บทความล่าสุด |
---|
อนึ่ง บทความ หรือข้อเขียนทั้งหมดที่นำลงเว็บไซต์ jpthai.org เป็นทัศนะเฉพาะของผู้เขียน
ทางเว็บไซต์ jpthai อนุญาตให้คัดลอกบทความ/ข้อมูล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้
Donation / สนับสนุนการดำเนินงาน
|
ภราดรภาพ ในท่ามกลางสงครามแห่งความเกลียดชัง?! : ภู เชียงดาว |
Wednesday, 16 March 2016 | ||||
ปลายทางเส้นนี้มีดอกไม้ ภู เชียงดาว ภราดรภาพ ในท่ามกลางสงครามแห่งความเกลียดชัง?! (๑) เหมือนๆ เรากำลังอาศัยอยู่ในดินแดนของความแปลกแยก
ยืนบนแผ่นดินของความแปลกหน้า
แผ่นดินครั้งหนึ่งเคยสันติสุขบัดนี้พลันสิ้นสูญ
กลายเป็นแผ่นดินความสิ้นหวัง
เพียงเพราะความเชื่อและไม่เชื่อ
ความรู้กับความไม่รู้กำลังต่อสู้ห้ำหั่นกัน
บนฐานความเชื่อหนึ่งนั้นมาจากความไม่ยุติธรรมและเกลียดชังคนๆ
หนึ่ง
บนฐานความเชื่อหนึ่งนั้นยึดมั่นในกรอบวิถีกติกา
ประชาธิปไตย
เริ่มต้นนั้นดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทุกคนต่างทำตามกติกา
ต่างฝ่ายต่างใช้เหตุผลความรู้เข้ามาเป็นองค์ประกอบ
ยิ่งสนับสนุน ยิ่งทำงาน
ยิ่งเรียกร้อง ยิ่งเคลื่อนไหว
ยิ่งทำให้ผู้คนต่างเรียนรู้ความจริงของกันและกัน
ใช่,ประชาชนคนสามัญธรรมดา
เริ่มหูตาสว่าง
ได้รับรู้เรียนรู้วิถีทางใหม่ๆ
ที่ไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัส
อาจเป็นเพราะคนทุกคนล้วนเป็นสัตว์สังคม
ที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กัน
ทุกคนสามารถแลกเปลี่ยนกันได้
เรียนรู้ในความเปลี่ยนแปลง
เรียนรู้ในความคิดเห็นแตกต่าง
ที่สำคัญ,
เรากำลังเรียนรู้ในความเป็นมนุษย์
ว่ามีสิทธิ
เสรีภาพนั้นมีอยู่จริง
ใช่, ทุกคนล้วนมีสิทธิเท่าเทียมกัน
หากยิ่งนานเข้า
การแสวงหาความจริง
ของผู้คน
ของกลุ่มคน เริ่มแปรเปลี่ยนไป
ความจริงกลายเป็นความลวง
ความรักกลายเป็นความชัง
เมื่อมีบางสิ่งเข้ามาปกคลุมทะมึนกั้นกลาง
มีบางอย่างที่มองไม่เห็น เข้ามากำกับซับซ้อนซ่อนเงื่อน
เข้าควบคุมความคิดจิตใจของเรา
จนทำให้สันติสุขถอยร่น
ความโกลาหลกระโจนเข้าหา
ความเชื่อและความเกลียดชัง บ่มเพาะเชื้อข้างในใจเรา
พอกพูนโถมทับทวีความรุนแรงมากขึ้น
มากขึ้น
จนกลายเป็นสงครามความขัดแย้งทางความคิด
จนกลายเป็นสงครามความเกลียดชัง
ความเกลียดชังลุกลามขยายเข้าไปฝังอยู่ในใจผู้คน
จนนำพาชีวิตของตน นำพากลุ่มของตนเห่อเหิมถลำ
ก้าวล้ำไปล่วงละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน
ของคนอีกคนหนึ่ง
คนอีกกลุ่มหนึ่ง อย่างไร้เหตุผล โดยไม่รู้สึกผิด ไม่รู้สึกตัว
ของสงครามแห่งความเกลียดชัง กันโดยไม่รู้ตัว.
(๒)
ท่ามกลางสถานการณ์บ้านเมืองเช่นนี้
ทำให้ผมบอกกับตนเองว่า เราต้องประคับประคองชีวิต ความคิด จิตใจของตนเองให้อยู่ต่อไปให้ได้
ในท่ามกลางกระแสความขัดแย้งที่นับวันยิ่งรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ แน่นอน ผมคอยย้ำกับตัวเองเสมอว่า
ถึงอย่างไรจะพยายามไม่ให้ตัวเองเข้าไปมีส่วนในการหว่านเชื้อ บ่มเพาะความเกลียดชังให้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
ไม่ว่าจะโดยการเข้าไปชุมนุมเคลื่อนไหว กดดัน ปิดล้อม เป่านกหวีด เป่าแตร ปิดกั้นการทำงาน
การเลือกตั้ง ขัดขวางการกิน ดื่ม นั่ง ยืน เดินของผู้คน อันเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์อย่างชัดแจ้ง
หรือการโพสต์ลงบนเฟสบุ๊คด้วยถ้อยคำโกรธขึ้ง เสียดสี เย้ยหยัน ถากถาง หยาบคาย
คลั่งแค้นเมื่อเห็นฝ่ายตนสูญเสีย หัวเราะสะใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายล้มตายจมกองเลือด
ซึ่งผมคิดว่า หัวใจคนเรากำลังหยาบและเย็นชาที่สุดแล้ว จนลืมไปว่า ทุกคนก็เป็นมนุษย์เหมือนๆ
กัน แน่ละ ความคิด คำพูด เหล่านั้น ล้วนคือกระสุนของความเกลียดชังที่ยิงกระหน่ำไปในสังคมไทยให้ทวีความแตกแยกมากยิ่งขึ้นไปอีกมากกว่ามาก
ผมว่าถ้อยคำเหล่านั้นที่พุ่งออกไป
โพสต์ออกไป บางทีอาจทำร้ายเข่นฆ่าคนอื่นให้บาดเจ็บล้มตายไปมากกว่าระเบิด กระสุนปืนด้วยซ้ำไป
จริงสิ,อาจมีหลายคนมองว่า
สำนึกทางการเมืองของผมนั้นอ่อนแอ อ่อนด้อยเกินไป
อีกหลายคนก็พยายามยัดเยียดให้ผมอยู่อีกสี เลือกข้างหนึ่งไป แต่ก็ช่างเถอะ
ผมไม่อยากไปโต้เถียง หรือไปโต้ตอบ
เพราะตัวตนข้างในเรานั้นรู้ว่าเรานั้นเป็นอย่างไร
หากผมย้ำกับตนเองเสมอว่า
แท้จริงแล้ว การเมืองเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เราเรียนรู้ได้ ข้องเกี่ยวได้ แต่อย่าพลัดหลงไปสู่วังวนของความไม่รู้
เพราะในการเมืองนั้นมีเงื่อนงำซับซ้อน มันมีความจริงบางอย่างปิดบังซ่อนเอาไว้
อีกทั้งต่างฝ่ายต่างใช้คำว่า ‘ประชาชน' เอามาเป็นเครื่องมือต่อรองทั้งสิ้น ดังนั้น ที่สุดแล้ว คนไทยจะอยู่อย่างไร
บนแผ่นดินที่ไม่เหมือนเดิมเช่นนี้?!
ผมเคยคิดเล่นๆ ว่า หาก ณ เวลานี้
เมืองไทยเกิดสึนามิ น้ำท่วม ตึกถล่ม แผ่นดินไหว
คนไทยจะยังรักกันช่วยเหลือกันเหมือนที่ผ่านๆ มาอีกไหมหนอ?!
มาถึงตอนนี้
ผมจึงมองในสิ่งเล็กๆ เข้าไว้ ว่าเราจะรักษาความเป็นพี่เป็นน้อง ความเป็นเพื่อน
กันได้อย่างไร ท่ามความเห็นต่างกันในขณะนี้
และผมเชื่อว่ามีหลายคน
รู้สึกเช่นเดียวกับผม
มีพี่สาวนักเขียนหญิงคนหนึ่ง
บอกกับผมว่า "เรายังรักกันนะน้องรัก เป็นพี่เป็นน้องกัน เหมือนเดิม
แม้ว่าเราอาจอยู่คนละข้าง คนละสี" เธอเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มพร้อมเสียงหัวเราะ
เรายังยิ้มให้กัน จับมือกัน โอบกอดกันเหมือนเดิม
มีนักเขียนสาวอีกคนหนึ่ง
ยืนอยู่ข้างยึดในหลักกติกาประชาธิปไตย ต่างย้ำจุดยืนอย่างชัดเจนว่า "ยังไงก็ต้องยึดหลักกติกาตามระบอบประชาธิปไตยเอาไว้
ต้องเลือกตั้ง ไม่เอารัฐประหาร ไม่เอารัฐบาลแต่งตั้งอย่างเด็ดขาด และที่สำคัญ
คุณอย่าไปละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของคนอื่นแบบนั้น แล้วคุณจะไปสอนลูกหลานอย่างไร
ว่าถ้าลูกคุณร้องไห้อยากขับรถเบ๊นซ์ คุณก็เดินเข้าไปยึด
ขับเอามาเป็นของคุณอย่างนั้นเหรอ หรือถ้าลูกคุณไม่พอใจเพื่อน คุณก็ไปยืนด่า จิกหัว
เป่านกหวีด เป่าแตรใส่หูเพื่อนอย่างนั้นเหรอ"
แต่พอได้ข่าวว่าเสียงปืนดังขึ้น
ระเบิดลง นักเขียนสาวคนนี้ ก็ตกใจ เป็นห่วงพี่สาวนักเขียนคนหนึ่งที่ยืนอยู่ฝั่ง
กปปส. เมื่อรู้ว่าไปร่วมชุมนุมด้วย พยายามติดต่อโทรไปหา บอกว่า "เป็นห่วงพี่นะ
ให้ระวังตัว เพราะเริ่มมีการปะทะ ยิงกันแล้ว"
ใช่
ผมเชื่อว่า มีอีกหลายคนยังเป็นเช่นนี้ พยายามแยกให้ออกระหว่างมิตรภาพกับการเมือง
ว่าอันไหนควรโอบกอด รักษา ทะนุถนอม อันไหนควรละทิ้ง และผมยังเชื่อในพลังชีวิต
ความเป็นมนุษย์ที่มีมนุษยธรรม ในส่วนนี้อยู่
นอกจากว่า
อาจมีเพื่อนบางคน ใครอีกหลายคน กระโจนเข้าไปอยู่ในวังวนความเชื่อ
ความเกลียดชังอย่างดำมืดจนถอนตัวไม่ขึ้น แล้วรุกล้ำ ก้าวล่วง ละเมิดสิทธิ
ความคิดของคนอื่นอย่างรุนแรง จนลืมหูลืมตาไม่ขึ้น ถึงขั้นสบถออกมาว่าไม่เลือกข้างเรา
เธอคือศัตรู จนที่สุด ถึงกับห้ำหั่นกันเอง นั่นหมายความว่าเขาหรือเธอตัดสินใจ
ยอมเลือกการเมืองมากกว่ามิตร ยอมลบเพื่อนออกจากชีวิตได้อย่างง่ายดาย
หากเป็นไปได้ถึงขั้นนี้ ผมหรือใครหลายคน
คงได้แต่ถอนหายใจ บอกว่า...ไม่เป็นไร ปล่อยเขาไป
บางทีอีก
๑๐ - ๒๐ ปีภายหน้า เราอาจหวนกลับมานั่งล้อมวงกันอีกครั้ง เพื่อมาสรุปทบทวนบทเรียนกัน
ในสิ่งที่ได้ลงมือทำไว้ หรือไม่แน่ ลูกหลานของเราในอนาคต อาจมานั่งย้อนดูคลิป
พร้อมสีหน้าแววตางุนงง สงสัย พร้อมเบ้ปากถามว่า... ทำไมปู่ย่าตายาย พ่อแม่เราถึงทำไปได้ขนาดนี้?! ------------- ภู เชียงดาว เป็นนามปากกาของ องอาจ เดชา อดีตครูดอยที่ผันตัวเองมาเป็นนักข่าวสำนักข่าวออนไลน์ที่ชื่อ ประชาไท ปัจจุบันเขาลาออกจากงานประจำ กลับไปใช้ชีวิตในสวนหุบผาแดง อำเภอเชียงดาว จ.เชียงใหม่ อันเป็นถิ่นฐานบ้านเกิด เขาบอกว่า ตนเองกำลังเกิดใหม่อีกหนเป็น "คนสวนและคนเขียนหนังสือ"
------------------------------
จาก วารสารผู้ไถ่ ปีที่ ๓๕ ฉบับที่ ๙๔
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|