บทความล่าสุด |
---|
อนึ่ง บทความ หรือข้อเขียนทั้งหมดที่นำลงเว็บไซต์ jpthai.org เป็นทัศนะเฉพาะของผู้เขียน
ทางเว็บไซต์ jpthai อนุญาตให้คัดลอกบทความ/ข้อมูล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้
Donation / สนับสนุนการดำเนินงาน
|
ป้อนยาพิษให้เด็กบาปไหม? : วีระศักร จันทร์ส่งแสง |
Wednesday, 18 July 2012 | ||||
ป้อนยาพิษให้เด็กบาปไหม? โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ 10 มิถุนายน 2555
คงเคยเห็นป้ายรณรงค์ของบางหน่วยงาน ที่ติดอยู่ตามวัด ถวายบุหรี่แด่พระภิกษุสงฆ์เป็นบาป สื่อความหมายตรงไปตรงมาให้รู้ว่าการหยิบยื่นสิ่งที่เป็นภัยต่อชีวิตแก่ผู้ทรงศีลเป็นเรื่องผิดบาป แม้จะโดยเจตนาดี หรือเป็นความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก็มานึกเปรียบเทียบต่อไปว่า แล้วการที่เราหยิบยื่นแต่อาหารที่ปนเปื้อนสารพิษแก่เด็กๆ ของเราเล่า เด็กๆ ผู้บริสุทธิ์ ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ และยังเลือกเองไม่ได้ ถือเป็นเรื่องผิดบาปไหมที่พวกผู้ใหญ่ป้อนยาพิษให้เขาอยู่ทุกวัน สภาพสังคมและระบบการศึกษาก้าวหน้าไปมาก จนเด็กนักเรียนในเมืองส่วนใหญ่คงไม่รู้จักการคดข้าวห่อไปกินเองที่โรงเรียนกันอีกแล้ว มื้อเที่ยงของนักเรียนยุคนี้ได้รับการจัดการเสร็จสรรพอย่างเป็นระบบโดยโรงเรียน ผู้ปกครองเพียงจ่ายเงินไว้เท่านั้น เวลาลูกกลับบ้านตอนเย็นก็มักถาม "มื้อเที่ยงที่โรงเรียนวันนี้ กินอะไร?" วันก่อนลูกสาวตอบ "ข้าวผัดไส้กรอก" "เอาอีกแล้ว.." พ่อถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย ถามลูกหลายๆ ครั้ง อาหารเที่ยงของโรงเรียนมักวนเวียนอยู่แต่กับอาหาร(มัก)ง่ายๆ ที่ไม่ส่งเสริมสุขภาพเอาเสียเลย ที่บ้านพ่อแม่จะใส่ใจเรื่องอาหารของลูกมาก ไม่อยากให้เขากินอาหารชั้นสอง อาหารขยะ อาหารมีสารพิษ อย่างข้าวสวยอยู่ของมันดีๆ อยู่แล้ว ทำไมจะต้องเอาไปผัดใส่น้ำมันให้เด็กอ้วน แล้วยังเอาไส้กรอกที่เป็นขยะชั้นต่ำของฝรั่งใส่เข้าไปอีก รุ่งขึ้นอีกวัน พ่อถามคำถามเดิม ลูกสาวตอบ "พะโล้" "อือ ค่อยยังชั่วหน่อย" แม่ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ โล่งอกว่าลูกได้กินอาหารที่พอกินได้ ก่อนพ่อจะถามต่อ "แล้วผลไม้ล่ะ?" "แตงโม" "โอ้.." พ่อหัวเราะขื่นๆ ให้กับคำตอบของลูกสาว ใจที่ชื้นขึ้นมาหน่อยกลับยิ่งห่อเหี่ยวลงไปอีก ก็เจ้าเนื้อแดงๆ เหลืองนั่นมันเสมือนก้อนสารพิษชัดๆ เป็นที่รู้กันว่าผลไม้จากต่างแดนชนิดนี้การเพาะปลูกในเมืองไทยแทบว่าต้องเลี้ยงด้วยสารเคมียิ่งกว่าดินน้ำ แล้วผลไม้บ้านๆ ตามฤดูกาลอย่าง กล้วยน้ำว้า สับปะรด ขนุน มะม่วง มะละกอ ฯลฯ ที่มีแนวโน้มว่าใช้สารเคมีน้อยกว่า ทำไมเจ้าหน้าที่โภชนาการของโรงเรียนถึงไม่ยอมใส่ใจเลือกมาให้เด็กกิน เรื่องนี้อาจสำคัญยิ่งกว่าปัญหาเหล้า บุหรี่ ที่เป็นยาเสพติดโดยตรง ของมีโทษภัยพวกนั้นเป็นเรื่องง่ายที่จะทำความเข้าใจกับเด็กและสอนให้พวกเขาหลีกเลี่ยง แต่การป้อนอาหารที่ปนเปื้อนสารพิษใส่ปากเด็กอยู่ทุกวัน บางทีเป็นเรื่องที่แม้ที่ผู้ใหญ่เองก็ไม่เคยตระหนัก เพิ่งอ่านพบข้อเขียนของ ดร.ปรียาสิริ มานะสันต์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ใน กรุงเทพธุรกิจ "กายใจ" ฉบับวันที่ 3 มิถุนายน 2555 ที่ระบุชัดเจนถึงอาหารที่เป็นสาเหตุกระตุ้นอาการและความบกพร่องในเด็ก "โดยเฉพาะอย่างยิ่งแป้งที่ได้รับการขัดสีเรียบร้อยแล้ว หรือแป้งที่ได้รับการปรุงแต่ง เช่น พิซซ่า สปาเกตตี ขนมปัง แป้งขาว จำพวกข้าวขาว...ขนมกรุบกรอบ (ที่มีแต่เกลือ) น้ำอัดลม" ทั้งยังแนะนำให้เลี่ยงอาหารที่ผลิตจากอุตสาหกรรมการเกษตร เพราะมักมีการใช้ฮอร์โมนเร่งสี เร่งโต คนกินเข้าไปก็เป็นโทษต่อร่างกาย เคยได้คุยกับเจ้าของร้าน Health Me ร้านอาหารมังสวิรัติสำหรับคนที่เคร่งครัดกับการดูแลสุขภาพด้วยอาหารปลอดสารพิษ ซึ่งเริ่มตั้งแต่วัตถุดิบที่จะนำมาประกอบอาหาร เจ้าของร้านบอกว่าก่อนมาทำร้านอาหารเธอเคยเป็นผู้บริหารโรงเรียนเอกชน และเรื่องหนึ่งที่เธอทำในขณะนั้น คือการเลือกใช้ข้าวปลาอาหารและนมออแกนิก มาเป็นอาหารกลางให้กับนักเรียน ช่างเป็นแนวคิดที่แสนวิเศษจริงๆ น่าเสียดายอยู่บ้างก็ตรงที่การคิดจริงทำจริงที่ยิ่งใหญ่นี้เกิดแต่กับผู้บริหารของโรงเรียนแห่งหนึ่งเท่านั้น ทั้งที่มันควรจะเกิดกับคนระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ หรือบริหารการศึกษาระดับชาติ หากเรายังยอมรับกันว่า เด็กๆ คืออนาคตของชาติ เรื่องอาหารโรงเรียนที่ปนเปื้อนสารเคมี อาหารขยะ วัตถุดิบแบบมักง่ายไร้คุณภาพและสกปรก ถือเป็นเรื่องระดับชาติ เด็กๆ ที่เติบโตมากับอาหารด้อยคุณภาพพวกนี้ไม่น่าจะเป็นอนาคตของชาติที่ดีได้ในแง่สุขภาพและพละกำลัง ในทางธรรม การที่เราหยิบยื่นอาหารที่มีแต่สารพิษให้เด็กๆ ทั้งประเทศ ลองคิดดูว่านี้ถือเป็นการก่อกรรมทำเข็ญต่อมนุษยชาติอย่างมหันต์เพียงใด และในทางตรงกันข้ามถ้าเราสามารถพลิกกลับได้ทั้งโครงสร้าง ให้โรงเรียนเลี้ยงดูเด็กๆ ด้วยอาหารออแกนิกได้ถ้วนทั่ว ก็คงเป็นกุศลทั้งต่อตัวผู้ปฏิบัติและอนาคตของชาติอย่างมหาศาลปานกัน โดย...วีระศักร จันทร์ส่งแสง ที่มา คอลัมน์ มองย้อนศร : http://www.budnet.org/
Powered by AkoComment 2.0! |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|