหากเห็นว่าอะไรดี ผมก็ต้องรับมาทำ ยุคนั้นมีทั้งคำสอนของศาสนา มีสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชน การละเมิดสิทธิ เราหาคนเขียน มีการขอให้นักวิชาการในยุคนั้นช่วยเขียนบทความให้ และมีการขออนุญาตนำบทความมาเผยแพร่ใน "ผู้ไถ่" ไปติดต่อขออนุญาตถ้าเป็นบทความที่ตีพิมพ์แล้ว ส่วนใหญ่นักเขียนก็จะอยู่ในแวดวงของเราอยู่แล้ว จึงง่าย แล้วยุคนั้นงานแปลจะเยอะ เรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนในต่างประเทศสมัยก่อนก็มีเยอะมาก เพราะรัฐบาลต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นรัฐบาลเผด็จการ งานส่วนใหญ่ผมจึงเป็นคนแปล ผมอยู่ในช่วงยุคแรกที่ไม่ปรากฏชื่อ บทความผมใช้หลายนามปากกาแต่จำชื่อไม่ได้แล้ว" จากการรื้อฟื้นทบทวนความทรงจำจากคุณรุ่งโรจน์ จึงได้รู้ว่า "ผู้ไถ่" ฉบับแรกทำเรื่อง "๑๔ ตุลาฯ"ซึ่งเป็นเรื่องราวของขบวนการนิสิตนักศึกษาและประชาชน ยุค ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ส่วนฉบับที่ ๒ เรื่อง "รอยเลือดในกวางจู" พูดถึงการเรียกร้องประชาธิปไตยในเกาหลีใต้ ยุคที่ประธานาธิบดี ปัก จุง ฮี เป็นผู้นำรัฐบาลเผด็จการ และนักศึกษาเดินขบวนกันเพื่อเรียกร้องสิทธิเสรีภาพทั้งสองฉบับนี้ยังเป็นฉบับโรเนียว
คุณรุ่งโรจน์ เล่าว่า"ผู้ไถ่ยุคนั้นออกเป็นรายสะดวก เวลามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ไม่ได้ออกทุกเดือน หรือออกเป็นเวลาประจำ ยุคแรกๆ จะลงเกี่ยวกับประเด็นนั้นอย่างเดียว ซึ่งที่ผมจำได้มี ๒ ฉบับแรก หลังจากนั้นจะออกเป็นระยะ แต่ยังไม่ใช่ฉบับตีพิมพ์ออกมาเป็นรูปเล่ม กลุ่มผู้อ่านคือ ส่งให้คุณพ่อตามวัดคาทอลิกต่างๆ ส่วนภาพปกวาดโดย คุณสมชาย ทองประดิษฐ์ ทุกฉบับผมต้องไปหาเขา แล้วบอกว่าเล่มนี้จะมีเนื้อหาสาระอะไร แล้วเขาก็วาดออกมา จำนวนพิมพ์ไม่เยอะ ประมาณ ๓๐๐-๕๐๐ ฉบับ ยุคที่เป็นฉบับโรเนียวยิ่งน้อย ยุคแรกๆ จะลงเกี่ยวกับประเด็นนั้นอย่างเดียว อย่างเรื่องที่เกาหลี ผมคิดว่ามาจากคุณจำเนียร ซึ่งมีคอนเน็คชั่นเยอะ เขาทำ VOMPOT [๒] เอาหนังสือพิมพ์เกาหลีภาคภาษาอังกฤษมาเต็มเลย ผมแปลแล้วก็เลยได้ความรู้ และมีหลายเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานพัฒนาด้วย ที่ผมจำได้คือ เจ้าหน้าที่ของเกาหลีใต้ ของไต้หวัน เขาถูกส่งมาดูงานเรื่องสหกรณ์ และการพัฒนาชนบท แล้วไต้หวันนำไปทำ ปี ค.ศ. ๑๙๗๘ ผมไปไต้หวัน เขาพาไปดูสหกรณ์การเกษตรและเขายืนยันว่าได้แนวคิดมาจากไทย เกาหลีเองก็สรรเสริญงานของประเทศไทยมาก ปัก จุง ฮี ก็นำไปทำสหกรณ์การเกษตรของเกาหลีซึ่งรู้จักกันดีในชื่อ เซมาอุน อันดองเป็นต้นแบบที่เกาหลีได้จากประเทศไทย แต่นำไปใช้เพื่อสนับสนุนนโยบายกระจายการพัฒนาอุตสาหกรรมสู่ชนบท และต้นแบบของ SME ทั้งในไต้หวันและเกาหลี ซึ่งเป็นฐานรากของการพัฒนาอุตสาหกรรมสมัยใหม่ในเวลาต่อมา"
กล่าวได้ว่า ดร.จำเนียร เป็นหนึ่งในผู้นำความคิด เป็นผู้จุดประกายความคิด และมีส่วนสำคัญในการส่งต่อแนวความคิดและข้อมูลที่น่าสนใจในยุคนั้นเพื่อนำมาสร้างสรรค์เนื้อหาสาระใน "ผู้ไถ่" ฉบับแรกๆ ในเรื่องนี้ ดร.จำเนียรเล่าว่า"ส่วนใหญ่ผมก็เอาข่าวสารต่างๆ มาจากต่างประเทศ ผมเห็นบทความดีๆ ผมก็นำมาแจกจ่ายแบ่งปันให้กัน มีเอกสารดีๆ มาจากอินโดนีเซีย ผมก็มาแบ่งกันอ่านกับท่านบุญเลื่อนบ้าง ท่านบุญเลื่อนให้ผมอ่านบ้าง ส่วนใหญ่ผมเป็นคนที่ให้ข้อมูลต่างๆ นานา เรื่องเกาหลีก็ได้มาจากเอกสารที่เพื่อนส่งมา ผมอ่านเสร็จก็โอเคช่วยแปลหน่อยซิ คุณอุษณีย์ [๓] เป็นคนรวบรวม(ตั้งแต่ปี ๒๕๑๙)แต่ผมไม่ได้เขียน" เป็นที่น่าเสียดายว่า "ผู้ไถ่" ฉบับแรกๆ ที่เป็นต้นฉบับงานพิมพ์แบบโรเนียวนั้นถูกเผาทำลายไปหมด ด้วยเหตุผลทางการเมืองยุคหลังเหตุการณ์ ๖ ตุลา ๒๕๑๙ ประวัติศาสตร์ของ "ผู้ไถ่" ในช่วงนั้นจึงขาดการบันทึกไปในช่วงที่สำคัญที่สุดเลยก็ว่าได้ [๑] วารสาร "สังคมพัฒนา" เป็นวารสารของสภาคาทอลิกแห่งประเทศไทยเพื่อการพัฒนา นำเสนอสภาพปัญหาที่เกิดจากการพัฒนากระแสหลัก ผลกระทบที่มีต่อประชาชน โดยเฉพาะเกษตรกร ชุมชน สิ่งแวดล้อม ทั้งในประเทศและทั่วโลก บทวิเคราะห์ คำสอนด้านสังคมของพระศาสนจักรคาทอลิก และหลักธรรมทั้งพุทธ และอิสลาม ประสบการณ์การพัฒนาของชาวบ้าน ซึ่งถือเป็นวารสารด้านการพัฒนาชุมชนฉบับแรกๆ และมีอิทธิพลทางความคิดและได้รับความนิยมจากนักวิชาการ ผู้ทำงานในองค์กรศาสนา และองค์กรพัฒนาเอกชนต่างๆ [๒] VOMPOT : Voluntary Movement forPeople's Organization in Thailand กลุ่มอาสาสมัครจัดระบบชุมชนในประเทศไทย ซึ่งทำงานส่งเสริมการรวมกลุ่มชาวบ้าน โดยเฉพาะชาวสลัม [๓] คุณอุษณีย์ นานาศิลป์ เป็นหนึ่งในทีมงานจัดทำ "ผู้ไถ่" และมีตำแหน่งบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|